เมื่อเข้ามาในห้องโถง จ้าวเยว่ย่อกายทำความเคารพมารดา ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่มารดาเรียกตนเองมาพบ “ท่านแม่เรียกให้ข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
จ้าวฮูหยินโยนของบางอย่างลงพื้น ซึ่งนั่นก็คือผ้าปิดหน้าสีแดง พร้อมกับชี้ให้จ้าวเยว่ดู “เจ้าดูเอาเอง ว่านี่คืออะไร”
ตอนนี้จ้าวเยว่รู้แล้วว่าหายนะมาเยือนตัวเองแล้ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน วิธีที่ที่ดีสุด ก็คือยอมรับไปเลยดีกว่า แล้วค่อยหาข้ออ้างว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
“ท่านแม่ คะ...คือข้าคิดว่าฝีเข็มและความสามารถด้านการตัดเย็บของข้านั้นแย่เอามาก ๆ หากข้าทำออกมาเองคงจะกลายเป็นผ้าปิดหน้าที่อัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิ ต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันเลยก็เป็นได้ ข้าเลยคิดว่า ให้ผิงผิงทำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร จ้าวฮูหยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“ถึงจะอัปลักษณ์อย่างไร เจ้าก็ต้องทำเอง นี่มันคือผ้าปิดหน้าของเจ้า ผิงผิง...เจ้าเองก็เช่นกัน ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่สมควรช่วย”
“ผิงผิงขอโทษเจ้าค่ะ ผิงผิงจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน”
ผิงผิงรีบคุกเข่ากล่าวขอโทษขอโพยฮูหยินใหญ่
จ้าวฮูหยินสูดลมหายใจเพื่อข่มโทสะของตัวเองลง เมื่อเป็นปกติแล้วจึงเอ่ยต่อ “ข้าจะสั่งลงโทษพวกเจ้า ข้าจะสั่งกักบริเวณเยว่เอ๋อร์จนกว่านางจะตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จ ส่วนผิงผิง ข้าสั่งห้ามเจ้าเข้าใกล้เรือนนอนของเยว่เอ๋อร์จนกว่านางจะทำเสร็จ ระหว่างนี้ ให้สาวใช้คนอื่นทำหน้าที่ดูแลคุณหนูของเจ้าแทนก่อน”
“เจ้าค่ะท่านแม่ / เจ้าค่ะฮูหยิน” จ้าวเยว่และผิงผิงต่างก็รับคำก่อนจะแยกย้ายกันไป ตามคำสั่งของจ้าวฮูหยิน
เมื่อกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง จ้าวเยว่ได้แต่จ้องมองผ้าสีแดงพับนั้นอย่างเหนื่อยใจ เวลานี้นางไม่มีผิงผิงคอยช่วยแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปดี ยามนี้เหมือนกับว่าอะไรอะไรก็ดูมืดมนไปเสียหมด ก่อนจะหยิบผ้าพับนั้นขึ้นมา แล้วพันรอบหัวของตัวเองเพื่อวัดขนาด ว่าผ้าปิดหน้าควรจะมีขนาดประมาณไหน
เสวี่ยช่างเจิ้นที่แอบปีนหลังคาดูนางอยู่นั้น ถึงกับต้องหัวเราะออกมา เพราะท่าทางเช่นนั้นของนาง ดูน่าขันไม่น้อย
พอวัดขนาดผ้าปิดหน้าเจ้าสาวได้แล้ว จ้าวเยว่ก็ได้ทำการตัดแล้วเย็บขอบของผ้าปิดหน้า จากนั้นก็ปักลวดลายต่อ ตลอดเวลาที่นางทำผ้าปิดหน้านั้นสีหน้าของนางบูดบึ้งยิ่งนัก ภาพของหญิงสาวนั่งปักผ้าด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งนั้น กลับสร้างความเอ็นดูให้กับเสวี่ยช่างเจิ้นยิ่งนัก
จ้าวเยว่ที่ก้มหน้าก้มตาตัดเย็บผ้าปิดหน้าด้วยความไม่พอใจมาเป็นเวลาสามวันเต็ม ก็โล่งใจขึ้นมาเมื่อผ้าปิดหน้าผืนนี้ได้เสร็จเรียบร้อย นางกางผ้าตรวจดูความเรียบร้อยอักครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องแก้ไขแล้ว จึงเดินไปเรียกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอก
“เจ้าเอาผ้าปิดหน้านี่ไปให้ท่านแม่ดู แล้วก็ไปตามผิงผิงมาหาข้าด้วย บอกว่าข้าตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จแล้ว” จ้าวเยว่ยื่นผ้าปิดหน้าเจ้าสาวส่งให้สาวใช้ที่มารดาให้มารับใช้ช่วงนี้ ให้นำไปส่งให้จ้าวฮูหยินเพื่อแจ้งว่านางได้ปักเย็บผ้าผืนนี้เสร็จแล้วจริง ๆ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้นางนั้นรับผ้าปิดหน้าแล้วเดินจากไปทันที เพื่อนำไปให้ฮูหยินของจวน
หลังจากที่อุดอู้อยู่แต่ในห้องมาเป็นเวลาถึงสามวัน จ้าวเยว่ก็อยากออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง ถึงแม้ว่านางจะชอบอยู่ในห้องขนาดไหน แต่ครั้งนี้มันรู้สึกอึดอัดมากเกินไปจริง ๆ อีกทั้งต้องมาทำในสิ่งไม่ชอบอีก
เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจ้าวเยว่ก็คิดหาวิธีแก้เบื่อขึ้นมา
“วันนี้ข้าออกไปทำอะไรดีนะ นั่งปักผ้าทั้งวัน ปวดหลังจะแย่อยู่แล้ว” นางเอ่ยกับตัวเองระหว่างรอสาวใช้คนสนิท
ระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ก็ปรากฏเสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นผิงผิงก็ก้าวเข้ามา จ้าวเยว่มองสาวใช้คนสนิทด้วยรอยยิ้มทันที
“คุณหนู ท่านตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความดีใจ
จ้าวเยว่ตอบอย่างภาคภูมิใจกับสาวใช้ของนางด้วยรอยยิ้ม “เสร็จแล้วน่ะสิ เอาไปให้ท่านแม่ตรวจดูแล้วด้วย”
“ดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ผิงผิงให้ครัวตุ๋นน้ำแกงรากบัวอยู่เดี๋ยวจะยกมาให้นะเจ้าคะ”
ผิงผิงเอ่ยบอก สายตาก็มองสำรวจคุณหนูของตนเอง มือทั้งสองของนางจับตามแขนขาของจ้าวเยว่ดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ จากนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“การปักผ้ามิได้เคี่ยวกรำคุณหนูจนให้ลำบากเกินไปใช่หรือไม่ เจ้าคะ”
“ลำบากสิ ลำบากมากด้วย เจ้าดูมือข้าสิ ข้าโดนเข็มทิ่มตำไปไม่รู้ตั้งกี่แผล จนนิ้วมือข้าพรุนไปหมดแล้ว” จ้าวเยว่ตอบพร้อมกับยื่นมือให้ดู การปักผ้าสำหรับนางนั้นเป็นเรื่องลำบากมากจริง ๆ
ผิงผิงมองแล้วพร้อมกับมีสีหน้าหน้ากังวลก่อน จะผละมือจากคุณหนูของตนแล้วเดินไปที่ชั้นวางของทันที เพื่อหยิบบางอย่าง
“คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวผิงผิงจะทำแผลให้”
จากนั้นจึงหันไปหาสาวใช้ที่เฝ้าจ้าวเยว่มาตลอดทั้งสามวันและตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้านี่ก็จริง ๆ เลย คุณหนูถูกเข็มตำขนาดนี้ ทำไมยังไม่รู้จักทำแผลให้”
“เจ้าอย่าไปว่าชุนสุ่ยเลย ข้าเองก็ไม่ได้บอกนาง เข็มตำแค่นี้ไกลหัวใจข้าทนไหว” จ้าวเยว่รีบกล่าวออกมาเมื่อเห็นสาวใช้อีกคนก้มหน้าสำนึกผิด
ผิงผิงหยิบยาและผ้าสำหรับปิดแผลขึ้นมา พลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ หากเข็มนั่นสกปรกขึ้นมาอาจทำให้เป็นแผลลุกลามได้ เสียโฉมได้เลยเจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่จ้องหน้าผิงผิงก่อนจะบอกว่า “คนอย่างข้ากลัวเสียโฉมเมื่อไรกันเล่า”
ตั้งแต่ถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเป็นระยะเวลาสามวัน โดยที่ไม่มีผิงผิง ทำให้นางรู้สึกว่าการถูกกักบริเวณครั้งนี้เป็นครั้งที่ทรมานที่สุด ที่ผ่านมาไม่ว่าจะโดนกักบริเวณสักกี่วัน ต่อให้เป็นสิบวันครึ่งเดือนก็ตาม แต่ทว่าเมื่อมีสาวใช้คนสนิทอย่างผิงผิงอยู่ด้วย ทุกอย่างก็เหมือนจะดีไปหมด อีกทั้งตัวนางเองก็สบายยิ่งกว่าอะไร
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีผิงผิงไม่อยู่นี่สิ ไม่มีแม้แต่คนที่จะคอยแสดงความคิดเห็น หรือว่าปลอบใจนางก็ยังไม่มี ชุยสุ่นก็ไม่เข้าใจนางมากพอที่จะให้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังได้
หลังจากผิงผิงทำแผลให้แล้ว จ้าวเยว่ก็สบายใจขึ้นมา
“นี่ผิงผิง เจ้าว่าวันนี้พวกเราควรไปที่ไหนกันดี” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใสพร้อมกับมีสีหน้าที่ดีไม่อมทุกข์อีก
ผิงผิงแอบถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบคุณหนูของตน “เพิ่งพ้นจากการถูกกักบริเวณเองนะเจ้าคะ คุณหนูก็จะหาเรื่องถูกลงโทษอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
คราวนี้เป็นจ้าวเยว่ที่ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผิงผิงขึ้นมาบ้าง
“เจ้าไม่รู้หรือว่าความรู้สึกของคนที่ถูกกักบริเวณเป็นเช่นไร รอบนี้ข้าถูกกักบริเวณอย่างทรมานที่สุด เจ้ามาหาข้าก็ไม่ได้ อีกทั้งข้ายังต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอีกด้วย เจ้าลองคิดดูสิว่า ข้าจะต้องทนทุกข์สักแค่ไหน”
“ก็ได้เจ้าค่ะ คุณหนูอยากไปไหนดีละเจ้าคะ” ผิงผิงที่เห็นคุณหนูของตนเองโวยวายใหญ่ ก็ยอมใจอ่อนจนได้
จ้าวเยว่หันมาสบตาผิงผิงแล้วทำตาโตใส่ ก่อนจะกล่าวประโยคต่อมา “ไปฝึกยุทธ์กัน”
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู” ผิงผิงรีบแย้งขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้ารับปากข้าแล้ว” เมื่อผิงผิงไม่เห็นด้วย จ้าวเยว่จึงได้เถียงกลับทันที
คราวนี้ผิงผิงจนมุมและไม่มีคำโต้แย้งใด ๆ อีก ได้แต่ยืนคอตกไหล่เหี่ยวอยู่ตรงนั้น ส่วนจ้าวเยว่ก็เดินไปเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกยุทธ์ เมื่อเปลี่ยนเสร็จแล้ว ก็เดินกลับมาหาผิงผิงทันที
“ไปกันเถอะ เจ้าออกไปดูที่ประตูหลังก่อน เจ้าจงนัดแนะกับคนเฝ้าประตูให้เรียบร้อย” จ้าวเยว่ออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะหากโดนจับได้ ไม่รู้ว่าทั้งนางและคุณหนูจะโดนลงโทษอะไร
ไม่นานจากนั้นทั้งคู่ก็ออกมาอยู่ที่ถนนเส้นเล็กหลังจวน ด้านหลังที่มีรถม้าจอดอยู่แล้ว เป็นรถม้าที่จ้าวเยว่แอบเช่าเอาไว้ เจ้าของรถม้านั้นอยู่ไม่ไกลจากจวนมากนัก จึงได้มีเวลาเตรียมรถม้าได้ทัน
สองนายบ่าวก้าวขึ้นไปบนรถม้าทันที จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกจากประตูหลังจวน ไปยังทิศทางของลานฝึกทางทิศตะวันตกของเมืองหมิงเวย