มาเฟีย(กับ)เมียวัยแรกแย้ม
บทที่ 4(ถึงเวลาเปลี่ยนคู่ควง)
"รู้รึยังว่าเป็นพนักงานของบริษัทไหน ?"
สิงหาเอ่ยถามลูกน้องเสียงเข้ม ขณะที่สายตาคมจับจ้องร่างเล็กในจอทีวีเขม็ง ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะกล้าแหย่หนวดราชสีห์อย่างเขาด้วยการขโมยนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดของเขาไป
หากนาฬิกาเรือนนั้นเป็นเพียงนาฬิกาธรรมดาทั่วไป สิงหาคงไม่มีอาการหัวเสียขนาดนี้ แต่นาฬิกาเรือนนั้นมีเพียงเรือนเดียวในโลก เพราะเป็นของขวัญวันเกิดที่เพื่อนสนิทอย่างนักรบอุตส่าห์สั่งทำให้เขาเป็นพิเศษ จึงไม่แปลกที่สิงหาจะให้ความสนใจเมื่อมันหายไป ทั้งที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าได้ถอดวางเอาไว้ตรงนี้ ซึ่งก็คือข้างทีวีในห้องรับแขก
แต่ไหนแต่ไรมา ข้าวของทุกชิ้นในห้องไม่เคยหาย แต่ก่อนที่เขาจะบินไปสิงคโปร์ได้สั่งให้เผ่าหาคนมาทำความสะอาด และเมื่อเขากลับมาที่คอนโด ก็พบว่านาฬิกาเรือนโปรดได้หายไปแล้ว
แน่นอนว่าสิงหาไม่คิดที่จะให้เรื่องนี้เงียบหายไปเหมือนกับคลื่นที่กระทบเข้าหาฝั่ง ไม่รู้ว่าหัวขโมยโง่หรือซื่อบื้อกันแน่ที่คิดน้อยไปหน่อยว่าห้องพักวีไอพีที่สุดหรูขนาดนี้จะไม่มีกล้องวงจรปิด
และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของห้องแล้ว ในที่สุดสิงหาก็พบหัวขโมย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพนักงานทำความสะอาดที่จ้างมาเก็บกวาดห้องนั่นแหล่ะ
"บริษัทที่จ้างมาคราวนี้ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทครับ แต่คนของเราสืบลึกลงไปอีก ก็พบว่าบริษัทนี้ไม่มีพนักงานคนอื่นนอกจากผู้หญิงคนนี้คนเดียวครับนายสิง"
เผ่ารายงานจบ สิงหาก็หันกลับมามองลูกน้องด้วยดวงตาวาวโรจน์ทันที
"มึงหาคนมาทำความสะอาด แต่ไม่เช็คประวัติให้ดีเนี่ยนะไอ้เผ่า ตกลงกูมีลูกน้องหรือมีควายเอาไว้เฝ้าบ้านกันแน่วะ !"
สิงหาตวาดถามด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
"เป็นความผิดของผมเองครับ แต่... ควายมันมีไว้ไถนานะนายสิง ถ้าเอาไว้เฝ้าบ้านนั่นมันหมานะครับ"
ถ้อยคำของลูกน้องคนสนิทที่ดังขึ้น ส่งผลให้สิงหาต้องหรี่ตามองอย่างคาดโทษ และพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปไล่เตะไอ้หมอนี่อย่างสุดความสามารถ โทษฐานที่มันพูดจายียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างของเขา
เผ่าที่รู้ตัวรีบก้มหน้า ไม่กล้าสบสายตาพิฆาตของนายสิง พร้อมกับเอามือกุมไว้เหนือเป้ากางเกง แสดงออกถึงอาการสำนึกผิด ก่อนกล่าวรายงานต่อ
"ตอนนี้คนของเราได้นาฬิกาคืนมาแล้วครับ หัวขโมยเอาไปขายที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่งในราคาสองพันครับนายสิง"
"มึงว่าอะไรนะ !" สิงหาย้อนถามเสียงดังลั่นจนแทบจะเป็นตะโกนเลยก็ว่าได้
นาฬิกาของเขามีมูลค่าหลักล้าน แต่แม่หัวขโมยนั่นกลับเอาไปขายทอดตลาดในราคาเพียงหลักพัน ชายหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นลูบใบหน้า ด้วยไม่รู้ว่าจะบรรยายเป็นคำพูดใดออกมาดี อาการพูดไม่ออกราวกับคนที่น้ำท่วมปากสิงหารู้ซึ้งดีก็คราวนี้
"ตามหาเธอให้เจอ"
สิงหาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มดุดันหลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ปลายนิ้วเรียวสวยชี้ไปยังทีวีจอแบน ที่ขณะนี้หน้าจอถูกแบ่งออกเป็นสี่ช่อง และทุกช่องล้วนแต่มีภาพของหญิงสาวที่เป็นหัวขโมยในอิริยาบทต่าง ๆ ทุกช่อง
"ครับนาย" เผ่ารับคำเสียงหนักแน่น
"ด่วนนะไอ้เผ่า วันนี้ได้ยิ่งดี ถ้ามึงตามหาเธอเจอภายในวันนี้ กูจะให้รางวัลมึงอย่างงามเลย"
พูดจบนิ้วเรียวสวยก็ยกรีโมทขึ้นกดปิดทีวีเครื่องยักษ์ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นยืนช้า ๆ พลางก้าวเดินไปหยุดที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ทั้งหมด เรียวปากหยักหนากระตุกยิ้มขึ้นตรงมุมปากจาง ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของแม่หัวขโมยร่างเล็กนั่น
"ถึงเวลาที่เปลี่ยนคู่ควงแล้วสินะ"
หญิงสาวร่างเล็กในชุดพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงกว้างภายในห้องนอนหรู ใบหน้างดงามน่ารักจิ้มลิ้มหลับตาพริ้ม ผมยาวสลวยรุ่ยร่ายล้อมกรอบดวงหน้างดงาม ส่งผลให้ใบหน้านั้นน่ามองยิ่งขึ้น
ร่างเล็กบอบบางขยับตัวช้า ๆ ก่อนปรือขึ้นมองไปรอบ ๆ ตัว เพราะก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป สำนึกสุดท้ายก็คือกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กรูกันเข้ามาล้อมรอบเธอขณะที่กำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่ และใบหน้าของแต่ละคนนั้นก็ไร้วี่แววของความอารีอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตากลมใสไหววูบ เมื่อสิ่งที่มองเห็นตอนนี้นั้นจะเรียกว่าไม่คุ้นตาก็ไม่ใช่ ไม่คุ้นชินก็ไม่เชิง ยาหยีก้มลงมองร่างกายตัวเองเป็นอันดับแรกแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่ออะไร ๆ ในร่างกายของเธอยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้มีส่วนไหนบุบสลายอย่างที่นึกกลัว
จากนั้นหญิงสาวก็หันมองรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง และเมื่อยาหยีพิจารณาห้องนี้ดี ๆ เธอก็พบว่ามันเป็นห้องนอนในคอนโดสุดหรูที่เธอเข้ามาทำความสะอาดไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
อย่าบอกนะ ว่าที่เธอมานอนเล่นอยู่ในห้องนี้ เป็นเพราะเจ้าของห้องรู้แล้วว่าเธอขโมยนาฬิกาฝังเพชรของเขาไป
คิดได้ดังนั้นยาหยีก็พุ่งตัวไปที่ประตูทันที มือบางจับลูกบิดประตูเขย่าสุดแรง และพบว่ามันถูกล็อคไว้จากภายนอก เธอจึงทุบบานประตูด้วยความโมโห แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเจ็บร้าวไปทั่งทั้งฝ่ามือ
"งือ... ซวยแล้วยาหยี ไม่น่าเห็นแก่เพชรเม็ดเท่าขี้ตาแมวนั่นเล๊ยย !"