กินเหล้าเป็นเพื่อนหน่อย

1985 Words
(ขุนน้ำเล่าเรื่อง) สิ่งที่ผมคิดว่าภาพยนตร์แอบรักเพื่อนเรื่องนี้ คงสนุกมากตามกระแสนักวิจารณ์รวมถึงคะแนนสูงๆ ในเว็บไซต์ชื่อดังนั้นพังไม่เป็นท่า ในความจริง ผมกลับไม่ปลื้มภาพยนตร์เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ถึงมันจะซึ้งมากมีจุดพีกและจบแบบแฮปปี้ตามที่หนังสือเขียนไว้เปี๊ยบ แต่เป็นเพราะผมตั้งความหวังสูงเกินไป พอดูจบแล้วเลยค่อนข้างไม่ประทับใจ และถือว่าดีที่ผมไม่ได้มาดูกับทิวา ไม่อย่างนั้น มันคงหลับตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่หนังเริ่มฉายแล้วออกมาบ่นให้ผมฟังจนหูแฉะตามนิสัยคิงคองเผือกจอมฉุน พี่โจพาผมไปกินร้านข้าวต้มโต้รุ่งใกล้มหาวิทยาลัย ทั้งที่ผมบอกว่าอิ่มแล้วแต่เขาเหมือนอยากใช้เวลากับผมอีกสักหน่อย ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมเลยยอมตามใจอีกฝ่าย ตอนแรกเสนอตัวไปดูหนังกับเขาเอง เลยต้องยอมเล่นให้สมบทบาท “หนังไม่สนุกเหรอขุน” พี่โจทักเพราะเห็นผมทำหน้าเบื่อๆ ตั้งแต่ก้าวออกจากโรงหนัง “ก็สนุกนะครับ แต่พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกินไปหน่อย” พี่โจพยักหน้าน้อยๆ และถามต่อ “เอาอะไรเพิ่มไหม หรือว่าอิ่มแล้ว” “ไม่ละครับ กินนิดกินหน่อย มันก็ไปลงที่แก้มผมหมดเลย” พอเอ่ยถึงตรงนี้ผมก็เผลอยกมือจับแก้มตัวเอง แก้มที่เมื่อตอนหัวค่ำทิวายังจับบิดเล่นแล้วมองผมด้วยสายตาหวานซึ้ง เฮ้อ! บ้าบอ ทำไมผมต้องคิดถึงคิงคองเผือกที่ชอบขัดใจด้วย! “ถ้างั้นคิดเงินเลยนะ” พี่โจบอกและผมก็รีบชิงเป็นคนจ่าย “เอาไว้คราวหน้านะครับ พี่ช่วยผมมาเยอะแล้ว ของตอนนี้ก็ล้นห้อง กินแทบไม่ทัน” ผมหมายถึงอาหารกระป๋อง เนยถั่ว และสารพัดแยมที่เขาซื้อมาฝากของแพงๆ ดีๆ ทั้งนั้น “อืม ถ้ามันเยอะมาก ก็แบ่งๆ ให้เพื่อนไปสิ พวกเด็กหอใน.น่ะ” เขาบอก ผมเห็นดีด้วย ถึงทางบ้านทิวามีฐานะดี แต่เขาเป็นคนประหยัดมากจนผมอาย พอพี่โจแนะนำอย่างนั้น ผมยิ่งเป็นห่วงทิวา ก่อนเข้าโรงหนัง ผมทำร้ายจิตใจมันมากไปหน่อย ทั้งหมดเพราะความน้อยใจที่ถูกมันว่า ‘แรด’ และชอบ ‘อ่อย’ คนอื่นไปทั่ว พอผมทำเข้าจริงๆ มันก็กลายเป็นหมาหงอย ถึงจะสะใจนิดๆ แต่พอคิดถึงความเป็นเพื่อนกัน ผมคิดว่ามันเป็นการกระทำโคตรงี่เง่าและเด็กไปหน่อย แล้วถ้ามันจะโกรธผมจนพาลพาโลไม่คุยด้วย ผมก็คงต้องยอมรับชะตากรรมเลวร้ายนั้น “งั้นแยกย้ายตรงนี้นะครับพี่ พอดีผมมีเรียนช่วงสาย” พี่โจยิ้มน้อยๆ ถึงที่พักของผมจะอยู่ใกล้คอนโดฯ หรูของเขามาก แต่ตอนนี้ผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะชิ่งหนีจากเขาเสียที “ถ้างั้นตามใจเรานะ” ผมโบกมือโบกไม้ให้พี่โจและเปิดมือถือซึ่งปิดไว้หลายชั่วโมง พอสัญญาณปรากฏ ข้อความและรูปถ่ายร้านเหล้าแห่งหนึ่งก็โชว์หรา ผมไม่เห็นรูปของทิวาเพราะมันถ่ายแต่ขวดเหล้า ขวดเบียร์ พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า... ‘แดกเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อย ไอ้แรด!’ ผมย้อนคิดถึงช่วงวันแรกๆ ที่มาลงทะเบียนนักศึกษา ความที่เป็นเด็กจากต่างจังหวัดถูกพ่อแม่ดูแลราวกับไข่ในหิน ผมเลยกลายเป็นไอ้เด๋อให้คนอื่นมองด้วยสายตาแปลกๆ คนที่บ้านมาส่งผมด้วยรถตู้คันใหญ่ซึ่งนับรวมแล้วเกือบ 7 ชีวิต กว่าจะล่ำลาจากกันได้ผมก็เสียน้ำตาไปหลายหยด “ตั้งใจเรียนนะขุน ถ้าไม่ไหวก็กลับไปอยู่บ้านเรา” “อ้าวแม่ สอนลูกอย่างนี้ได้ที่ไหน ขุนมันเป็นเด็กผู้ชาย ต้องเข้มแข็งอดทน” พ่อบอกผมและผมก็พยายามฮึดสู้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมเป็นลูกชายคนเล็กที่หัวอ่อน อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเดอร์มาตลอด กระทั่งได้มาใช้ชีวิตคนเดียวจึงช่วยไม่ได้ที่จะกลายเป็นคนใจแตก...อย่างเต็มตัว ในช่วงสัปดาห์แรกของการเป็นนักศึกษาชั้นที่ปีหนึ่ง ผมมักเดินสำรวจภาควิชาวิศวกรรมโยธา และได้พี่รหัสปี 2 และ ปี3 มาช่วยให้ข้อมูลต่างๆ ด้วยความเป็นคนมือไม้อ่อน พวกเขาเลยเมตตาพาไปเลี้ยงน้ำ เลี้ยงข้าว แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว นักศึกษาชั้นที่ปี 1 ของภาควิชาผมหลายคนเป็นเพื่อนกันมาจากมัธยม จึงแบ่งกลุ่มเด็กแต่ละพื้นที่ชัดเจน โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผมฉายเดี่ยวตั้งแต่วันแรก กระทั่งบังเอิญรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ และชนกับคิงคองเผือกเข้าเต็มแรง “เฮ้ย! คุณระวังหน่อยสิ” เป็นตอนนั้นที่ผมคิดว่าโลกทั้งใบกำลังสั่นคลอน... ผู้ชายตรงหน้าตัวสูงมาก คิ้วหนาเป็นแพยาวสวย ดวงตาสีนิลคู่สวยมีน้ำหล่อเลี้ยง ผมเจอคนหล่อมาไม่น้อยแต่คนที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะนั้นแทบจะนับคนได้ และตอนนี้ เขายืนอยู่ตรงหน้าผมในขณะที่โคตรปวดฉี่สุดๆ “ขอโทษ ผมปวดฉี่” ผมหลุดคำพูดเปิ่นๆ ออกมา คนตัวโตก็มองหน้าผม ก่อนจะทักว่า “อ๋อ คุณนั่นเอง คราวหลังก็ระวังด้วย” ทิวาพูดจาสุภาพมาก ในตอนนั้น เราแทบจะไม่รู้จักกัน ผมยิ้ม แหยๆ แล้วรีบพุ่งเข้าไปในห้องส้วม ทั้งอายและขัดเขินเขา หลังจากนั้นผมถึงรู้ว่าในจำนวนเด็กใหม่ นอกจากผมที่ไร้เพื่อนก็มีทิวาผู้ชายหน้าเดียวที่มักแยกตัวออกจากคนอื่น แต่ด้วยความเท่ บวกโปรไฟล์ดี รุ่นพี่ในภาควิชารวมถึงเพื่อนๆ หลายคนต่างลงความเห็นว่าทิวาควรเป็นตัวแทนของสาขาวิศวกรรมโยธา เพื่อไปประกวดเดือนคณะฯ เป็นการไต่บันไดไปสู่เดือนมหาวิทยาลัยในอนาคต และผมก็แอบกรี๊ดพร้อมกับเป็นตัวตั้งตัวตีสนับสนุนคนตัวโต “ไปคุยกับเขาหน่อยดีไหม กีกี้ว่าเขาควรเป็นตัวแทนของพวกเรานะ คนอื่นๆ หล่อก็จริง แต่ดูไม่สะอาดเหมือนทิวา” กีกี้สาวสวยคู่ซี้จักจั่นลูกสาวกำนันดันหลังผมให้ไปหาทิวา “ละ แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วย” ผมแย้ง ในใจนั้นตรงไปหาทิวาก่อนหน้าแล้วแต่ขามันไม่ยอมก้าว ความขี้ขลาดกำลังเล่นงานผม “นายท่าทางเป็นมิตรกับทุกคนที่สุด หน้าตาก็ซื่อๆ ดูไม่มีพิษมีภัย รับรองกล่อมใครก็ใจอ่อน” ขนมปังซึ่งเป็นหนุ่มหน้าสวย และบ่งบอกสถานะเพศของตนที่สุดสนับสนุนผมอีกเสียง ผมชี้ที่ตัวเอง และต้องรวบรวมความกล้ามากๆ เมื่อต้องเสนอหน้าไปใกล้คนคิ้วหนาปากแดง ที่ชื่อทิวา “นะ นาย...” คำพูดผมหน่อมแน้มเหลือเกินในยามนั้น ทิวาเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือ ดวงตาคมๆ ของเขาบาดใจผมจนหลุดเข้าไปในโลกของอีกฝ่าย “อื้อฮึ...มีไร” แค่เสียงทักทาย ก็เรียกเลือดผมจนแทบจะหมดตัว ทั้งทุ้มต่ำกังวานและมีเสน่ห์ “คะ คือ พวกเรา ในปี 1 เนี่ยคิดว่านายควรเป็นตัวแทนไปประกวด เดือนของสาขา” คนตัวโตขมวดคิ้วสวยๆ จนยุ่ง และเม้มริมฝีปากบางสีสดแน่น ราวกับประเมินบางอย่างอยู่ “ผม...เฮ้ย! กูนี่นะ ให้ไปประกวดเดือน มึงเอาส้นตีนอะไรคิด” ผมอึ้งและทำตาโต วันก่อนเขายังสุภาพกับผมอยู่เลยแต่ตอนนี้เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวใหม่จนผมสะดุ้ง “ก็ ทุกคนเห็นแบบนั้น นายหล่อ ตัวสูง และได้คะแนนตอนสอบเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งด้วย ชะ ใช่ไหม” ผมสืบข้อมูลทิวามาหมด ยอมรับว่าแอบยกป้ายไฟและสนับสนุนมันให้เป็นตัวแทนไปประกวดเดือนของสาขาอย่างเต็มที่ “กูไปประกวดก็ได้ แต่มีข้อแม้อยู่ 3 ข้อ ที่มึงต้องทำ” เป็นตอนนั้นที่ผมต้องหน้าเสีย และเหงื่อก็ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก อย่างเร็ว “นะ นายจะให้เรา...ทำอะไร” เสียงผมสั่น แต่ยังทำใจดีสู้คิงคองเผือกที่กำลังแยกเขี้ยวยาวๆ ขู่ กระนั้นขืนกลับไปมือเปล่า เพื่อนๆ ที่ดันหลังมาคงเฉดหัวผมออกจากกลุ่มแน่ ทิวายกยิ้มตรงมุมปาก ก็เพราะท่าทางแบบนี้ ยียวนนิดๆ ดูร้ายแบบแบดบอย ใครเห็นคงยอม ‘ถวายบัว’ เอ๊ย! ยอมทำทุกอย่างที่คนตัวโตสั่ง “ง่ายๆ เลย ข้อหนึ่ง ไม่ต้องใช้คำสุภาพกับกู ได้ยินแล้วบอกตามตรงโคตร เสียวตูด ไอ้เชี่ย” ผมอึ้งไปอีกหน ผมเป็นลูกชายคนเล็กที่เหมือนไข่ในหินมาตลอด คำพูดจาผมน้อยครั้งจะหลุด “กู - มึง” กับใคร แม้แต่เพื่อนสมัยมัธยมยังเบื่อหน่ายผมมาแล้ว แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยแตกต่างกันมาก ผมจำเป็นต้องห้าว ทำตัวเถื่อนนิดๆ แต่ไม่ใช่หยาบคายหรือถ่อย ทั้งนี้เมื่อเปลี่ยนตัวเองเหมือนคนอื่น ผมก็พลอยมีเพื่อนเยอะขึ้น คงต้องยกความดีเรื่องนี้ให้ทิวา “โอเค เรา...เอ่อ กูก็กู” คราวนี้คนตรงหน้ายิ้มกว้าง จนผมเห็นว่ามันมีลักยิ้มข้างแก้ม ลักยิ้มเล็กๆ ที่ดึงดูดสายตา และขยุ้มหัวใจผมจนอยู่หมัด “สอง ช่วงนี้กูเหงานิดหน่อยเพราะห่างแฟน และไม่มีใครรองรับอารมณ์ เอางี้ มึงมาเป็นขี้ข้า ไม่ใช่สิ เป็นเบ๊ให้กูสักเดือนสองเดือนดีไหม” มันบอกและส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผม “อ้าว! แล้วทำไม ผม เอ๊ย! กู ต้องทำตามที่คุณมึงสั่งด้วย” ตอนแรกๆ ผมไม่ถนัดคำพูดแบบนั้นจึงเอ่ยสิ่งที่ตลกๆ ออกไปหลายครั้ง และเรียกเสียงหัวเราะจากทิวาได้ตลอด “ถามได้ ก็เพื่อความใกล้ชิดของกูกับมึงไง และมันจะต่อยอดไปถึงข้อ 3 ไอ้ห่า” คำลงท้ายเขาด่าจนผมหูชา ผมตามทิวาไม่ทัน คนอะไรตอนอยู่นิ่งๆ หล่อเหมือนเทพบุตรกรีกแต่เวลาพูดเวลายิ้มกลับกลายเป็นคนอันตรายขึ้นมาเสียนี่ “และข้อสุดท้าย สำคัญมาก ในเมื่อมึงเสนอให้กูไปประกวดเดือนคณะ ดังนั้น มึงต้องเป็นผู้จัดการส่วนตัวของกู คอยตามเชียร์ส่งข้าวส่งน้ำตลอด ตกลงตามนี้ไหม” “เอ มึงหวังสูงไปมั้ง แค่ตัวแทนของสาขาก็พอแล้ว อย่าเพิ่งฝันว่าจะได้เป็นเดือนของคณะเลย” ผมเอ่ยอย่างพาซื่อ เพราะคิดว่าแค่ส่งทิวาไปเป็นตัวแทนสาขาวิศวกรรมโยธา ทุกอย่างคงจบแค่นั้นด้วยคณะวิศวกรรมศาสตร์มีหลายสาขา และหนุ่มๆ สาขาอื่นก็ล้วนหล่อลากไส้ “มึงรู้ไหม คนอย่างกูถ้าตั้งใจทำอะไร ถ้าไม่ได้ที่หนึ่ง กูไม่ทำให้เสียแรง” “เออ หวังสูงดีเนอะ และมึงก็โคตรมั่นเบ้าหน้า มั่นกะโหลก มั่นปีโป้น้อยเสียจริง!” เมื่อรู้สึกสนิทใจกับคนบ้าๆ อย่างทิวาขึ้นมาหน่อย ผมจึงกล้าแหย่มันคืน “แล้วเอาไง มึงจะยอมทำตาม 3 ข้อที่กูบอกไหม” ทิวาถามพร้อมทั้งส่งสายตาคมๆ มามองผม วินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ หัวใจผมกระตุกไหวอย่างแรง ประหนึ่งคำถามจากมันคือคำขอแต่งงาน! “ดีล...กูจะตามเชียร์มึงสุดหัวใจเลย” ข้อตกลงในวันนั้นทำให้ผมกลายเป็นเบ๊ของทิวาไปโดยปริยาย และค่อยๆ พัฒนามาเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างมัน แต่ตอนนี้ ผมชักจะไม่มั่นแล้วว่าทิวายังจะเปิดใจให้ผมเหมือนเดิมไหม หลังจากผมได้ทำลายมิตรภาพดีๆ ระหว่างเราลงอย่างย่อยยับ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD