(ทิวาเล่าเรื่อง)
“กูว่ากูเคยเห็นที่ไหนสักที่ หน้าหล่อแบบนี้ แต่ท่าทางแปลกๆ ดูเนี้ยบฉิบหาย เสื้องี้ก็รัดจนเห็นหัวนมตั้ง เป้าก็โคตรตุง เฮ้ยๆ แต่ไม่ต้องห่วง กูคิดว่าหัวน้องชายมันคงเอียงขวา ไม่ตรงดิ่งและใหญ่ยาวเหมือนมึงหรอกไอ้ทิ”
โฮมเป็นคนช่างสังเกต มันสนใจเรื่องรูปร่างของคนเป็นพิเศษ เพราะเป็นนักมวยของโรงเรียนเก่า ชอบเข้าฟิตเนส แต่ครั้งนี้ดูมันจะทำท่า แปลกๆ เมื่อได้พบหน้าทรงกลด แถมคำพูดถึงอีกฝ่ายก็ทำให้ผมตงิดๆ ใจพิกล
“ใช่ กูก็คิดแบบนั้น เห็นแล้วเสียวตูดฉิบหาย อร๊าย!”
บุญเพิ่มเอ่ยจบโฮมก็ใช้นิ้วกลางแหย่ก้นอีกฝ่าย ก่อนทั้งคู่จะเล่นสนุกกันอย่างทะลึ่งตึงตัง โดยมีผมที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในโหมดคิงคองเผือกหน้าเดียว คือบูดบึ้งราวกับคนแบกโลกไว้ทั้งใบ!
“ถามจริง มึงเป็นแบบนี้เพราะห่วงไอ้ขุน หรือหึงมันกันแน่วะ”
โฮมกระซิบถามผม คำถามนั้นส่งผลให้ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้ง อย่างคนปลงไม่ตก
ภาพยนตร์ที่ผมดูมันโคตรไม่สนุก ถึงจะมีฉากสาวๆ โชว์หน้าอก และบทเมกเลิฟค่อนข้างเยอะ ซึ่งแทนที่ผมจะคึกกลับกลายเป็นนั่งเงียบ หมดอารมณ์ไปเสียทุกอย่าง
“ปะ หาไรกินกันรอบดึกดีกว่า”
บุญเพิ่มชวนและโฮมก็เข้ามาอ้อนผม ผิวหน้าของมันเนียนสีน้ำผึ้งอ่อน มีเคราเขียวครึ้มใต้คางซึ่งกำลังใช้ถูไถตรงหัวไหล่ผมไปมา แต่ผมไม่รู้สึกสยิวสักนิด กลับอยากถีบมันด้วยซ้ำ ทว่าหากเป็นใครบางคนมาคลอเคลียใกล้ๆ แบบนี้ บางทีผมอาจจูบปากและแลกลิ้นไปแล้ว
เฮ้ย คิดบ้าอะไรเนี่ย ผมแค่โกรธขุนน้ำจึงอยากแกล้งให้มันกรี๊ดสาวแตกก็เท่านั้น!
ผมขยับตัวออกห่างโฮม และขึงตาดุมัน ก่อนเอ่ยขึ้น
“กินไรกันอีกวะ กูยิ่งเฟลๆ หนังก็ไม่หนุก คนยังกวนตีนอีก”
“เอาน่า เบียร์สักขวดหรือเหล้าสักแบนไม่เมาหรอก เผื่ออารมณ์มึงจะแจ่มใสขึ้น”
โฮมเสนอ ซึ่งปกติผมไม่ใจอ่อนง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้ ผมกลับตอบตกลงเสียอย่างนั้น คงเพราะอยากลืมหน้าใครบางคนก็เป็นได้
เราทั้งสามคนเลือกร้าน ‘คบกับเพื่อน’ ซึ่งเป็นของรุ่นพี่ในมหา’ลัย ซึ่งอยู่ห่างจากหอพักในมากพอสมควร พวกเราตั้งลิมิตเอาไว้ว่าจะดื่มไม่เกินตีสอง หากดึกกว่านั้น ผมอาจจะลุกไม่ไหวเพราะมีเรียนช่วงสาย ส่วนการเข้าหอใน.นั้นไม่มีปัญหา เราทั้งสามคนตีซี้กับลุงยามคนเฝ้าประตูไว้แล้ว
พอถึงร้านเหล้า ผมก็ซัดเพียวๆ อยู่คนเดียว โดยไม่ผสมทั้งโซดา น้ำแข็ง หรือห่าเหวอะไรทั้งนั้น
“มึงดื่มอย่างนี้ตั้งใจเมาประชดใครหรือเปล่าวะ ไอ้ทิ” โฮมท้วงผม
หลังจากซ็อตที่ห้าลงคอ หน้าผมก็แดง คำพูดคำจาอ้อแอ้ด้วยลิ้นพันกันและมีอาการร้อนวูบวาบที่ท้องน้อยตามมา
“เออ พวกกูตั้งใจมากินชิลๆ แต่ไอ้ห่าเนี่ยเล่นมอมตัวเอง ท่าทางยังกับคนอกหัก” บุญเพิ่มมองผมแล้วส่ายหน้าระอาทั้งที่พวกมันเป็นคนชวน พอผมดื่มจริงจังเข้าหน่อยก็บ่นเป็นยายแก่
“พูดให้ดีๆ” ผมเอ่ยได้เท่านั้นก็นั่งเงียบๆ พลางกดมือถือต่อหา ขุนน้ำ แต่แม่ง...ปิดเครื่อง ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันกับทรงกลดแอบไปต่อกันที่ไหนหรือเปล่า
ภาพที่มันยิ้มหน้าบาน และทำตัวแรดกับผู้ชายคนนั้นเห็นแล้วโคตรโมโห!
ผมนั่งดื่มเหล้าไปอีกพักใหญ่ก็รู้สึกหน้าตึงๆ และโลกคล้ายจะหมุนเป็นลูกข่าง ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ ตั้งใจไปห้องน้ำ ล้างหน้าและปัสสาวะสักหน่อย
“ท่าทางมึงจะเรื้อนหนักไปแล้วนะไอ้ทิ กูว่าให้ไอ้โฮมไปช่วยจับ ‘ของหนัก’ ดีกว่าไหม”
ผมยิ้มหวานหยดให้บุญเพิ่มและโฮมซึ่งอาสาช่วยพาไปห้องน้ำ เพราะรู้ว่าตอนนี้สภาพผมคงเดินไปไม่ถึงง่ายๆ
โฮมยืนพิงผนังห้องน้ำ มันมองผมซึ่งเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวส่งสายตาเจ้าชู้ให้มัน
“มึงเนี่ย เห็นเงียบๆ แต่เวลาเรื้อน โคตรน่ากลัวเลยไอ้ทิ”
“ไอ้โฮม มึงก็ชมกูเกินไป พูดแบบนี้แอบคิดอะไรกับคนหล่อหรือเปล่า” ปากผมอยู่ไม่นิ่ง
“กูกับไอ้เพิ่มห่วงมึงนะโว้ย ยังไงก็เป็นรูมเมตกัน เห็นมึงเมาแบบนี้บอกตามตรงไม่สบายใจเลยวะ” โฮมเอ่ยค่อนข้างดัง เพราะผมทำท่าคล้ายไม่ได้ยินในสิ่งที่มันพูด
“ขอบใจ โชคดีที่กูมีพวกมึงเป็นเพื่อน” ผมตอบและตบบ่าอีกฝ่ายไปสองสามที
“เออ และถ้าคิดว่ากูกับไอ้เพิ่มเป็นเพื่อนก็ดี ส่วนไอ้หน้าหวาน ขุนน้ำนั่น มึงอย่าไปใส่ใจมันมากเลย ท่าทางมันโลกสวยเกินเหตุ เห็นอยู่ด้วยกันทีไรกัดกันได้ตลอด แล้วที่เมาปลิ้นอยู่นี่คงไม่ใช่เพราะถูกมันเท
หรอกนะ” โฮมไม่ใช่คนที่ระวังปากและไม่ใช่คนละเอียดอ่อนแบบบุญเพิ่ม คำพูดเลยแรงและตรงไปหน่อย
“ถ้ามึงไม่รู้อะไรจริงๆ ขอร้องละโฮม อย่าเสือกให้มาก ถ้าไม่อยากตายคาตีนกู!”
โฮมคงเซ็งที่ผมพูดจาหมาไม่รับประทาน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จผมก็เหมือนมีสติกลับคืนแต่โฮมไม่อยู่ให้ผมได้ปรับความเข้าใจแล้ว
หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ผมกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม โฮมกับบุญเพิ่มชนแก้วกันอย่างสนุกสนาน ส่วนผมนึกครึ้มใจเลิกดื่มเหล้าแล้วหันไปสั่งเบียร์แทน บุญเพิ่มมองผมแวบหนึ่งเมื่อสาวเชียร์เบียร์เอาหน้าอกมาเบียดต้นแขนผม
“โอเค แล้วแต่มึง ถ้าเมา เดี๋ยวพวกกูลากกลับเอง”
ผมได้เบียร์สดมาหนึ่งเหยือกใหญ่และดื่มคนเดียวจนเกือบหมด อันที่จริงผมยอมรับว่าเมาพอสมควรแต่ยังประคองสติไหว ผมได้เลือดพ่อกับปู่มาเยอะ ทั้งสองล้วนคอทองแดงเป็นตำนานของตระกูล ตอน ม.5 ผมทำตัวแย่มาก มันเป็นช่วงที่ผมกลับไปอยู่บ้านแม่ระยะหนึ่ง
ตอนนั้นผมออกจากบ้านทุกคืน เพราะทนเห็นหน้าพ่อเลี้ยงไม่ไหว ผมคบกับเพื่อนที่ชอบสังสรรค์จนเมาหัวราน้ำอย่างคนไม่มีอนาคต ที่ทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อประชดแม่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมามันไร้ประโยชน์ สุดท้ายย่าจึงตามตัวกลับให้มาอยู่ด้วยกัน
นับแต่นั้น ผมจึงกลายเป็นคนเก็บตัว ยิ้มและคุยสนุกกับคนที่สนิทใจเท่านั้น กระทั่งได้รู้จักขุนน้ำ โลกของผมก็คล้ายมีสีสันสดใสขึ้น เหมือนตอนที่ครอบครัวผมอยู่กันอย่างพร้อมหน้า
เสียงเฮและการชนแก้วเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบตีหนึ่ง พวกเราก็จ่ายเงิน และเตรียมกลับหอพัก
“มึงยังจะโทร.อีกเหรอวะ กูว่าป่านนี้ ขุนน้ำนอนกรนเสียงดังลั่นห้องไปแล้ว” บุญเพิ่มเอ่ยขึ้น
ผมกำมือถือไว้ในมือ หลังจากต่อสายหาขุนน้ำและไม่มีสัญญาณตั้งแต่ออกจากโรงหนัง
“ปกติมันไม่เคยปิดเครื่องแบบนี้”
“แล้วไง มึงเป็นผู้ปกครองมันก็เปล่า อย่าไปเซ้าซี้มันมากเลยเชื่อกู กลับเถอะดึกมากแล้วพรุ่งนี้มึงมีเรียนไม่ใช่หรือ”
บุญเพิ่มว่าพร้อมชวนผมกลับ ส่วนโฮมตอนนี้เมาหนักยิ่งกว่าผมเสียอีกจนบุญเพิ่มต้องหิ้วปีก
“เอางี้ กูอยากเดินเล่นสักหน่อย พวกมึงกลับก่อนเถอะ” ผมบอก ตอนนี้ จิตใจว้าวุ่นมาก ถึงอย่างไรคงนอนไม่หลับแน่ๆ หากยังไม่ได้พบหน้าขุนน้ำ
“เฮ้ยๆ ได้ไงมาด้วยกันต้องกลับด้วยกันสิวะ เลือดสุพรรณอย่างข้าไม่เคยทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง” บุญเพิ่มเป็นคนสุพรรณบุรีตั้งแต่กำเนิด บางครั้งมันก็หลุดพูดสำนวนและน้ำเสียงเหน่อให้เพื่อนหัวเราะอยู่บ่อยๆ
“มึงไม่ได้ทิ้งกู แต่ตอนนี้กูอยากอยู่คนเดียวเข้าใจไหม” ผมว่าและคว้าขวดเบียร์ที่สั่งจากร้านยกขึ้นดื่มอักๆ
ตอนนั้น โฮมเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ พร้อมแสดงอาการเปรี้ยวเต็มที่ บุญเพิ่มเลยต้องจำใจพาอีกฝ่ายกลับหอใน.ก่อน
“ยังไง มึงอย่าไปลงอ่างหรือไปหาตีหม้อนะโว้ย กูเป็นห่วง”
บุญเพิ่มว่าอย่างจริงจัง สีหน้ามันไม่ตลกสักนิด
“เออ รับรองกูไม่เอาน้ำกะทิไปปล่อยใส่ใครง่ายๆ หรอก”
ผมว่าแล้วก็โบกมือให้พวกมันที่กำลังก้าวขึ้นรถแท็กซี่ ผมตัดสินใจเดินเล่นแถวนั้นอีกสักพัก ด้านหน้ามีร้านค้าแผงลอยมากมาย รวมถึงร้านรถเข็นขายอาหารสำหรับคนนอนดึก ผมไม่ได้หิว อีกทั้งยังรู้สึกตึงๆ กับปวดศีรษะนิดหน่อย การได้ยืดเส้นยืดสายพอให้เหงื่อออกคงทำให้ผมหายเมาลงได้บ้าง
เดินไปสักพัก ผมก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ พิกล ก่อนพบว่าตนเองคงมีอาการไข้หวัดเล่นงาน ก้าวต่อไปอีกสักหน่อย ลมก็พัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่นานนัก ฝนก็เริ่มลงเม็ด
ร้านอาหารข้างทางบนริมฟุตปาธต่างรีบเก็บของกันวุ่นวาย ผมรีบเดินไปหาที่หลบฝน แต่เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมรู้สึกว่ามีฝุ่นเข้าตาจึงขยี้หางตาแรงๆ
จากนั้นพอลืมตาขึ้น ความซวยก็เล่นงานหนักกว่าเก่า อาการมึนหัวที่มีก่อนหน้าก็เล่นงานหนักจนก้าวพลาดลื่นล้ม กางเกงเปียกโชกทั้งตัว พอลุกขึ้นยืนได้ ผมก็รีบวิ่งเหยาะๆ ข้ามถนนหาที่ทางหลบฝน
และผมต้องเย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อมีเสียงบีบแตรรถ ผสมกับเสียงร้องของแม่ค้าแถวนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าเกือบถูกรถเก๋งคันหนึ่งชนกลายเป็นศพไร้ญาติบนถนน
หากสุดท้าย ผมก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าร้านขายของชำแถวนั้นจนได้ ผมนึกสมเพชตัวเองกับเรื่องโคตรแย่ที่เพิ่งทำลงไป นี่คงเป็นอีกครั้งที่ผมเมาหนักและไร้คนสนใจ นั่นแหละชีวิตผมจะเรียกร้องอะไรจากคนที่รักได้ มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ขณะที่ยืนมองฝนตก ผมนึกครึ้มใจอยากจิบอะไรเย็นๆ อีกสักหน่อย คงทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น
ผมซื้อเบียร์มาอีกสองกระป๋อง แล้วก็ดื่มรวดเดียวจนหมดอย่างรวดเร็วราวกับคนตายอดตายอยาก จากนั้นก็ผิวปากเล่นอย่างสบายอารมณ์ ครึ่งชั่วโมงต่อมาฝนจึงเริ่มซาเม็ด ร้านค้ากลับมาตั้งบนฟุตปาธตามตามเดิม ในตอนนี้ ผมรู้ว่าเมาหัวทิ่ม กระนั้น การทำเรื่องเหลวไหลสำหรับผมไม่มีอย่างแน่นอน เพียงแต่จะพูดเก่งขึ้นและทำอะไรรั่วๆ ถึงขั้นเพี้ยนเล็กน้อย
ผมมองไปยังดอกกุหลาบสีสวยตรงหน้า มันห่อเป็นช่อๆ วางอยู่หน้าร้านค้าใกล้ๆ มองแล้วก็นึกถึงหน้าใครบางคน เมื่อได้ดอกกุหลาบสีชมพูช่อใหญ่มาถือไว้ ผมก็หัวเราะขบขันตนเองที่คิดว่าจะง้อใครบางคนด้วยสิ่งนี้ ผมก้าวไปข้างหน้าช้าๆ สองขาปัดเป๋พอสมควร ไม่รู้ว่าชนใครไปบ้างจึงได้แต่ยกมือขอโทษขอโพย
กระทั่งไปยืนรอรถแท็กซี่ พยายามโบกให้จอดแต่ไม่มีคันไหนว่าง เวลาผ่านไปนานมากจนผมเซ็งและเริ่มหงุดหงิด จึงยกช่อดอกกุหลาบขึ้นตั้งใจปามันลงถังขยะที่อยู่ตรงมุมเสาไฟข้างหน้า ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีมือใครบางคนมาฉุดแขนผมไว้และออกแรงบีบอย่างแรง!