ลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้น
เวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น
“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่ม
ผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”
“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ
“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้อง
ส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็คิดขึ้นมาได้ ‘หรือว่าจะแอบออกไปฝึกยุทธ์ดี ถ้าออกไปฝึกยุทธ์ ร่างกายก็คงจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อย’ จากนั้นจึงได้เรียกบอกให้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทของตนไม่ต้องเอาผ้ามาแล้ว
“ผิงผิง เจ้าไม่ต้องเอาผ้าห่มออกมาแล้วล่ะ ข้าไม่ใช้แล้ว”
“ทำไมหรือเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าหนาวมิใช่หรือเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย ในเมื่อบอกว่าหนาวแล้วทำไมถึงไม่ให้เอาผ้าห่มให้ล่ะ
“ตอนนี้ไม่หนาวแล้ว ข้ามีความคิดดี ๆ ที่จะไม่ทำให้ข้าหนาวเย็นแล้วล่ะ” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้าง ท่าทางภูมิใจยิ่งนัก
“อะไรหรือเจ้าคะ ต้องไม่เป็นเรื่องดีแน่เลย” ผิงผิงเอ่ยราวกับคาดเดาได้ว่าคุณหนูของตนจะทำอะไร
จ้าวเยว่ทำหน้าตาบูดบึ้งใส่สาวใช้คนสนิท ที่ดุเหมือนจะรู้ทันนาง “เจ้านี่ก็ชอบมองข้าในแง่ร้ายอยู่เรื่อย ข้าไม่ไปทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปสังหารผู้ใด”
“จะมีสักกี่ครั้ง ที่คุณหนูคิดจะทำอะไรแล้วจะไม่ถูกฮูหยินเรียกไปพบที่ห้องโถงบ้างเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นตามจริง จะมีสักกี่ครั้งที่คุณหนูของนางทำอะไรแล้วไม่ถูกเรียก
“ก็จริงของเจ้า เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ข้าไม่ยอมหรอก อย่างไรข้าก็ต้องไปให้ได้” จ้าวเยว่เอ่ยเสียงดังขึ้นมา ก่อนที่นางจะลุกพรวดออกจากเตียง แล้วไปเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกยุทธ์ที่ทะมัดทะแมง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งออกจากประตูไปทันที
ผิงผิงที่พยายามจะวิ่งตาม แต่ก็ช้ากว่าตลอด ได้แต่ตะโกนไล่หลังให้คุณหนูของนาง “คุณหนูไปไหนเจ้าคะ รอผิงผิงด้วย”
จ้าวเยว่วิ่งออกจากห้องมาอย่างร่าเริง แต่ทว่ายังไปไม่ถึงไหนก็ต้องพบกับจ้าวฮูหยินที่เดินสวนมาเสียก่อน เนื่องจากนางกำลังจะมาหาจ้าวเยว่ อยู่พอดี
ความรู้สึกตอนนั้นของจ้าวเยว่ ก็เหมือนกับว่าถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะอย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่มุ่งหมายไว้พังทลายลงไปกับตา นางได้แต่ทำหน้าเจื่อนก่อนจะเรียกมารดาเสียงเบา
“ท่านแม่”
“เจ้าจะไปไหนหรือเยว่เอ๋อร์” ฮูหยินใหญ่เอ่ยถาม สายตาสำรวจมองดูจ้าวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่าทางของเจ้าดูเหมือนจะออกไปข้างนอก จะออกไปโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตข้า ใช่หรือไม่”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปขออนุญาตท่านแม่อยู่พอดี ว่าจะออกไปซื้อแป้งผัดหน้ามาไว้เพิ่มเสียหน่อย” จ้าวเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้าสู้หน้ามารดาสักเท่าไร
จ้าวเยว่คิดว่าคำโกหกของนาง จะสามารถทำให้นางเอาตัวรอดไปได้แล้ว แต่ว่าท่าทางที่ผิดปกตินั้นก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นมารดาอยู่ดี เมื่อมองการแต่งกายของบุตรสาวนั้นช่างผิดปกติวิสัยนัก มีอย่างที่ไหนถึงได้แต่งตัวเช่นนี้
“ไปซื้อแป้งผัดหน้าหรือ เหตุใดจึงต้องแต่งตัวเช่นนี้ บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้นะ จ้าวเยว่!!” จ้าวฮูหยินเค้นเสียงถามเยียบเย็น เมื่อเห็นการแต่งกายของจ้าวเยว่
เมื่อถูกต้อนให้จนมุม จ้าวเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่พยายามหาคำเอ่ยที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดแล้วเอ่ยออกมา
“ข้าไม่ได้โกหกนะเจ้าคะท่านแม่ ข้าจะไปซื้อแป้งผัดหน้าจริง ๆ แต่ระหว่างทางกลับข้าก็แค่จะแวะเล่นน้ำสักหน่อย แฮะ ๆ”
“เหตุผลของเจ้าฟังไม่ขึ้นเลย อากาศหนาวถึงเพียงนี้จะเล่นน้ำ... เจ้าไม่ต้องเอ่ยแล้ว ตามข้ามา” จ้าวฮูหยินคร้านจะสนใจฟังคำแก้ตัวของบุตรสาวอีกแล้ว จึงได้บอกให้นางเดินตามมา
จ้าวเยว่ปฏิเสธไม่ได้จึงได้เดินตามมารดาของตนกลับเข้าไปในห้องแต่โดยดี ส่วนผิงผิงที่ไหวตัวทัน ก็รีบวิ่งกลับมาก่อนแล้วจัดเตรียมห้องให้เรียบร้อย
เมื่อเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว จ้าวฮูหยินซึ่งมาพร้อมสาวใช้นางหนึ่ง ในมือของสาวใช้มีผ้าสีแดงผืนโปร่งบางอยู่หนึ่งพับ พร้อมทั้งสะดึงและด้ายสีต่าง ๆ อีกสามสี่ม้วน สาวใช้นางนั้นยื่นของในมือทั้งหมดให้กับจ้าวเยว่ จ้าวเยว่เองก็จำใจรับมาพร้อมกับทำหน้างุนงง
“ท่านแม่ให้สิ่งนี้ข้ามาทำไมหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่คือผ้ามงคลสำหรับให้เจ้าตัดเย็บผ้าปิดหน้าเจ้าสาว ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าต้องเป็นคนตัดเย็บมันด้วยตัวเอง และอีกเพียงสิบวันก็จะถึงวันงานแล้ว ข้าจึงต้องเอามาให้เจ้าก่อน เพราะข้ารู้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะทำเสร็จได้ภายในวันสองวันเป็นแน่”
พอได้ยินก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเล็กน้อย การเป็นเจ้าสาวว่าลำบากแล้ว นี่นางยังต้องมาลำบากตัดเย็บผ้าปิดหน้าเองอีกหรือ จึงเงยหน้ามองผู้เป็นมารดา แต่ทว่าเมื่อจ้าวฮูหยินกล่าวจบแล้ว ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้จ้าวเยว่แบกรับความลำบากใจนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ลับสายตาไปแล้วนั้น คุณหนูผู้ปราดเปรื่อง ก็หันขวับมามองผิงผิงสาวใช้คนสนิททันที ผิงผิงเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตนเอง จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ไม่นะเจ้าคะ ผิงผิงไม่ทำ”
“เจ้า...ต้อง...ทำ” จ้าวเยว่มองเข้าไปในตาของผิงผิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ผิงผิงจึงได้บอกเล่าออกไปด้วยความจนใจว่า
“มันเป็นธรรมเนียมที่จ้าวสาวจะต้องเป็นผู้ตัดเย็บผ้าปิดหน้าของตัวเอง เองเจ้าค่ะ จะให้ผู้อื่นทำแทนไม่ได้”
“เมื่อไรพวกเขาจะยกเลิกธรรมเนียมพวกนี้เสียที ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อันใดเลย สมควรจะมีร้านขายผ้าปิดหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ” จ้าวเยว่บ่นอุบเมื่อถูกสาวใช้ขัดใจ
“ทำไปเถอะเจ้าค่ะ อย่างไรเสียงานแต่งนี้ ก็เป็นงานของคุณหนู คุณหนูอยากปักลายอะไร ก็เลือกเองได้เลย” ผิงผิงเอ่ยบอกอย่างกระตือรือร้น
จ้าวเยว่ทำหน้าเอือมระอาให้ผิงผิงคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยกลับมา “ความสามารถอย่างข้าคงปักนกกระเรียนให้กลายเป็นไก่ล่ะสิไม่ว่า”
จากนั้นจึงหันไปอ้อนวอนผิงผิงอีกครั้ง “นะ...ผิงผิง เจ้าช่วยข้านะ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครแล้ว” พร้อมกับส่งสายตาที่น่าสงสารให้กับสาวใช้คนสนิท
ซึ่งตัวของผิงผิงนั้นรักคุณหนูของตัวเองยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นเมื่อถูกจ้าวเยว่อ้อนวอน ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ จึงรับผ้าสีแดงพับนั้นมาด้วยดี
“อ้อ แล้วเจ้าก็อย่าทำเสร็จเร็วเกินไปล่ะ เดี๋ยวท่านแม่จะสงสัยเอา” จ้าวเยว่ได้เอ่ยจบ นางจึงเอนหลังลงนอนบนเตียงสบายใจ เนื่องจากการปักผ้าไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการเลย
สามวันต่อมา...
จ้าวฮูหยินเข้ามาในห้องของจ้าวเยว่ เพื่อที่จะดูว่าบุตรสาวตัดเย็บผ้าปิดหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่นางเข้ามาในตอนที่จ้าวเยว่กับผิงผิงไม่อยู่
เมื่อเข้ามาแล้วก็พบว่าผ้าปิดหน้าตัดเย็บเสร็จเรียบร้อย อีกทั้งยังถูกตัดเย็บอย่างดี ฝีเข็มในการเย็บละเอียดมาก มิหนำซ้ำลวดลายที่ปักบนผ้าก็สวยงามวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง
‘นี่ต้องไม่ใช่ความสามารถของจ้าวเยว่เป็นแน่ ลูกคนนี้ช่างร้ายกาจนัก”
นางคิดในใจ จากนั้นก็เก็บผ้าปิดหน้านี้ไว้ แล้วกลับไปยังห้องโถงและนั่งรอบุตรสาวจอมเจ้าเล่ห์ของตน
ไม่นานก็มีเสียงเดินและเสียงสนทนาดังมาจากทางประตูเข้าจวน เป็นจ้าวเยว่กับผิงผิงที่เพิ่งกลับมาจากออกไปเดินเล่นข้างนอกกับซูหนิง เมื่อกลับมาถึงจวน ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไป บ่าวที่เฝ้าประตูก็เอ่ยขึ้นมา
“ฮูหยินให้คุณหนูไปพบที่ห้องโถงขอรับ”
จ้าวเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดร่าเริงทันที ก่อนจะก็โอดครวญขึ้นมา “ห้องโถงอีกแล้ว นี่มันห้องประหารข้าชัด ๆ”
กล่าวจบก็เดินทำหน้าตาอิดโรยไปยังห้องโถงทันที โดยมี ผิงผิงสาวใช้คนสนิทตามไปด้วย
ผิงผิงสังหรณ์ใจว่า จะต้องเป็นเรื่องผ้าปิดหน้าเป็นแน่ นี่แสดงว่า ฮูหยินจะรู้ความจริงแล้ว