มาเฟีย(กับ)เมียวัยแรกแย้ม
บทที่ 3.(ดีลทั้งคู่)
เสียงเตือนจากโทรศัพท์เครื่องเก่านั้นบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว หญิงสาวร่างเล็กบอบบางค่อย ๆ ลืมตาตื่น ตามด้วยการอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มของบริษัทที่เธอนั้นเป็นเจ้าของ
หญิงสาวร่างเล็กคนนี้มีชื่อว่า ' ยาหยี ' เธอเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า หลังจากที่เรียนจบแล้ว หยาหยีก็อัปเปหิตัวเองออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เพราะที่นั่นไม่มีที่ให้คนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกต่อไป และตอนนี้เธอก็กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนมหาลัยปีหนึ่งที่กำลังจะเปิดเทอมในอีกสองเดือนข้างหน้านี้
หยาหยีทำงานทุกอย่างชนิดหัวหกก้นขวิดตัวเป็นเกลียวหัวน๊อต ไม่ว่าจะพนักล้างรถ คนกวาดขยะ เจ้าหน้าที่เก็บเงินบนทางด่วน หรือแม้กระทั่งพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น หยาหยีพิสูจน์มากับตัวแล้วว่าเธอคงไม่มีโอกาสรุ่งเรือง ตรงกันข้ามกลับหนักไปทางรุ่งริ่งซะมากกว่า
ไป ๆ มา ๆ ยาหยีจึงผันตัวเองมาทำงานเกี่ยวกับด้านทำความสะอาด ซึ่งบริษัทแห่งนี้เธอเป็นเจ้าของ มีพนักงานทั้งหมดหนึ่งคนนั่นก็คือตัวเธอเอง เศรษฐกิจแบบนี้หยาหยีไม่คิดจะจ้างคนอื่นให้เปลืองค่าจ้าง สู้ทำเองดีกว่า อีกอย่างคนจ้างงานก็ไม่ได้มีเข้ามาทุกวันซะเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นทำด้วยแรงที่ตัวเองมีนั่นถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้วแล้ว
ไม่นานยาหยีก็มาถึงคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ลูกค้าส่งโลแกชั่นมาให้ก่อนหน้านั้น ซึ่งตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามสิบนั้นเป็นห้องพักของผู้ที่มีอันจะกินแบบธรรมดา ส่วนชั้นที่สามสิบเอ็ดถึงชั้นที่สี่สิบนั้นจะเป็นห้องพักของระดับวีไอพี และจุดหมายของยาหยีในวันนี้นั้นก็คือห้องพักที่เก้าซึ่งอยู่ในชั้นที่สี่สิบนั่นเอง
หญิงสาวแลกบัตรกับยามด้านหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในคอนโด จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในลิฟท์และตรงดิ่งไปยังชั้นที่เป็นจุดหมายปลายทางของเธอ หน้าห้องพักสุดหรูตอนนี้มีชายชุดดำยืนรออยู่ และเมื่อเขาหันมาเห็นยาหยีที่อยู่ในชุดแม่บ้าน มือหนาก็ยื่นไปเปิดประตูให้เธอเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่เอ่ยถามใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งยาหยีก็ไม่ติดใจสงสัยอะไร เพราะนี่คือเรื่องปรกติ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเธอก็ลงมือทำงานของเธอทันทีโดยเริ่มจากห้องนอนก่อนเป็นอันดับแรก
เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยาหยีหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันเข้าไปแล้ว แต่เธอเพิ่งจะทำความสะอาดได้แค่ห้องนอนเท่านั้น และในขณะที่ยาหยีกำลังขัดถูพื้นอยู่นั้น หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ตกอยู่ข้างโซฟา
นิ้วเรียวหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับดวงตากลมใสที่ค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่หยิบขึ้นมาถนัดชัดเต็มสองลูกกะตา
"อี๋ !"
หยาหยีร้องเสียงดัง โยนของสิ่งนั้นลงถังขยะแทบไม่ทัน พลางถูมือกับผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่อยู่ด้วยอาการรังเกียจขยะแขยง
จะไม่ให้เธอรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อเจ้าสิ่งที่ว่านั้นมันคือถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว แถมยังเปียก ๆ อยู่เลยด้วย ไม่รู้เจ้าของห้องนี้เป็นคนแบบไหน แต่ของที่ใช้แล้วอย่างถุงยางอนามัยนี่มันสมควรทิ้งเรี่ยราดแบบนี้เหรอ หยาหยีอดตำหนิไปถึงเจ้าของห้องไม่ได้
หากแต่หญิงสาวไม่มีเวลามาคร่ำครวญหวนไห้ใด ๆ ทั้งสิ้น เธอยังคงก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดภายในห้องนอนต่อไปจนกระทั่งเสร็จ และย้ายออกมายังห้องรับแขกต่อทันที
ในขณะที่ยาหยีกำลังทำการปัดกวาดเช็ดถูบริเวณชั้นวางทีวีเครื่องใหญ่อยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือเรือนหรูวางสงบนิ่งอยู่ตรงข้างทีวี
ดวงตากลมใสพลันลุกวาว พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหยิบนาฬิกาที่ว่าขึ้นมาดูด้วยแววตาที่พราวระยับ และพบว่าบนหน้าปัดมีตัวอักษรย่อS.A.ประดับอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับยาหยี เพราะสำหรับเธอไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าเพชรเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่ล้อมรอบอยู่บนหน้าปัดและตัวเรือนอีกแล้ว
ยาหยีหันซ้ายแลขวาด้วยอาการนิ่งสงบ ก่อนจะวางนาฬิกากลับลงที่เดิม และหันไปสนใจงานที่ทำค้างอยู่อีกครั้ง มองผิวเผินอาจเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ยาหยีวางนาฬิกาไว้ที่เดิมก็จริง แต่ในขณะที่เธอกำลังใช้ไม้ปัดขนไก่ปัดฝุ่นบริเวณนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอก็อาศัยความไวเฉพาะตัวที่ฝึกปรือมาเป็นอย่างดีปัดนาฬิกาลงเบื้องล่างและใช้เท้าเกี่ยวถังขยะเข้ามารับไว้ได้อย่างพอดิบพอดี จากนั้นหยาหยีก็ทำทีเดินไปทำความสะอาดบริเวณอื่นต่อจนกระทั่งเสร็จ เธอจึงกลับมาที่ถังขยะอีกครั้งเพื่อนำมันไปทิ้งตอนที่เธอทำงานเสร็จแล้ว
แน่นอนอยู่แล้วว่า... ไม่มีใครรู้ว่าอีกอาชีพหนึ่งที่ยาหยีไม่เคยบอกให้ใคร ๆ รู้ ก็คือ อาชีพ ' หัวโขมย '
ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องพักสุดหรูอีกครั้งพร้อมกับถุงขยะสามถึงสี่ใบในมือด้วยท่าทางสงบนิ่งไร้พิรุจใดบนใบหน้า เมื่อเห็นหญิงสาวออกมาแล้วชายชุดดำจึงยื่นเงินค่าจ้างให้กับเธอก่อนจะหันไปยืนนิ่งทำหน้าที่เฝ้าหน้าห้องต่อไป
ส่วนยาหยี เมื่อได้รับเงินค่าจ้างแล้ว เธอก็เดินออกจากคอนโดแห่งนี้ไปด้วยท่าทางปกติ ราวกับสิบแปดมงกุฏมืออาชีพก็ไม่ปาน
.................
" สองพัน ! อะไรกันเฮีย เพชรตั้งหลายเม็ด เฮียให้ราคาแค่นี้เองเนี่ยนะ !"
ยาหยีโวยวายเสียงดัง หลังจากที่ออกจากคอนโดหรูแห่งนั้น หญิงสาวก็ตรงดิ่งมาที่โรงรับจำนำเจ้าประจำของเธอทันที เพราะต้องการจะปล่อยนาฬิกาที่ขโมยมาออกไปให้เร็วที่สุด
เธอถือคติว่าของร้อนไม่ควรเอาไว้กับตัวนาน เพราะมันจะนำพาความเดือนร้อนมาให้ แต่ใครจะไปคาดคิดว่านาฬิกาฝังเพชรที่เธออุตส่าห์เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางขโมยมานั้น จะมีราคาค่างวดแค่สองพันบาทเท่านั้นเอง
"เฮียดูผิดรึเปล่า ?"
เสียงหวานไม่วายย้อนถามเจ้าของร้านเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
"นี่อีหนู ไอ้เพชรในนาฬิกาของลื้อน่ะมันเป็นของปลอม ที่อั๊วให้ราคาลื้อสองพันอะนะ อั๊วให้ราคาตัวเรือนมันต่าง"
เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แน่นอนอยู่แล้วว่าสายตาของเขาไม่เคยพลาด นาฬิกาเรือนนี้เป็นเพชรแท้ที่มีราคาหลายล้าน แต่จะให้เขายอมเสียเงินจำนวนมากให้กับเด็กสาวขี้ขโมยคนนี้ เขาก็คงเป็นเจ้าของโรงรับจำนำที่โง่เต็มที
"อั๊วให้ลื้อสองพัน ลื้อจะเอาไม่เอา ไม่เอาลื้อก็ไปร้านอื่น แต่บอกเลยนะ ไม่มีใครให้ลื้อเยอะกว่าที่นี่อีกแล้ว เผลอ ๆ นา ไม่มีใครรับไว้หรอก เพราะเขารู้ว่ามันเป็นของที่ขโมยมา"
เจ้าของร้านพูดยืดยาว และทิ้งท้ายอย่างรู้ทัน แน่ล่ะ นาฬิการาคาแพงขนาดนี้ เด็กสาวกะโปโลแบบเธอจะไปเอามาจากไหนได้นอกจากจะขโมยมาท่านั้น
"ขโมยอะไรกัน หนูบอกไปแล้วไงว่ามันเป็นของแฟนเก่าหนู ตอนนี้นี้เลิกกันไปแล้ว จะเก็บไว้ก็เสียดแทงใจ สู้ขาย ๆ ไปซะ แล้วเอาเงินมาใช้ดีกว่า"
ยาหยีแกล้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ แฟนเก่าอะไรนั่นก็เหมือนกัน เคยมีกับเขาที่ไหนล่ะ ขนาดแฟนคนแรกยังหาไม้ได้เลยด้วยซ้ำ
"สองพันก็สองพัน"
สุดท้ายยาหยีก็ต้องจำใจยอมรับข้อเสนอ อย่างน้อยกำขี้ก็ดีกว่ากำตดเป็นไหน ๆ
"ก็เท่านี้ แบบนี้สิดี จะได้ทำการค้าด้วยกันอีก ดีลทั้งคู่"
เจ้าของร้านพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปหยิบธนบัตรสีเทาสองใบส่งให้หญิงสาว มือบางยื่นไปรับมาเงินมาถือไว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่เพราะเธอไม่มีทางเลือกมากนัก สุดท้ายร่างเล็กก็เดินออกจากโรงรับจำนำไปในที่สุด