ลานฝึกแห่งนี้เป็นลานฝึกเฉพาะสำหรับแม่ทัพนายกองระดับกลางขึ้นไป ซึ่งจ้าวหลู่เจินพี่ชายคนโตของจ้าวเยว่ก็ฝึกที่นี่ด้วย เนื่องจากเขาเป็นถึงรองแม่ทัพ จึงมีสิทธิ์ที่จะพาคนของตนเองเข้ามาฝึกในลานฝึกแห่งนี้ได้ ดังนั้นจ้าวเยว่จึงได้แอบมาฝึกยุทธ์ที่นี่อยู่บ่อยครั้ง
นอกจากจะมีพี่ชายของตนอยู่ที่นี่แล้ว ลานฝึกแห่งนี้ ก็ยังไม่ไกลจากจวน หากว่าจ้าวฮูหยินเรียกหาเมื่อไร ก็สามารถวิ่งหรือไม่ก็ขี่ม้ากลับไปได้ทันที
จ้าวเยว่คุ้นเคยกับเหล่าแม่ทัพนายกองเป็นอย่างดี ถึงขั้นเคยประลองกันมาแล้วก็ตั้งหลายหน จึงไม่ได้มีการเคอะเขินแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษเหล่านี้ มีก็แต่ผิงผิงที่รู้สึกจะไม่ค่อยสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คุ้นชินกับการที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมาย
“พี่ใหญ่!!” จ้าวเยว่ตะโกนเสียงดัง จนเหล่าแม่ทัพนายกองหันมากันหมด ที่ฝึกกันอยู่ก็ถึงกับหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาทักทายเป็นเสียงเดียวกัน
“คุณหนูจ้าว ยินดีที่ได้พบ”
“คารวะทุกท่าน ยินดีเช่นกัน” จ้าวเยว่ตอบกลับ พร้อมกับโบกมือให้พี่ชายของนางด้วยรอยยิ้ม
จ้าวหลู่เจินเก็บดาบใส่เข้าฝัก ก่อนจะเดินมาหาน้องสาว โดยมีทหารอีกสองสามนายเดินตามมาด้วย เขามองสำรวจดูจ้าวเยว่ที่แต่งกายในชุดฝึกยุทธ์อย่างเรียบร้อย พร้อมกับเอ่ยถาม เพราะเข้าใจว่าน้องสาวนั้นยังโดนทำโทษถูกกักบริเวณอยู่
“วันนี้ออกมาได้แล้วหรือ เจ้ามิได้โดนกักบริเวณ จนกว่าจะตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จหรือ”
“ข้าทำเสร็จแล้ว” จ้าวเยว่ยืดอกตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าไม่อยากจะเชื่อ” จ้าวหลู่เจินเอ่ยขึ้นพลางมองน้องสาวตนเองด้วยสายตาประหลาดใจ
“ข้าเย็บเสร็จแล้วจริง ๆ พี่ใหญ่ ท่านกล่าวเหมือนกับว่าข้าเป็นสตรีไร้ความสามารถอย่างนั้นล่ะ” จ้าวเยว่ยืนยันว่านางนั้นเย็บผ้าปิดหน้าเจ้าสาวเสร็จแล้วจริง ๆ พร้อมกับมีอาการแง่งอนให้กับพี่ชาย ที่ไม่ยอมเชื่อว่านางทำเสร็จแล้ว
จ้าวหลู่เจินเห็นน้องสาวทำท่าทางงอน ก็รีบเข้าไปง้อทันที
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าทำมันเสร็จเร็วเกินไป หากท่านแม่ตรวจดูแล้วเห็นว่าไม่ผ่าน จะลำบากเอาน่ะสิ”
“ผ่านไม่ผ่านข้าก็ไม่สนใจแล้ว ข้าไม่ยอมทำใหม่เป็นแน่ ข้าไปฝึกยุทธ์ดีกว่า” จ้าวเยว่เอ่ยจบก็ก้าวเท้าฉับ ๆ ไปที่ห้องเก็บอาวุธทันที
เมื่อเห็นดังนั้นจ้าวหลู่เจินกับผิงผิงจึงได้เดินตามมาด้วย จ้าวเยว่มองดูอาวุธแต่ละอย่าง ไล่ตั้งแต่ซ้ายไปขวา ตอนนี้นางยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเริ่มฝึกอันไหนก่อนดี มองแล้วก็มองอีก จึงได้ตัดสินใจหยิบคันธนูขึ้นมา จ้าวหลู่เจินรีบคว้ากระบอกใส่ลูกธนูแล้วเดินตามนางออกไป
จ้าวเยว่ยืนประจำที่ในตำแหน่งยิงระยะแรกที่ใกล้ที่สุด จ้าวหลู่เจินนำกระบอกใส่ลูกธนูไปวางไว้ข้าง ๆ นางหยิบลูกธนูขึ้นมา ก่อนจะน้าวสายเล็งไปที่เป้าแล้วยิง ลูกธนูปักเข้าไปในตำแหน่งด้านล่างของเป้าเยื้องไปทางขวาเล็กน้อย
“น้องสาม เมื่อสักครู่เจ้าไม่ได้มีสมาธิเลย” จ้าวหลู่เจินเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นการยิงธนูของน้องสาวที่ดูเหมือนจะพลาดเป้า
“ข้าจะลองอีกครั้ง”
จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกธนูดอกแรกของตนไม่เข้าเป้า นางก็เหมือนจะอารมณ์เสียมากกว่าเดิม ก่อนจะหยิบลูกธนูขึ้นมาอีกหนึ่งดอก น้าวสายเล็งแล้วยิง คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ลูกธนูไม่เพียงแต่จะไม่เข้าเป้าแต่กลับเฉออกไปจนไปปักยังผนังด้านหลัง
“นี่มัน....” จ้าวเยว่ถอนหายใจด้วยความโมโห
จ้าวหลู่เจินเห็นว่าน้องสาวน่าจะไม่ไหว จึงได้สั่งให้ผิงผิงไปเอาชามาจากห้องด้านใน ส่วนตนเองเดินไปหาจ้าวเยว่แล้วตบบ่านางเบา ๆ
“ข้าว่าเจ้าพักดื่มชาก่อนเถอะ หากดึงดันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” จ้าวหลู่เจินเอ่ยปลอบโยนน้องสาวของตน
ไม่นานผิงผิงกลับออกมาพร้อมกับชาหนึ่งกาและถ้วยชาอีกสองใบ สองพี่น้องจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้สำหรับผู้ตัดสินนั่ง เวลาที่มีการประลอง
จ้าวเยว่ยกชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะมองไปยังลานประลองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งถือทวนชี้ลงพื้นอย่างสง่าผ่าเผย เขาเพิ่งจะล้มคู่ต่อสู้ที่ใช้ดาบโค้งคู่ จนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น
“เจ้าอยากระบายอารมณ์ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองออกไปสู้กับเขาเถอะ” จ้าวหลู่เจินบอกพลางส่งสายตาไปให้ทหารถือทวนนายนั้น
จ้าวเยว่เลือกที่จะใช้ทวนในการต่อสู้เช่นกัน นางเลือกทวนอันหนึ่งที่มีขนาดและน้ำหนักพอเหมาะกับตนเอง แล้วจึงถือทวนไพล่หลังเดินเข้าไปหาเขาช้า ๆ ทั้งสองยืนอยู่บนจุดที่กำหนดไว้หันหน้าเข้าหากันในท่าเตรียมพร้อม
จ้าวหลู่เจินที่พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินก็เดินเข้าไปกลางวง เหล่าทหารเมื่อเห็นว่าคู่ประลองคู่นี้เป็นคุณหนูจ้าว ก็พากันตื่นเต้นกันใหญ่ อีกทั้งคู่ปรับของนาง ยังเป็นถึงหัวหน้านายกองของพลทหารที่ถือทวนคนใหม่อีกด้วย ดูไปแล้วคู่นี้ออกจะสมน้ำสมเนื้อไม่น้อย
เสียงฆ้องดังหนึ่งครั้ง เป็นสัญญาณบอกว่าให้เริ่มการต่อสู้ได้ กติกามีเพียงว่าหากผู้ใดล้มลงจนสู้ต่อไม่ได้ ถือว่าแพ้ และผู้ใดที่ถูกดันจนถอยร่นออกจากสนามไป ถือว่าแพ้
การต่อสู้เริ่มจากจ้าวเยว่ที่มีอารมณ์โทสะอัดอั้นอยู่เต็มอกวิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ก่อน นางแทงทวนเป็นจังหวะตามเพลงทวนที่เคยฝึกมา ก่อนจะวาดทวนเพื่อที่จะตีที่ขาของเขาหนึ่งครั้ง แต่ว่าอีกฝ่ายก็สามารถกระโดดหลบได้อย่างว่องไว ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าจ้าวเยว่จะเป็นฝ่ายรุก แต่ทว่านายกองผู้นั้นกลับตั้งรับด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
จ้าวเยว่เริ่มหอบหายใจเล็กน้อยด้วยความเหนื่อย
“คุณหนู ท่านวู่วามเกินไป” นายกองผู้นั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ
เหมือนว่าจ้าวเยว่จะได้สติขึ้นมา จึงหยุดการบรรเลงเพลงทวนแล้วตอบกลับไป “ได้ ข้าจะตั้งสติใหม่”
หลังจากนั้นทั้งสองจึงห้ำหั่นกันอีกครั้ง เสียงกระทบกันของทวนโลหะดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่าทหารที่พนันขันต่อกัน ว่าใครจะชนะในการประลองครั้งนี้
ผลการประลองจบ ด้วยการที่ปลายทวนของทั้งคู่จ่ออยู่ที่คางของทั้งสองฝ่าย
ทหารบางคนก็โห่ร้องด้วยความยินดีและปรบมือให้กับการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ บางคนก็โห่ร้องอย่างเสียดาย เนื่องจากในเมื่อจบด้วยการเสมอกันอย่างนี้ ก็ไม่มีผู้ใดได้เงินเดิมพัน
จ้าวเยว่และนายกองผู้นั้นทำการคำนับเพื่อเป็นการขอบคุณซึ่งกันและกัน จากนั้นจ้าวเยว่ก็เดินกลับมานั่งจิบน้ำชาที่โต๊ะต่อกับพี่ชายของนาง
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือไม่” จ้าวหลู่เจินเอ่ยถามน้องสาวทันทีเมื่อนางกลับมาถึง
จ้าวเยว่รินน้ำชาดื่มหลายถ้วยก่อนจะตอบ “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่นายกองผู้นั้นเพิ่งมาใหม่หรือเจ้าคะ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก”
“เขาสมัครเข้ามาเป็นทหารใหม่น่ะ แต่ว่าพอเข้ามาแล้วแสดงความสามารถด้านการใช้ทวนได้ดี ท่านแม่ทัพเลยให้เป็นนายกองคุมพลทหารราบถือทวน” จ้าวหลู่เจินตอบกลับ
จ้าวเยว่ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ เขาออมมือให้ข้า”
“เป็นเช่นนั้น เขาดูออกว่าจิตใจเจ้าไม่สงบ จึงได้ระวังอย่างมาก คงกลัวเจ้าจะบาดเจ็บ” จ้าวหลู่เจินกล่าวขึ้นมาอย่างที่สายตาเขาประจักษ์ วันนี้จ้าวเยว่ดูไม่มีสมาธิจริง ๆ
“ข้าเองก็รู้สึกได้ว่าเขามีความสามารถไม่น้อย” จ้าวเยว่กล่าวขึ้นพร้อมกับพยักหน้ารับรู้สิ่งที่พี่ชายบอก
“แล้วเจ้าจะฝึกอะไรต่อ กลับไปฝึกธนูดีหรือไม่” จ้าวหลู่เจินถามอีกครั้ง เมื่อเห็นน้องสาวนั่นพักจนหายเหนื่อยแล้ว
“อืม”
จ้าวเยว่พยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบคันธนูกับกระบอกใส่ลูกธนูมา นางเดินไปที่จุดกำหนดให้ยืนอีกครั้งจากนั้นก็น้าวสายเล็ง นางกำลังจะปล่อยลูกธนู
แต่ทว่ามีเสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านหน้าลานฝึก การปล่อยลูกธนูครั้งนี้จึงพลาดไปจนเกือบโดนเข้ากับศีรษะของทหารนายหนึ่ง ที่กำลังเดินออกมาจากห้องด้านหลัง ทหารนายนั้นถึงกับใจหายวาบ
“คุณหนูขอรับ!” บ่าวจากจวนผู้หนึ่งวิ่งมา เขาตะโกนเสียงดังลั่นลานฝึก
“มีอะไร! เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าเกือบทำให้นางฆ่าคนตายแล้ว” จ้าวหลู่เจินถามขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดใส่บ่าวคนนั้นทันที
บ่าวชายคนนี้รีบตอบอย่างลุกลี้ลุกลน “ขอโทษขอรับคุณชาย ตอนนี้ฮูหยินของตระกูลเสวี่ยมาที่จวนขอรับ ฮูหยินตามหาคุณหนูอยู่ คุณหนูรีบกลับเถอะขอรับ”
“เหตุใดเสวี่ยฮูหยินจึงต้องมาตอนนี้ด้วยเจ้าคะ ไม่เห็นท่านแม่บอกข้าเลย”
จ้าวเยว่เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับมีสีหน้างุนงงว่า เสวี่ยฮูหยินมาทำไมที่จวนสกุลจ้าว จนลืมไปว่านั่นคือว่าที่แม่สามีของนาง
จ้าวหลู่เจินเห็นสีหน้าของน้องสาวเป็นเช่นนั้นก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขาได้แต่ตบบ่านางแล้วชี้ไปทางรถม้า
“เจ้ารีบกลับจวนไปเถอะ อย่าให้เป็นเรื่องเลย เดี๋ยวจะถูกสั่งกักบริเวณในวันเข้าหอเอา”
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงเย้ยหยันข้านัก ข้าไม่เอ่ยกับท่านแล้ว”
จ้าวเยว่เดินออกจากที่ลานฝึกแห่งนี้ไปขึ้นรถม้าทันที