๕ ความงามของคนข้างกาย

2649 Words
​ นี่ก็ผ่านมาราว10ปีแล้ว ที่ผมมาเกิดใหม่ในร่างขุนช้างหรือหยินเฟิง หลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากจากต้นฉบับ ตอนนี้ผมเองก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเอฟเฟค*ผีเสื้อขยับปีก ผมไม่รู้ว่าการที่ผมไม่ได้ดำเนินตามเนื้อเรื่องต้นฉบับจะทำให้อนาคตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง *ผีเสื้อขยับปีก การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่ส่งกระทบอย่างมาก แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าอนาคตข้างหน้าต้องดีกว่าเดิมเป็นแน่ เพราะนอกจากขุนช้าง(ผมเอง)จะไม่ทำตัวแย่ๆอย่างการไปบังคับขืนใจวันทองแล้ว ขุนแผน(อ้ายลูกหมา)ก็ยังเป็นเด็กดีมากด้วย ส่วนวันทองคนสวย นอกจากจะปลอดภัยจากมือชายใจโฉดอย่างขุนช้าง(ต้นฉบับ)แล้ว ยังกลายมาเป็นหญิงแกร่ง ที่ไม่ยอมให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบง่ายๆด้วย และที่ดูจะต่างไปจากต้นฉบับที่สุดคงเป็นหยางรุ่ย เพราะนอกจากจะไม่สนใจสาวสักเท่าไหร่ ยังจะติดเพื่อนเอามากๆ วัยกำลังเข้าสังคมแหละเนอะ "หยินเฟิงง~ ข้ากลับมาแล้ว~" ตายยากจริงอ้ายหมานี่ แค่นึกถึงก็โผล่มาเลยหรอ ปัจจุบันนี้ผมกับหยางรุ่ยค่อนข้างสนิทกันมาก เรียกได้ว่าเพื่อนซี้เลย ถ้าเห็นผมที่ไหนมีหมากระเป๋า(?)ติดไปด้วยที่นั่น แต่จะว่าทางนั้นว่าเป็นหมากระเป๋าไม่ได้แล้วสิ เดี๋ยวนี้เด็กนั่นพัฒนา เป็นหมาชิบะแล้วนะ(แต่ก็หมาอยู่ดี) "อะไรของเจ้าหยางรุ่ย" ผมออกจากห้องไปหาหยางรุ่ยที่ยังคงระริกระรี้เหมือนเด็กเห่อของเล่นมิปาน เมื่อหลายวันก่อนหยางรุ่ยมีโอกาสตามพ่อตัวเองไปในเมือง ผมกับเจ้าเด็กนี่เลยได้อยู่ใครอยู่มันไปหลายวัน พอไม่มีเสียงเด็กนี่คอยกวนใจ ผมเองก็ค่อนข้างเหงานะ เพราะปกติอยู่ด้วยกันตลอดกลายเป็นว่าผมเองก็เริ่มติดหยางรุ่ยแล้ว เจ้าเด็กนี่ทำให้มนุษย์ที่ไม่ชอบสังคมแบบผมไปเข้าสังคมกับตัวเองได้ นับว่าเป็นอะไรที่อเมซิ่งมาก อาจจะเป็นผลจากความสดใสร่าเริงของเจ้าตัวด้วย เลยทำให้ผมอยู่ใกล้แล้วสบายใจ ว่าไปนั่น "ข้ากลับจากเมืองแล้ว ซื้อของมาฝากเจ้าด้วย!" "หื้ม?" จะไปไหนมาไหนจำเป็นต้องรายงานผมด้วยหรือไง ทำเหมือนสามีออกไปทำงานแล้วให้ภรรยาเฝ้าบ้านไปได้ ชิบหาย คิดเองเขินเอง ผมสลัดความคิดบ้าๆออกจากหัวตัวเองแล้วก้มดูของที่เจ้าเด็กหิ้วมา มันเป็นห่อผ้าทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกปิดไว้ให้ไม่เห็นของข้างใน ผมเลยเลิกคิ้วเชิงเป็นคำถามมองไปที่อีกคน "เจ้านี่คืออะไรน่ะ" หยางรุ่ยได้ยินแบบนั้นก็ค่อยๆบรรจงวางห่อผ้าลงบนโต๊ะแล้วเปิดผ้าที่ปิดของข้างในออก กล่องที่ถูกห่อด้วยผ้ามีสีดำด้านลายทองท่าจะราคาแพงน่าดู แต่คงไม่แพงไปกว่าของข้างใน เพราะพอหยางรุ่ยเปิดกล่องออกผมก็ตาโตขึ้นมาทันที มันเป็นหยกสีฟ้าประกายทรงโดนัทแต่รูตรงกลางกว้างแค่พอให้เชือกร้อยได้เท่านั้น รอบวงเองก็แกะสลักสวยงามเป็นรูปหงส์สีขุ่นใสตามเนื้อหยกต่างกันไป หยางรุ่ยที่เห็นผมดูจะชอบใจก็ยิ้มมุมปาก มองอีกคนที่ตาเป็นประกายมองของในกล่องไม่วางตา "ข้านำมาให้เจ้า" หยินเฟิงมองของในกล่องสลับกับหน้าหยางรุ่ยอย่างแปลกใจ "มันจะดีหรือ ของนี่ดูมีราคาจนข้าไม่กล้ารับไปเลย" "มิต้องกังวล เจ้านี่น่ะเป็นหยกประจำตัวที่ข้าสั่งแกะสลักขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ดูสิข้าเองก็มีนะ หยกของข้าสีเหมือนดวงตาของข้า ส่วนหยกของเจ้าก็สีเหมือนดวงตาของเจ้า" ไม่ว่าเปล่าหยางรุ่ยก็หยิบหยกข้างเอวสีทองประกายลายพยัคฆ์ขึ้นมาโชว์ หยกเนื้อดีแกะสลักปราณีตเงาวาว เนื้อหยกและคุณภาพการแกะสลักของหยกทั้งสองเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย ต่างกันแค่ที่สีและลายบนหยก ที่ของหยินเฟิงเป็นหยกฟ้าลายหงส์ ส่วนของหยางรุ่ยเป็นพยัคฆ์สีทอง แต่จะว่าไป หยกคู่นี่เขาให้กันไว้เป็นของแทนใจไม่ใช่หรอ? แต่หยางรุ่ยคงจะให้ผมใจฐานะเพื่อนสนิทนั่นแหละ อื้มๆ "งั้นข้าขอรับน้ำใจเจ้าไว้ละกันนะ" หยินเฟิงหยิบหยกสีฟ้าสวยมาผูกไว้ที่เอวฝั่งซ้าย มันค่อยข้างเข้ากันได้ดีกับชุดสีขาวของเขา พอติดลงไปแล้วมันก็กลมกลืนกันไปหมด แม้จะมีหยกประดับติดปิ่นอยู่แล้ว แต่ได้มาเพิ่มก็นับว่าไม่แย่ ของสำคัญ ของคนสำคัญ *^* "ขอบใจเจ้ามาก" พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มอย่างพออกพอใจหยางรุ่ยก็พลางยิ้มไปด้วย "ข้าเต็มใจ แต่ขอของตอบแทนเป็นขนมที่เจ้าทำได้หรือไม่" ทางด้านหยางรุ่ยเองไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงชอบขนมที่หยินเฟิงทำเสมอ กลัวจริงว่าสักวันคนที่ลงพุงจะไม่ใช่ขุนช้างอย่างหยินเฟิงแต่เป็นขุนแผนแบบหยางรุ่ยนี่สิ "ย่อมได้อยู่แล้ว รอสักครู่เดี๋ยวข้าไปทำขนมมาให้" ก็เด็กนี่อยากกินหนิ เอาไวถ้าอ้วนค่อยให้ลดละกัน.. "ข้าไปด้วย!" หยินเฟิงมองหมาชิบบะข้างๆแล้วยิ้มอ่อนออกมา ก่อนจะเดินนำไปทำขนมให้เจ้าเด็กหยางรุ่ย ความสัมพันธ์ของทั้ง2เป็นไปเรื่อยๆอย่างปกติสุขทุกวัน หยางรุ่ยมาเที่ยวเล่นบ้านหยินเฟิง หยินเฟิงก็ทำขนมมาให้อีกคนกิน บางวันก็พากันวาดรูป ยิงธนู ลองดาบ ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันในทุกๆวันอย่างเป็นปกติ เวลาแห่งความสุขแบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนกันนะ เวลาผ่านไปเร็วมาก เหมือนกระพริบตาสองทีตื่นมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าช่วงอายุประมาณนี้ มันจะเป็นช่วงจุดเปลี่ยนของวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน พ่อวันทองตาย จากอาการป่วย พ่อขุนช้างตาย จากการโดนโจรขึ้นบ้าน พ่อขุนแผนตาย จากการตามเสด็จไปประพาสป่า แต่ที่พีคที่สุดคือการที่ขุนแผนต้องหนีไปต่างจังหวัด ไม่งั้นทุกอย่างของตัวเองจะโดนริบไปเป็นของหลวง แล้วจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกเลย ระยะเวลาที่ขุนแผนย้ายไปต่างจังหวัดในเนื้อเรื่องก็ราวๆเกือบๆ10ปี กว่าจะได้กลับมาเจอกับเพื่อนเก่าอย่างขุนช้าง และวันทองอีกครั้ง ทางด้านบ้านวันทอง ผมหมดทางจะช่วยจริงๆ เพราะพ่อวันทองป่วยตายธรรมชาติ ส่วนทางบ้านขุนช้าง(บ้านผมนี่แหละ) ผมได้จ้างคนที่เหมือนกับองครักษ์เงามาคอยเฝ้าบริเวณรอบจวนราวๆ50คนได้ ที่ผมต้องให้คนเหล่านี้คอยดูแลแบบไม่แสดงตัวให้คนเห็น ก็เป็นเพราะบ้านผมเขามั่นใจในระบบการป้องกันของตัวเองจนประมาท ตอนผมเสนอให้จ้างคนมาเฝ้าระวังจวนเพิ่มทางนั้นก็ปฏิเสธลูกเดียว ผมเลยทำได้แค่เอาเงินส่วนตัวจ้างพวกเขาให้คอยระวังภัยให้จวนตัวเองเงียบๆ ที่ลำบากหน่อยคงเป็นบ้านขุนแผน ผมบอกเลยว่าถ้าหากผมยื่นมือเข้าช่วยจนพ่อขุนแผนไม่โดนฆ่าตาย เอ็ฟเฟคผีเสื้อขยับปีกต้องรุนแรงมากแน่ๆ เพราะตรงจุดนี้มันเป็น1ในจุดพีคของเนื้อเรื่องเลยทีเดียว แต่แล้วไง ผมคิดจะเปลี่ยนอนาคตอยู่แล้ว พระเอกถ้าแม่งจะเทพมันไม่ต้องไปไหนไกลมันก็เทพครับ และอีกอย่าง ผมไม่อยากแยกจากกับเด็กนั่นนี่นา ตอนอยู่โลกเก่าผมค่อนข้างเก็บตัว เป็น*introvert คนนึงที่เพื่อนน้อยมาก วันๆก็เอาแต่ทำงานไม่ได้คุยกับใคร พอมาชาตินี้ก็มีหยางรุ่ยนี่แหละที่ผมพูดได้เต็มปากว่าคือเพื่อนจริงๆ เพื่อนคนสำคัญที่ผมเสียเขาไปไม่ได้ *introvert คือ พวกที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมหรือสุงสิงกับใคร และแผนของผมในการช่วยพ่อของหยางรุ่ยก็คือ การให้คนแก่แต่งตัวขลังๆแกล้งๆไปขอข้าวขอน้ำบ้านขุนแผน แล้วก็ตอบแทนบุญคุณโดยการดูดวงให้ และดูดวงให้พ่อขุนแผนโดยการบอกเฮียแกว่าภายในระยะเวลาอันใกล้นี้เฮียแกไม่ควรฆ่าสัตว์ใหญ่เกิน10ตัวไม่งั้นจะมีอันเป็นไป พร้อมให้คนที่จ้างมาโชว์อภินิหาร(มายากล)ให้ดูเพื่อความน่าเชื่อถือ เป็นงะ! จีเนียส แต่นี่ก็ยังเป็นแผนคร่าวๆ เพราะผมจะต้องทำอะไรให้รัดกุมกว่านี้ มีแผนAก็ต้องมีB ! แต่คงต้องรอดูต่อไปเพราะตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้แบบ100% ระหว่างนั้นผมก็คงจะต้องใช้เวลาที่เหลือกับหยางรุ่ยให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน "หยางรุ่ย คืนนี้มีเทศกาลชมจันทร์เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่" ช่วงนี้ผมค่อนข้างติดหยางรุ่ยแจ จากปกติที่อีกฝ่ายมักมาหาผมที่จวนบ่อยๆเดี๋ยวนี้ก็เป็นผมเองที่มาหาอีกคนที่จวนแทน "หยินเฟิงช่วงนี้เจ้าแปลกไปนะ ปกติมิเห็นจะมาหาข้าบ่อยเช่นนี้" "มิได้หรือ" "ได้สิ! ได้อยู่แล้ว เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน" แม้จะเล็กน้อยแต่ผมก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มอย่างพอใจไปถึงดวงตา บางทีผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าสายตาที่เขาใช้มองมามันเหมือนกับที่เพื่อนปกติใช้มองกันรึเปล่า หลายครั้งที่หยางรุ่ยเหมือนพยามบอกอะไรกับผม แต่ผมก็จะทำเป็นไม่รู้หรือไม่เอะใจอะไรไปซะทุกครั้ง อย่างเช่นเรื่องบางเรื่องที่ควรเอาไปทำกับนางเอกก็มาทำกับผมซะงั้น และคำพูดบางอย่างของอีกคน บางทีมันก็ชัดเจนซะจนคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เอาเป็นว่าให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองดีกว่า "แล้วที่ข้าถามล่ะ" "ถึงเจ้าไม่ชวน ข้าก็คิดจักชวนเจ้าอยู่แล้ว" ผมกดยิ้มอย่างพอใจเป็นยิ้มที่มาจากข้างในโดยที่ผมไม่ต้องฝืนตัวเองเลย ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับหยางรุ่ย ผมค่อนข้างเป็นตัวเองและผ่อนคลาย แม้อีกคนจะอายุไม่มากแต่หยางรุ่ยก็ไม่ได้งี่เง่าเลย กลับกันหยางรุ่ยค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่มากเลยด้วยซ้ำ "ให้ข้าไปรับเจ้าที่จวนดีหรือไม่ เจ้าจักได้ไปกับข้าทีเดียว" ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนหยางรุ่ยเดินมาหาผมแล้วโอวเอวเชิญให้พักกินขนมจิบชาในจวนเจ้าตัว ผมรู้สึกเกร็งเล็กน้อยจากสัมผัสของอีกคน ไม่รู้เพราะอะไรช่วงนี้ความรู้สึกบางอย่างของผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ บางทีก็รู้สึกร้อนหน้าวูบวาบ ไม่ก็ใจเต้นแรง และทุกครั้งมันก็จะเป็นตอนที่อยู่กับหยางรุ่ย.. "อากาศดีจริง วันนี้ฟ้าค่อนข้างโปร่งช่างเหมาะแก่การชมจันทร์นัก" หยางรุ่ยล้มตัวลงนอนลงบนผืนหญ้านิ่ม ที่ๆเราอยู่ตรงนี้คือที่ราบบนภูเขา จากบนนี้สามารถมองลงไปเห็นเมืองข้างล่างที่มีแสงระยิบระยับจากการจัดเทศกาลชมจัทนร์ โดยปกติเทศกาลนี้จะเป็นเทศกาลของคู่รัก แต่ไม่รู้อะไรมันดลใจให้ผมพาหยางรุ่ยมากับตัวเองในเทศกาลแบบนี้.. ประหม่าจัง.. "หยินเฟิง เจ้าเป็นอะไรไป" ผมหลุดจากภวังค์ทันทีที่อีกฝ่ายเอามือขาวมาอังที่หน้าผาก อีกคนทำเหมือนเป็นเรื่องปกติต่างจากผมที่ทำอะไรไม่ค่อยถูก "ตัวเจ้าก็มิได้ร้อนนี่" ถึงหยางรุ่ยจะว่าแบบนั้นแต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกร้อนๆบนใบหน้าแปลกๆเหมือนกัน ก็นะใครจะไปปกติกับสถานะการณ์แบบนี้ได้เล่า แต่ถึงแบบนั้นหน้าร้อนๆของผมก็สวนทางกับอากาศเย็นๆบนภูเขามาก หนาว หนาวว๊อยยย ใครมันเป็นคนต้นคิดเอาผมมาวิบากกรรมที่นี่! อ้อ ตัวผมเอง "หนาว อากาศบนนี้เย็นนัก" ผมว่าพลางลูบๆแขนตัวเองเบาๆ บนนี้มันหนาวจริงๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาว รู้งี้ผมคงจะใส่เสื้อหนาๆมามากกว่านี้ "งั้น...เจ้าเอาเสื้อข้าคลุมไว้" ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายก็ถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองมาให้ผมห่มตัว "เจ้ามิหนาวหรือ" "มิหนาว ข้าแข็งแรง" เสร็จสรรพอีกฝ่ายก็วิดพื้นโชว์ผมไปทีนึง เป็นการพิสูจน์คำพูดตะกี้ของตัวเอง จ้าพ่อ เชื่อแล้วจ้าว่าพ่อแข็งแรง เห็นเจ้าเด็กนี่ดูไม่เดือดร้อนอะไรผมก็กระชับเสื้อคลุมของอีกฝ่ายแน่น จะว่าไปบนเสื้อคลุมของอีกคนก็ยังมีกลิ่นอ่อนๆติดมาด้วย กลิ่มหอมละมุนเหมือนยอดชาอ่อน ดมแล้วผ่อนคลายดีจัง เอ้ะ นี่ผมทำอะไรอยู่ "ห้าว~หยินเฟิงเจ้าก็นั่งตรงนี้สิ" อีกคนตบๆพื้นข้างตัวให้ผมลงไปนั่งเป็นเพื่อน ผมที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา พาตัวเองลงไปแหมะข้างตัวอีกคน แต่ยังไม่ทันตั้งสติดีอีกคนก็ทำสติผมเตลิดไปแล้ว "หยางรุ่ยเจ้าทำอะไร!" พอผมนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างหยางรุ่ย จู่ๆอีกฝ่ายก็ล้มตัวหนุนตักผมทันทีแบบไม่ทันตั้งตัว "ขอยืมตักเจ้าหน่อย" "เจ้านี่มัน..." ผมหมดคำจะพูดกับอีกฝ่าย ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วเอามือที่ไม่รู้จะไปวางไว้ตรงไหนไปแปะบนหัวคนที่นอนหนุนตักตัวเองอยู่แทน พอนั่งกินลมชมบรรยากาศไปสักพักข้างล่างก็เริ่มปล่อยโคมขึ้นท้องฟ้าเป็นภาพที่น่าดูชมไม่น้อย ท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงิน คืนสิ้นแสงไร้ดาวมีเพียงดวงจันทร์ใบใหญ่ประดับท้องฟ้าสีหม่น บัดนี้มีโคมแสงระย้าลอยล่องสู่ท้องนภาประดับคู่ดวงจันทร์ สีครามหม่นของท้องฟ้าช่างเหมือนกับดวงตาสีทะเลลึกของหยินเฟิน ส่วนสีของดวงตาหยางรุ่ยเองก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์ที่ทอประกายเด่นท่ามกลางท้องฟ้าและแสงโคม น่าดูชมไม่น้อย ระหว่างที่หยินเฟิงชื่นชมความงามของธรรมชาติและเทศกาลอยู่นั้น ทางด้านหยางรุ่ยก็กำลังชมความงามของบางสิ่งอยู่เช่นกัน แต่มิใช่ความงามของธรรมชาติและแสงโคม แต่เป็นความงามของคนข้างกายต่างหาก อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เหลือเกิน เวลาที่ข้าแลเจ้าได้ใช้ร่วมกัน ไร้กำแพงขวางกั้น ไร้เหตุผลใดที่เจ้ากับข้าจะพากันแยกจาก เจ้าเป็นท้องฟ้า ข้าคือดวงจันทร์ เคียงคู่กันตลอดไป.. TBC. ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD