"หยินเฟิงวันนี้วันพระ เราไปทำบุญกันที่วัดด้วยกันดีหรือไม่ ถ้าเจ้าไปข้าจะไปชวนหยางรุ่ยด้วย"
วันนี้ฉินหนิงตื่นเช้ามาเคาะจวนผมตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นภูเขา ผมที่สะลึมสลือกึ่งหลับกึ่งตื่นโดนเด็กผู้หญิงลากมาเตรียมของไปวัดแบบงงๆ ระหว่างนั้นเองฉินหนิงก็ลากคอเด็กอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย
"นี่หยินเฟิงเจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าข้าจะ'แงะ'เจ้าหยางรุ่ยออกจากที่นอนได้นั้นยากลำบากขนาดไหน แต่พอข้าบอกว่าเจ้าไปด้วยนะ หยางรุ่ยก็ดีดตัวขึ้นมาทันทีเลย" ฉินหนิงว่าด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าพลางถือตระกร้าดอกไม้ธูปเทียนเดินไปด้วย
"พูดมากจริงฉินหนิง!" คราวนี้คนโดนพูดถึงก็เถียงขึ้นมาบ้างแบบไม่มีใครยอมใคร
ตลอดเวลาที่พวกเราไปวัดกันก็จะมีเสียงบ่นเสียงตีกันตลอดทางของเด็ก2คน ส่วนผมน่ะหรอ
ยังเมาขี้ตาอยู่ไม่พร้อมรับศึก
ดูเหมือนว่าขุนช้างขุนแผนฉบับจีนโบราณนี้จะมีวัดมีเณรมีพระแบบไทยบ้านเราเป็นปกติ คงจะเป็นเพราะว่ามันจำเป็นต่อการดำเนินเนื้อเรื่อง อย่างขุนแผนต้องเรียนพวกเวทย์มนต์คุณไสย แต่ในเรื่องนี้เหมือนจะเป็นพวกพลังปราณพลังเซียน แนวๆกำลังภายในประมาณนั้นด้วย
แต่ว่านะครับยังไงนี่ก็เป็นเรื่องมาจากวรรณคดีไทย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมระบบหลายๆอย่างมันผสมผสานกันระหว่างไทยโบราณและจีนโบราณ
"พวกเจ้ารู้หรือไม่คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่าหากเราทำบุญร่วมกัน ชาติหน้าเราจะได้เกิดมาพบกันอีกครั้งด้วยหนา"
"จริงหรือฉินหนิง"
"เจ้าก็ลองดูซี"
ระหว่างที่ผมกำลังจุดธูปจุดเทียนเตรียมไหว้พระจู่ๆหยางรุ่ยก็หันมามองหน้าผมตอนฉินหนิงพูดจบด้วยสายตาเป็นประกาย ผมเดาว่าเจ้าเด็กนี่มันคงจะอยากลากผมไปเจอกับมันชาติหน้าด้วยแน่ๆ
แต่ว่านะหยางรุ่ย เจ้ากับข้าชาติเดียวก็พอแล้วมั้ง เหอะๆ
"หยางรุ่ย บางทีสายตาเจ้านี่ก็ชัดเจนเกินไปหน่อยนะ"
"อะไรเล่า! เปล่าเสียหน่อย"
อื่ม ผมว่าเคมี2คนนี้ดูเข้ากันดีนะ ดูเป็นคู่กัดที่โตมาอาจจะรักกันก็ได้ นี่สินะที่เรียกว่าคู่ฟ้าประทาน ถ้าต้นฉบับไม่มีขุนช้างผมมั่นใจระกับนึงว่าวันทองกับขุนแผนจะมีจุดจบที่ happy ending กว่านี้ เพราะความฉิบหายหลายอย่างของวันทองก็มาจากขุนช้างนี่แหละ แต่ตอนนี้ฉินหนิงคงไม่มีจุดจบแย่ๆแล้วล่ะ เพราะขุนช้างอย่างผมไม่ได้คิดจะทำลายชีวิตเธอ
พอทำบุญเสร็จเรา3คนก็ไปปล่อยนกปล่อยปลากันต่อ วัดที่นี่ผมบอกเลยว่าโซไทยแลนด์ไสตล์มากๆ จะว่าที่จีนเองก็มีวัดไทยของชาวพุทธอยู่นะ งั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ฉบับจีนโบราณจะมีวัดแบบชาวพุทธ
ระหว่างนั้นที่หยางรุ่ยกับฉินหนิงไปกรวดน้ำ บริจาคเงินใส่กล่อง ผมที่รู้สึกเหมือนตะคริวจะกินตีนก็ขอออกมาเดินเล่นข้างนอกก่อน วัดนี้จัดว่าเป็นวัดที่ใหญ่อลังการมากวัดนึงเลย เวลามีงานใหญ่ๆคนระแวกนี้ก็จะรวมตัวทำบุญกันที่นี่หมด
ผมที่เดินไปกินลมชมวิวอยู่ดีๆก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อันตรายมากๆใกล้ตัว และใช่มันอันตราจริงๆ
"โฮ่ง!"
เชี่ย ตัวบะเร้อ..
"..."
ผมยืนจ้องหน้าเจ้าตูบสีน้ำตาลขนฟูอยู่พักนึงพลางครุ่นคิดอย่างหนักว่าสถานะการณ์แบบนี้ผมควรจะทำยังไงต่อดี วิ่งหรอ? ไม่เวิร์คแน่ๆ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหามันอยู่ที่ตอนนี้ผมขาแข็งจนขยับไม่ได้แล้วต่างหาก
ผมที่จ้องหน้าไอ่ตูราวนาทีกว่าๆได้ จู่ๆก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นข้างหลัง
"หยินเฟิงเจ้าไปทำอะไรตรงนั้น"
"ยะ..หยางรุ่ย ช่วย..ด้วย.."
"โฮ่ง!"
ไอ่เฮี้ย!
ขณะที่พยามขอความช่วยเหลือจากหยางรุ่ยก็โดนเจ้าตูบขยับมาใกล้จนต้องถอยหนีแบบแทบจะเข่าทรุด
ไม่นะ แบบนี้เขาก็รู้กันหมดสิว่าผมกลัวหมาอะ!
"หยางรุ่ย ไล่หมาให้ที" ผมบอกอีกคนเสียงสั่นแต่สายตายังจ้องไอ่หมานั่นอยู่ ผมกลัวว่าถ้าผมละสายตาจากมัน มันจะกระโจนใส่ผม เลยทำได้แค่ใจดีสู้เสือยืนจ้องหน้ามันอยู่แบบนั้น
สักพักหยางรุ่ยก็เดินมาขั้นกลางผมกับเจ้าตูบ ไม่รู้ว่าด้วยรังสีพระเอกหรือความหมาหมู่(?)ของผม2คนเจ้าตูบเลยยอมหนีไปแต่โดยดี
"หมาไปแล้วหรอหยางรุ่ย"
ผมที่ได้สติจากที่สมองเตลิดตะกี้ก็รีบขยับเข้าไปเกาะไหล่หยางรุ่ยทันที เอาเป็นว่าถ้าหมามันย้อนมาผมจะโยนหยางรุ่ยไปเป็นตัวล่อหมาล่ะกัน
"ไปแล้ว"
หยางรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนหันมาหาผม หน้าเรา2คนค่อนข้างใกล้กันทำให้ผมเห็นเงาสะท้อนตัวเองจากดวงตาสีทองของหยางรุ่ยด้วย แต่ไม่รู้ว่าผมจ้องหน้าเขานานไปรึเปล่าอีกคนถึงได้กดยิ้มแปลกๆที่มุมปากแล้วพูดบางอย่างที่ทำให้ผมหน้าร้อนอีกแล้ว
"หยินเฟิง กลิ่นดอกโบตั๋นบนตัวเจ้านี่.. หอมดีนะ"
"วันนี้เจ้าทำขนมอะไรหรือ"
เป็นฉินหนิงที่ถามผม ในตอนขากลับจากทำบุญผมบอกกับหยางรุ่ยและฉินหนิงว่าจะลองทำขนมชนิดนึงดู ทั้ง2เลยติดสอยห้อยตามมาด้วย และตอนนี้เองผมก็มีลูกมือช่วยทำของหวานด้วยกัน2คนถ้วน
"เป็นขนมง่ายๆน่ะ ข้าให้ชื่อมันว่า ฝอยทอง"
"ฝอยทองหรือ" หยางรุ่ยเห็นแบบนั้นก็เดินมาดูใกล้ๆ
ผมบอกให้เด็กๆรอชิมตอนทำขนมเสร็จ เพราะตัวเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเจ้านี่มันรสชาติเป็นยังไง ถ้าสงสัยว่าทำไมผมทำขนมไทยได้หลายชนิดแบบนี้ล่ะก็ ชาติก่อนบ้านผมเปิดร้านขนมไทยน่ะผมเลยได้ลองดูที่บ้านทำและลองทำเองบ้างถ้ามีโอกาส ตอนนี้สกิลการทำขนมไทยเลยติดมากับผมด้วย
ฝอยทองเป็นขนมไทยชนิดนึงที่จัดว่าทำไม่ยาก และผมก็ชอบเพราะมันไม่ได้หวานเจี๊ยบอย่างทองหยิบทองหยอดหรือขนมทองๆอย่างอื่น ตอนนี้เลยได้จังหวะลองเอามาทำกินดู
"อร่อยมากเลยหยินเฟิง!" ฉินหนิงใช้ส้อมเล็กม้วนฝอยทองเข้าปาก แล้วกินด้วยสีหน้ายิ้มแป้น จนผมเองก็พลันยิ้มตามไปด้วย ดีใจที่เด็กๆชอบน่ะ
"เจ้าไปเอาสูตรขนมพวกนี้มาจากไหนกัน" คราวนี้เป็นหยางรุ่ยที่ถามผมบ้าง
"ข้าเก่งน่ะ"
หน้าหมั่นไส้มั้ยล่ะ ผมคงไม่บอกคนอื่นหรอกเนอะว่าเอามาจากโลกอนาคต ฮ่าๆ
หยางรุ่ยที่ได้รับคำตอบก็พลันทำหน้าเหม็นเบื่อหันไปจิ้มขนมกินต่อ เจ้าเด็กนี่ก็ดูจะชอบฝอยทองที่ผมทำเหมือนกันเพราะพอได้ลองกินก็ตาเป็นประกายวิ๊งๆเลย
พวกเราคุยกันสักพักกินขนมจนหนำใจฉินหนิงก็ขอตัวกลับก่อน ตอนนี้เหลือแค่หยางรุ่ยที่ยังคงนอนเล่นที่บ้านผม
"แล้วทำไมเจ้ายังไม่กลับอีกล่ะนี่"
"ข้าอยู่ที่นี่มิได้หรือ"
"มันก็..ได้"
ผมโคลงหัวมองอีกฝ่ายน้อยๆแล้วเดินเข้าห้องไปหาหนังสือมาอ่านเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี ยุคนี้หนังสือที่ถูกไทป์ผมมีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหนังสือกลยุทธ์การศึก หรือพวกวิธีมัดใจสามีฉบับสตรีแกร่ง(?) หนังสือที่ผมพอจะอ่านได้คงจะเป็นพวก วรรณกรรม หรือหนังสือตำนานที่น่าสนใจเท่านั้นแหละ
พอถึงห้อง ผมก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ หยางรุ่ยเองตอนนี้ก็ตามผมขึ้นมาด้วยแล้ว พอเดินเข้าห้องเหมือนอีกฝ่ายจะไปเตะตากับอะไรสักอย่างเข้าเลยเดินไปดู
"หยินเฟิง นี่ใช่น้ำปรุงที่เจ้าใช้ประจำหรือไม่"
ผมมองไปตามเสียงก็เห็นหยางรุ่ยยืนอยู่หน้าโต๊ะสำอางถือขวดน้ำหอมสีใสชูให้ผมดู
"อื่ม "
"เจ้าปรุงขึ้นมาเองหรือ" ไม่ว่าเปล่าอีกคนก็ลองดมฟุดฟิดๆอีกซะด้วย หยางรุ่ยดูจะถูกใจน้ำปรุงอันนี้เพราะเจ้าตัวลองเปิดมาแต้มๆที่ตัวเบาๆเป็นการลอง
"ใช่ ข้าปรุงขึ้นมาเอง ทำไมเจ้าชอบหรือ"
น้ำปรุงดอกโบตั๋นผมปรุงขึ้นเองจริง เพราะที่บ้านนี้ปลูกไว้ค่อนข้างเยอะผมเลยเอามาทำน้ำปรุงด้วย กลิ่มมันก็หอมดี หวานๆนัวๆ
"ข้าชอบ"
"ให้ข้าปรุงให้เจ้าบ้างดีหรือไม่"
"หึ ข้าชอบที่มันอยู่บนตัวเจ้ามากกว่า"
อ๋า.. ขุนแผนแอคแท็คอีกแล้ว
ขยันอ่อยจริงๆไอ่ด็กนี่
"ฝีปากแพรวพราวเหลือเกินนะหยางรุ่ย จะเอาไปเกี้ยวสตรีที่ไหนกัน"
หยางรุ่ยยักไหล่ให้ผมแบบไม่ยี่หร่ะเท่าไหร่นัก ก่อนจะสำรวจโต๊ะสำอางผมไปเรื่องๆ ทางผมเองก็ไม่ได้จะคาดคั้นเอาคำตอบอะไรเลย หันมาอ่านหนังสือต่อปล่อยให้เด็กนั่นหยิบๆจับๆของตามสบาย
ทางหยางรุ่ยตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำแล้วเหมือนกันเลยไปหาหนังสือในห้องผมมาอ่านบ้าง ในห้องตกอยู่ในความเงียบ
สักพักผมก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นฝนจากด้านนอกผมเลยผละสายตาออกจากหนังสือที่อ่าน
"ฝนตกหรือ" ผมมองนอกหน้าต่างดูก็พบว่าฝนเริ่มลงปรอยๆแล้ว
"คงเป็นเช่นนั้น"
"เจ้าไม่รีบกลับจวนหรือ หากฝนตกหนักกว่านี้เจ้ากลับจวนมิได้แน่"
"ข้าค้างที่จวนเจ้ามิได้หรือ"
"เจ้าจะมาค้างกับข้าทำพระแสงหอยอะไรเล่า"
"ข้าขี้คร้านจะกลับจวนตัวเอง พอเป็นเหตุผลได้หรือไม่"
"เจ้านี่มัน เห้อ เอาเถอะ ข้าจะให้คนใช้ส่งข่าวบอกคนที่จวนเจ้าให้ละกัน"
ผมเองที่คร้านจะเถียงกับหยางรุ่ยก็ปล่อยๆให้แม่งค้างที่นี่ไป มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เด็กนี่มาค้างบ้านผมน่ะ เพราะงั้นผมชินแล้วกับการที่มีอีก1ชีวิตเพิ่มมาอาศัยด้วย
ระหว่างที่ฝนตกผมก็ไปนั่งริมๆหน้าต่างรับละอองฝนเย็นๆไปพลาง สูดหลิ่นดินกลิ่นฝนปรอยๆให้หัวใจเย็นชุ่มฉ่ำ
"ตากละอองฝนเช่นนั้นประเดี๋ยวก็ป่วยหรอก"
"มิป่วยๆ ละอองฝนเท่านี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก"
"ข้าจะรอดูและกัน"
ผมโคลงหัวเล็กน้อยแล้วหันมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ โดยที่ปล่อยเจ้าหยางรุ่ยตากลมตากฝนไป หนังสือที่ผมอ่าน มันเป็นหนังสือแนวเทพเซียนท่องยุทธภพที่น่าสนใจดี แม้จะไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านสักเท่าไหร่นักแต่ก็ถือว่าฆ่าเวลาได้ดีเลยแหละ
พอพระอาทิตย์เริ่มตกผมกับหยางรุ่ยก็แยกกันไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย บ้านผมยังดีหน่อยที่มีคนต้มน้ำอุ่นให้อาบ ไม่งั้นถ้าให้ผมอาบน้ำเย็นๆในวันฝนตกแบบนี้ก็ดูท่าจะไม่ไหวเหมือนกัน
"หยินเฟิง เจ้ามิใช้น้ำปรุงหรือ"
"จะนอนแล้วข้ามิได้ออกไปที่ใดจะใช้ทำไมเล่า"
หยางรุ่ยพยักหน้าเบาๆแล้วกลิ้งลงเตียงผมไปนอน ปกติเวลาเจ้าเด็กนี่มานอนด้วยก็มักจะมาเบียดเบียนเตียงกับผมเสมอ เพราะเจ้านี่ให้เหตุผลว่าไม่อยากให้คนในจวนผมวุ่นวายเตรียมห้องให้เลยมานอนอัดกับผมแทน
"หยินเฟิงเจ้าจะนอนเลยหรือไม่"
"ข้ายังมิง่วง"
"ดีเลย งั้นเจ้าอ่านหนังสือเล่มนั้นให้ข้าฟังหน่อย"ว่าแล้วเจ้าเด็กหยางรุ่ยก็ชี้ๆหนังสือบนโต๊ะให้ผมดู
"ทำไมข้าต้องอ่านให้เจ้าฟังด้วย?"
"งั้นข้าจะอ่านให้เจ้าฟัง"
"ค่อยน่าสนใจหน่อย"
ว่าแล้วผมก็หยิบหนังสือให้หยางรุ่ยแล้วล้มตัวลงนอนซุกผ้าห่มทันที อากาศเย็นๆแบบนี้เหมาะกับการซุกตัวนัก และมันก็เหมาะมากถ้ามีคนมาอ่านหนังสือกล่อมนอนน่ะ
"เจ้านี่มัน.."
หยางรุ่ยที่ดูจะเอือมๆกับผมก็เปิดหนังสืออ่านให้ฟัง หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นนิทานพื้นบ้านของแคว้นนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์และชายมนุษย์โลกที่รักกันไม่ได้
โอ้วว น้ำเน่ามาก
แต่ใดๆคือเสียงพ่อพระเอกน่าฟังมาก แม้จะยังเด็กแต่น้ำเสียงที่เปร่งออกมาก็ไม่กระดากหูเลยสักนิด ด้วยบรรยากาศดีๆแบบนี้ไม่นานผมก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าในตอนนี้ขอไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะครับ ใครมีอะไรทิ้งข้อความไว้ละกัน..
"หยินเฟิง เจ้าหลับแล้วหรือ?"
หยางรุ่ยมองคนข้างกายที่ขดตัวกับผ้าห่มผืนหนาหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูด้วยสายตาที่คาดเดาได้ไม่ยากนัก
เด็กหนุ่มค่อยๆก้มลงกดจมูกลงที่กลุ่มผมสีดำสนิทของหยินเฟิงพลางสูดดมอย่างชอบใจ
"แม้จะไม่ใช้น้ำปรุงกลิ่นดอกโบตั๋นแต่กลิ่นกายเจ้ายังหอมไปด้วยกลิ่นโบตั๋นอยู่เลยหนา"
ถึงจะมิได้ใช้น้ำปรุงกลิ่นดอกโบตั๋น แต่เครื่องอาบน้ำของหยินเฟิงก็ยังคงหอมไปด้วยดอกโบตั๋นที่เป็นส่วนผสม เพราะแบบนี้แม้อีกคนจะไม่ได้ใช้น้ำปรุงแต่กลิ่นตัวก็ยังคงจะหอมไปด้วยกลิ่นโบตั๋นเช่นเคย
"หยินเฟิงเจ้ารู้หรือไม่ว่ากลิ่นโบตั๋นจักหอมหวานที่สุดยามใด ....
ก็ยามที่มันอยู่บนตัวเจ้าอย่างไรเล่า"
TBC.