ตอน พลาดพลั้ง (2)

3632 Words
หลังปิดการอบรมในเวลาบ่ายสามโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เพื่อนร่วมคณะของมาลินีต่างพากันนั่งรถตู้ของรีสอร์ตเข้าเมืองเพื่อหาซื้อของที่ระลึกไปฝากครอบครัว พวกเขาตั้งใจไปกินมื้อเย็นที่ร้านอร่อยในตลาดโต้รุ่ง เพราะสามวันที่ผ่านมาพวกเขาอุดอู้อยู่แต่ในที่พักและเบื่ออาหารที่ทางรีสอร์ตจัดให้ทุกมื้อ มาลินีโทรศัพท์ถามชัยภัทรและคุณเพ็ญว่าต้องการของที่ระลึกแบบไหน เธอจะไปเสาะหาให้ สามีผู้น่ารักของเธอตอบว่า “เราเพิ่งไปพารากอนกันมา คุณแม่ช็อปจนเหนื่อยแทบเป็นลม ของกินมีเหลือเฟือเต็มตู้เย็นเลยน้อย อย่าลำบากขนอะไรมาเพิ่ม มีเวลาเหลือก็ลงเล่นน้ำทะเลให้สนุกนะจ๊ะ เพราะพอกลับมาแล้วทีนี้น้อยต้องทำงานโดยแทบไม่มีวันหยุดเลยละ โอกาสจะได้ไปเที่ยวไกลๆ คงแทบไม่มีแล้ว” คุณเพ็ญพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงตะวันนะลูก อยู่ทางนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตะวันกินข้าวได้เยอะ แม่พาไปหัดว่ายน้ำที่สปอร์ตคลับ ขากลับนอนหนุนตักแม่หลับในรถตลอดทาง” คุณเพ็ญคุยถึงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนอีกหลายนาทีก่อนวางสาย มาลินีเห็นดีด้วยกับคำแนะนำของชัยภัทร เธอบอกเพื่อนร่วมคณะว่าเธอขอตัวไม่ไปตลาดกับพวกเขา เธออยากลงเล่นน้ำทะเลเพื่อคลายเครียดหลังจากฟังบรรยายและฝึกปฏิบัติมาตลอดสามวัน เมื่อทุกคนนั่งรถตู้ออกไปแล้ว มาลินีเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอสวมชุดว่ายน้ำและชะโลมครีมกันแดดทั้งตัวก่อนเดินจากที่พักไปจนถึงชายหาด เธอวางกระเป๋าถือ ผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุม และขวดน้ำดื่มไว้บนโต๊ะเตี้ยใต้ร่มใหญ่ประทับตรารีสอร์ต แดดอ่อนยามตะวันใกล้ตกดินและเสียงนกที่บินข้ามกาลเวลามาจากอดีตทำให้มาลินีมองเหม่อไปไกลขณะทอดตัวนอนบนผืนผ้า ทันไดนั้นมีมือหนึ่งส่งขวดเครื่องดื่มที่มีพรายฟองซ่ามาตรงหน้า “แก้ร้อนครับ ออกกำลังเล่นน้ำนานๆ ร่างกายอ่อนเพลีย ต้องชดเชย” มาลินีสะดุ้งและถดตัวขึ้นนั่ง เธอยิ้มอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของมือ “ขอบคุณค่ะอาจารย์ หนูเตรียมน้ำมาขวดเดียว ดื่มหมดแล้วแต่ยังไม่อยากลุก” เธอรับขวดเครื่องดื่มจากมือเขา มันเย็นเฉียบจนเธอยกมันแนบใบหน้า “ดื่มเย็นๆ ชื่นใจดีครับ ผมหยิบมาจากตู้เย็นในห้อง” “ที่ห้องหนูไม่เห็นมีน้ำแบบนี้” มาลินีมองดูขวดแก้วสีเขียวขนาดเท่าเครื่องดื่มชูกำลังมีฉลากเป็นภาษาที่เธออ่านไม่ออก “ผมหิ้วใส่รถมาครับ ผมดื่มประจำหลังออกกำลังกาย ลองดื่มสิครับ” ชูศักดิ์ยังยืนอยู่กับที่ เขาสวมกางเกงว่ายน้ำรัดรูปเห็นส่วนสัดชัดเจน “ผมชอบว่ายน้ำในสระ เพราะนับรอบได้ การว่ายน้ำช่วยให้ปอดแข็งแรง” มาลินียกขวดในมือขึ้นดื่มหลายอึก ชูศักดิ์มองเธอนิ่ง เขายิ้ม “หนูนึกว่าอาจารย์เข้าเมืองไปสนุกกับผู้เข้าอบรม เห็นบังกะโลอาจารย์ปิดเงียบ” มาลินีกล่าวและดื่มน้ำในขวดอีกครั้ง “ผมอยู่กับคนเยอะๆ มาหลายวัน พอจบงาน ผมต้องอยู่คนเดียวสักพักเพื่อปรับสมอง ลูกทีมผมขับรถกลับไปหมดแล้ว” เขาตอบพลางพิจารณาดูสีหน้าของมาลินีที่ขณะนี้เบิกตากว้างขึ้น เธอฟังคำตอบของเขาและพยักหน้า ชูศักดิ์ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเธอ “อ้อ ค่ะ ... อ้อ...โอ้...อู้วว สวยจริงๆ” มาลินีปรือตามองไปยังทะเลที่ส่งเสียงซัดซ่า เธอยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วชี้นิ้วไปยังขอบฟ้าที่ซึ่งน้ำทะเลสีเขียวหม่นกำลังรองรับดวงตะวันที่เคลื่อนลงไปอย่างช้าๆ ชูศักดิ์นิ่งดูปฏิกิริยาของหญิงผู้นั่งตะแคงกายเบื้องหน้า เธอดูคล้ายต้องมนตร์สะกด เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคลิ้มฝัน “โอ แสงสีอะไรมากมายนับไม่ถ้วน อาจารย์เห็นไหมคะ มหัศจรรย์มาก ฉันไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่าแสงพระอาทิตย์ในน้ำจะมีหลายร้อยเฉดสี โอ้ ดูนั่น ปลายคลื่นที่กำลังกระเพื่อมไหวมีเลื่อมลายระยิบระยับราวเกล็ดเพชร ดูสิคะ อาจารย์เห็นไหม...เมฆสีเทาบนฟ้าเมื่อครู่นี้กลับกลายเป็นปุยสำลีเบาบาง มันน่ากินเหมือนขนมปุยฝ้ายเลยค่ะ” มาลินีพูดพลางหัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอหันร่างไปทางชูศักดิ์และหงายหน้าหลุบตามองแผ่นอกของเขา เธอไม่อาจหยุดหัวเราะได้ เธอยกมือปิดปากตัวเองจนเสียงหัวเราะถูกซ่อนเก็บไว้ในลำคอ ชูศักดิ์ยังนั่งนิ่งไม่ขยับ เขากำลังประเมินอาการของหญิงตรงหน้า “ร้อนจังเลยค่ะ” มาลินีโบกมือพัดตัวเองและพึมพำออกมาเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชูศักดิ์ลุกขึ้นยืนก่อนบอกเธอว่า “ไปที่บังกะโลผม มีน้ำแร่เย็นฉ่ำอีกหลายขวด และอีกอย่าง จากห้องนอนผมเมื่อมองผ่านหน้าต่างกระจก คุณจะได้เห็นแสงสีมหัศจรรย์ที่สวยกว่ามองด้วยตาเปล่า” พูดจบเขาเดินล่วงหน้าไปที่บังกะโลหลังแรกที่ตั้งห่างออกไปประมาณสามสิบเมตร มาลินีเก็บของใส่กระเป๋าผ้าทีละชิ้นอย่างเชื่องช้าขณะมองน้ำทะเลที่กำลังม้วนตัวเป็นเส้นสายสีทองส่งประกายกระทบนัยน์ตา รัศมีร้อยสีพันเฉดของพระอาทิตย์ที่เพิ่งลับจากขอบฟ้าทำให้เธอตกตะลึง เธอชะเง้อมองหลังชูศักดิ์ที่เดินดุ่มๆ ไปที่บังกะโลริมหาด มาลินียันตัวลุกขึ้น เสื้อคลุมหลุดลุ่ยลงจากบ่าข้างหนึ่ง เธอปล่อยมันไว้อย่างนั้น ช่วงขณะดังกล่าวเธอรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอสูดหายใจยาวขณะย่ำทรายตามหลังชูศักดิ์ไป... ... ... ...มาลินีที่กำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถเก๋งสีขาวกะพริบตาปริบเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ของวันดังกล่าว เธอจำได้ถึงประสบการณ์ประหลาดที่สายตาของเธอมองเห็นสีสันพร่างพรายรอบตัวขณะเดินไปยังบังกะโลหมายเลขหนึ่งริมหาด มันเป็นสภาวะที่เธอไม่อาจใช้คำพูดใดๆ มาบรรยายได้ เธอและทุกสิ่งรอบตัวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่สวนดอกไม้เชิงทางขึ้นบันไดระเบียง ประตูสีเจิดจ้าที่เปิดกว้างรอเธอเข้าไปแล้วมันก็ปิดลงอย่างแผ่วเบา แก้วไวน์สีแดงสดที่ชูศักดิ์ยื่นส่งให้ ร่างแข็งแรงของเขากับกางเกงว่ายน้ำรัดรูป กลิ่นสเปรย์ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มาลินีดื่มไวน์แก้วนั้นรวดเดียวหมดและส่งเสียงหัวเราะออกมา เธอมองเห็นแสงระยับของละอองปรมาณูละเอียดยิบ สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้อยู่รอบตัวเธอตลอดเวลาแต่เธอไม่เคยตระหนักรู้ เธอหัวเราะดังขึ้นเมื่อละอองวับวาวลอยคว้างสัมผัสร่างเธออย่างแผ่วเบานุ่มนวล เธอแหงนหน้ารับสายฝนแห่งแสงสีงามประหลาดขณะเร้นกายเข้าสู่มิติอันปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่น มีเพียงเธอคนเดียวที่ว่ายวนอยู่ในละอองอันแพรวพราว ไม่มีใครอื่นนอกจากเธอ มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่กำลังสัมผัสประสบการณ์พิเศษ เธอโถมร่างเข้าใส่คลื่นที่ม้วนตัวกระแทกกระทั้น เสียงคลื่นที่ซัดโหมผสมกลิ่นไวน์จากลมหายใจถี่กระชั้นโอบรัดร่างที่กำลังจมดิ่งลึกลงไปให้ลอยสูงขึ้น เธอสัมผัสหยาดน้ำจากเมฆที่กลายเป็นสายฝนไหลหลั่งทะลักทลาย ประสาทสัมผัสทุกส่วนเปิดรับประสบการณ์ใหม่อย่างเต็มที่จนเธอรู้สึกเอมอิ่ม เธอโหยหาสิ่งนี้มาเนิ่นนาน แล้วเธอก็ปล่อยเสียงครางออกมาอย่างสุขสม เช้าวันรุ่งขึ้นมาลินีลืมตาตื่นในที่นอนของตนที่บังกะโลด้านหลัง เธอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอนสองสามครั้งแล้วมีเสียงลอดเข้ามาว่า “คุณน้อยตื่นหรือยังคะ อีกยี่สิบนาทีรถบัสจะมารับที่หน้ารีสอร์ต เดี๋ยวพี่จะไปทานอาหารก่อนนะคะ” มาลินีสะบัดศีรษะเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเสียงที่เธอได้ยินจริงๆ ไม่ใช่เสียงจากความฝัน เธอส่งเสียงตอบออกไป “ค่ะ ตื่นแล้วค่ะคุณบี ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวน้อยตามไป” มาลินีมองหากระเป๋าผ้า มันกองอยู่บนพื้นข้างเตียง เธอควานมือเข้าไปในกระเป๋าใบนั้นและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดดู ชัยภัทรส่งข้อความมาทักทาย มีรูปเด็กชายตะวันส่งยิ้มฟันหลอมาให้ มาลินียกโทรศัพท์ขึ้นแนบหน้าและจุมพิตหน้าจอขณะที่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เธอพยายามทบทวนความทรงจำว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น เธอจำได้เพียงว่าขณะพระอาทิตย์ใกล้ตกเธอเดินไปที่บังกะโลของชูศักดิ์เพื่อดื่มน้ำแร่ตามที่เขาชวน แล้วเธอก็กลับออกมาหลังจากเพลิดเพลินไปครู่หนึ่งกับแสงสีต่างๆ แต่ช่างน่าประหลาดใจนักที่ข้างนอกบังกะโลกลับกลายเป็นยามดึกที่เงียบสงบ มีเสียงคลื่นซัดชัดเจน เสียงยอดไม้เสียดสีกัน สองข้างทางเดินมีแสงไฟสว่างไสว ตามที่พักหมายเลขต่างๆ ยังเงียบเชียบ คณะผู้เข้าอบรมคงไปเดินไนท์บาซาร์หลังกินอาหารเย็นด้วยกัน พวกเขาคงใกล้จะกลับมาแล้ว เธอยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา สี่ทุ่มกว่า เธอประคองร่างกลับมายังบังกะโลหมายเลข 15 เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอนอย่างหมดกำลัง เธอหลับรวดเดียวจนถึงเวลาเช้าที่เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูปลุก ขณะอาบน้ำอุ่นจัดจากฝักบัวที่ไหลเอื่อย มาลินีถูสบู่ลูบไล้ร่างกาย มันมีร่องรอยบ่งบอกถึงสิ่งที่เธอได้กระทำลงไปเมื่อคืนนี้ เธอพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่มีเพียงแสงระยิบระยับและสีสันพร่างพรายเจิดจ้า ลูกคลื่นมหึมาที่ซัดกระหน่ำจนร่างสะเทือน รสชาติฝาดอมเปรี้ยวของไวน์สีแดงสดผสมกลิ่นเหงื่อของใครสักคน เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ มาลินีพยายามลืมเหตุการณ์ในวันนั้น เธอใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติกับครอบครัวและการงานที่เธอต้องรับผิดชอบมากขึ้น จนผ่านจากปี 2562 ขึ้นสู่ปีใหม่ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเริ่มต้นของโรคโควิดที่แพร่ระบาดในประเทศไทยระลอกแรก ต้นเดือนเมษายน 2563 มาลินีได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้จัดการสาขาลาดพร้าวของบริษัทเงินทุนศรีสมิธ เธอย้ายไปนั่งที่มุมอันกว้างขวางของห้องทำงานรวมและมีปาร์ติชั่นกั้นเป็นสัดส่วน เพื่อนร่วมบริษัทผู้เดินทางไปอบรมหลักสูตรเพื่อก้าวขึ้นสู่ผู้บริหารที่ชุมพรรุ่นเดียวกันส่งข้อความออนไลน์มาแสดงความยินดีกับเธอ แต่มีข้อความหนึ่งส่งมาจากเบอร์โทรศัพท์ที่เธอไม่รู้จัก “ถ้ามีเวลากรุณาโทรกลับหาผมหน่อยนะครับ ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ผมคิดถึง ผมสั่งน้ำแร่พิเศษมาจากเมืองนอกล็อตใหญ่ ผมจะแบ่งให้คุณไปดื่มแก้กระหาย” มาลินีมองหน้าจอมือถือ สัญชาตญาณของเธอบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะ ทันใดนั้นมีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับรูปคมชัด มันเป็นภาพของเธอที่มีใบหน้าเคลิ้มสุขกับชายคนหนึ่งที่เห็นเพียงแผ่นหลังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มาลินีรู้สึกเย็นวาบจากส่วนบนของศีรษะไล่ลงมาถึงท้ายทอย เธอคิดอยู่เสมอหลังกลับจากชุมพรว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เธอกระทำลงไปโดยไม่รู้ตัวนั้นมันจะถูกเผยออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เธอเคยระแวงว่าเพื่อนร่วมเดินทางของเธออาจรู้เห็นเรื่องนี้และนำไปพูดลับหลังจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ห้าเดือนผ่านไปไม่มีเสียงซุบซิบใดๆ มาเข้าหู นอกจากนั้นชูศักดิ์ซึ่งขับรถกลับจากชุมพรและเงียบหายไปก็ไม่เคยติดต่อหาเธอ แต่มาลินีรู้สึกตลอดเวลาว่ามันเป็นความเงียบที่ดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ มาลินีเดินหลบเพื่อนร่วมงานออกไปหามุมส่วนตัวและกดโทรศัพท์หาเขา “โอ้ ดีใจจริงๆ ที่คุณติดต่อมา” ชูศักดิ์ส่งเสียงพูดมาตามสาย มาลินียกมือป้องโทรศัพท์ไว้ เธอถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “อาจารย์ถ่ายรูปหนูไว้หรือคะ” “ผมถ่ายไว้ดูเล่นยามคิดถึงน่ะ ขอโทษด้วยที่เงียบหายไปเพราะผมมีหลายสิ่งต้องทำและผมก็รู้ว่าคุณต้องเร่งสร้างผลงาน” เขาเว้นระยะก่อนพูดต่อ “ยินดีด้วยนะที่ได้เลื่อนขึ้นเป็นรองผู้จัดการ ไม่เสียทีที่เคยเป็นลูกศิษย์ผม” “อย่าพูดเรื่องที่เราเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน หนูรับไม่ได้ที่อาจารย์ถ่ายรูปหนูไว้...และไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งมาให้หนูดูอีก” มาลินีควบคุมน้ำเสียงและสีหน้าไว้ เพราะเธอยังอยู่ในอาคารที่ทำงาน “ผมถ่ายไว้เป็นสิบรูปเลย สวยทุกรูป ต้องมีคนชอบแน่ถ้าผมส่งเข้าเว็บสาธารณะ” ชูศักดิ์พูดเสียงนิ่ง “อาจารย์!” มาลินีอุทาน “อย่าทำอย่างนั้นนะคะ!” “ไม่หรอก ผมแค่คิดเฉยๆ คุณมีเวลามาคุยกับผมไหมล่ะ” “ฉันต้องทำงานค่ะ คุณชูศักดิ์” มาลินีเปลี่ยนสรรพนามของตนเองที่เคยใช้คำแทนตัวเองว่าหนูมาเป็นฉันและเรียกเขาด้วยชื่อ เขาหัวเราะหึๆ ก่อนพูดต่อ “อืม หลังเลิกงานเย็นนี้ล่ะ คุณจัดเวลาได้นี่ ผมเจอชัยภัทรเดือนที่แล้ว เขาคุยให้ผมฟังเยอะแยะเรื่องครอบครัวน่ารักของเขา ตอนนี้ตัวเขาเองก็กำลังสนุกกับงานตำแหน่งใหม่ ต้องไปหาลูกค้า ไปกินเลี้ยง ไปเอ็นเทอร์เทนแขก มาลินี ผมจะบอกให้นะ คุณเองก็หาเหตุผลที่จะกลับบ้านผิดเวลาได้ คุณบอกที่บ้านคุณไปเลยว่าวันนี้แขกวีไอพีนัดคุย!” มาลินีนิ่งเงียบฟังน้ำเสียงของผู้ที่เธอเคยชื่นชม เธอจดจำสิ่งที่เขาเคยถ่ายทอดให้และนำไปปฏิบัติทั้งความรู้ด้านวิชาการ วาทศิลป์ เทคนิกการทำงาน เธอส่ายศีรษะอย่างเสียใจ “ตกลงไหม” เขาถาม “ถ้าฉันไม่ไปล่ะ” มาลินีถามเสียงห้วน “หึ ไม่เป็นไรหรอกมาลินี ถ้าคุณไม่อยากเจอผม ผมก็จะใช้เวลานั่งออนไลน์แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลกับเพื่อนเก่า ชัยภัทรคงอยากดูรูปเมียเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม...” “อย่าทำอย่างนั้นค่ะ!” “ตกลงคุณมาได้ใช่ไหม อันที่จริงผมอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานคุณเท่าไรเลยนะ คุณขับรถไปที่คอนโดดารินา สะพานควาย ห้อง 804 เอ คุณบอกชื่อคุณกับพนักงานข้างล่าง เขาจะเปิดประตูอาคารให้คุณเข้ามา ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มหน่อย เจอกันห้าโมงเย็น” ชูศักดิ์กดตัดสายทันทีเมื่อพูดจบ ... ... ... ...มาลินีส่ายหน้าอีกครั้งขณะนายมงคลขับรถเข้าสู่ถนนรัชดาภิเษก เธอมองต้นอินทนิลที่กำลังออกดอกพราวบนเกาะกลาง ถนนสายนี้การจราจรค่อนข้างคล่องตัวในช่วงเวลาบ่าย เธอควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเด็กชายตะวันซึ่งคุณเพ็ญเป็นผู้รับสายและส่งเครื่องให้เด็กชายได้พูดคุยกับมารดา มาลินีฟังเสียงเด็กน้อยที่พูดเป็นภาษาอังกฤษโดยมีเสียงคุณดนัยกระซิบบอกอยู่ข้างๆ เธอหัวเราะออกมาขณะยกมือซ้ายป้ายน้ำตาที่กำลังหยด เธอหันหน้าออกไปด้านข้างเพื่อหลบสายตานายมงคลที่เหลือบดูเธอจากกระจกมองหลัง มาลินีฟังเสียงลูกชายจนชื่นใจแล้วจึงบอกลาเขาด้วยประโยค “แม่รักหนูนะครับ” มาลินีเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าถือขณะหวนคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ครั้งแรกที่เธอยอมจ่ายเงินให้ชูศักดิ์... ... ... ...เธอเคาะประตูห้อง 804 เอ ที่คอนโดดารินาในเวลาห้าโมงเย็นตามเวลานัด เขาเปิดประตูห้องทันทีและส่งยิ้มกว้างพร้อมกับผายมือให้มาลินีเข้าไป เธอมองเห็นเตียงนอนใหญ่อยู่มุมด้านในห้องขนาดกะทัดรัด เธอก้าวถอยหลัง เขายิ้มพลางแตะข้อศอกเธอ “ผมจะไม่ปิดประตูหากคุณต้องการ แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่เราจะคุยกัน” ชูศักดิ์กล่าว เขาแต่งกายเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังมัดเชือก มาลินีสูดหายใจยาวและเดินเข้าไปในห้อง เธอมองเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์สองตัวพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วงหลายชิ้นอยู่บนโต๊ะตัวยาวเลียบผนังด้านหนึ่ง “ที่นี่เป็นห้องทำงานผมเวลาต้องการปลีกตัว” ชูศักดิ์พูด “จริงๆ ผมอยู่กับครอบครัวที่ฉะเชิงเทรา ที่นั่นอยู่สบายนะ ทันสมัย ถนนดี ขับรถบนมอร์เตอร์เวย์จากกรุงเทพฯ ชั่วโมงเดียวก็ถึง ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่นั่น เวลาเข้ากรุงเทพฯ ผมก็มาใช้คอนโดนี้ มันสะดวกดี ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เข้าเมืองได้เร็ว” เขาอธิบายและเดินไปเลื่อนเก้าอี้นวมไร้พนักวางแขนให้เธอนั่งกลางห้อง เขาอ้าปากคุยฝ่ายเดียวเป็นเวลากว่าสิบนาที “ที่ฉะเชิงเทราผมอยู่กับพ่อแม่ น้องสี่คน ญาติอีกหลายชีวิต เราปลูกบ้านติดกันหลายหลังในบริเวณเดียวกัน ผมมีที่ดินเกือบแปดสิบไร่ ค่อยๆ ได้มาไม่กี่ปีมานี้ ผมกำลังทำบ้านจัดสรรชั้นดีและทำที่พักตากอากาศ ลงทุนไปแล้วเกือบร้อยล้าน ยังไม่เสร็จดี ผมมีแผนจะทำโน่นนี่อีกหลายอย่าง ผมยังไม่คิดกู้บริษัทคุณหรอกนะเพราะผมยังมีทางหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ...” มาลินีนั่งหลังตรง ขาชิดกัน กระเป๋าถือวางบนตัก มือทั้งสองข้างจับกันไว้ ชูศักดิ์มองท่านั่งของเธอ เขาจุ๊ปากและส่ายหน้า “มาลินี คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะทำอะไรคุณ นั่งให้สบายเถอะ ผมไม่เคยใช้กำลังกับใคร ผมไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น” “คุณช่วยเข้าเรื่องธุระของคุณได้ไหม ฉันจะได้กลับไปหาลูก” มาลินีพูดออกมา “จะรีบไปไหน นี่ผมแค่อารัมภบทเอง คุณเคยฟังผมเล็คเชอร์ทีละหนึ่งชั่วโมงผมยังเห็นคุณทำตาแป๋วมองผมทุกย่างก้าว” มาลินีกัดริมฝีปาก เธอไม่อาจต่อปากต่อคำกับผู้ชายคนนี้ได้ เขาเดินมาหยุดตรงหน้าเธอแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “มาลินี ที่ผมพูดเรื่องเงินลงทุนร้อยล้าน คุณอย่าตกใจไปเลยว่าผมจะเรียกร้องจากคุณขนาดนั้น ผมต้องการไม่มาก แค่ไม่ทำให้คุณเดือดร้อน ผมเชื่อว่าคุณจ่ายได้สบาย ลูกสะไภ้บ้านธำรงธันยสวัสดิ์มีหรือจะไร้เงินจ่าย ตระกูลผู้ดีเก่าของชัยภัทรจะไม่มีวันรับรู้เรื่องที่คุณแอบไปเล่นจ้ำจี้กับผมอย่างเกษมสำราญ ดูสีหน้าของคุณในรูปนี้สิ” ชูศักดิ์ควักโทรศัพท์ของเขาออกมาเปิดให้เธอดูหน้าจอ มาลินีมองภาพตนเองที่กำลังอ้าปากปรือตาสีหน้าเต็มไปด้วยความสุขสมใจ เธอนิ่งอึ้งและเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยิ้มกับเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ “คุณจ่ายให้ผมสักสามแสนได้ไหม ถือเป็นการซื้อรูปแสนเซ็กซี่ของคุณไปเก็บไว้ หรือจะลบให้หายออกจากเครื่องของผมเลยก็โอเค” “คุณจะแบล็กเมลฉันหรือ” มาลินีถามเสียงเข้ม เขาสวนคำทันที “ผมไม่ชอบคำว่าแบล็กเมลเลยนะ เพราะมันฟังต่ำชั้น ต้นตอของคำนี้ย้อนหลังไปได้สักสามสี่ร้อยปีละมั้งตั้งแต่สมัยยุคกลางของอังกฤษ มีพวกที่ข่มขู่ชาวบ้านยากจนโดยเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เงินที่ชาวบ้านผู้น่าสงสารเหล่านี้จ่ายให้พวกนอกกฎหมายเรียกว่าเงินแบล็กเมล แต่กรณีที่ผมขอเงินจากคุณสามแสนบาทนั้นผมคิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ คุณมีฐานะและอยู่ในตำแหน่งงานกินเงินเดือนสูง คุณมีสามีที่เป็นผู้บริหารสาขาปริมณฑลสี่จังหวัดและกำลังจะก้าวเข้าไปนั่งแป้น เอ่อ นั่งแท่นที่สำนักงานใหญ่ในอีกไม่กี่ปีนี้ คุณมีลูกชายที่จะต้องเติบโตขึ้นมาและเขาอาจเห็นภาพของคุณในวันหนึ่ง นอกจากนั้นพ่อแม่สามีของคุณคงชอบใจมาก...” ชูศักดิ์หรี่ตามองมาลินีที่กำลังใช้นิ้วลูบหน้าผาก เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ “ผมอยากให้คุณถือเสียว่าเราค้าขายกัน คุณอาจคิดข้ามช็อตไปเลยก็ได้ว่าคุณเป็นผู้ร่วมลงทุนกับผมคนหนึ่ง ซึ่งผมมีคู่ค้าอย่างคุณเยอะเชียวละ วันหน้าหากผมมีกำไรจากธุรกิจบางอย่างที่ผมกำลังแหย่ขาเข้าไป ผมจะคืนคุณและคนอื่นๆ ทุกบาททุกสตางค์ แต่ตอนนี้คุณช่วยโอนจ่ายให้ผมสามแสนบาท ผมรับรองว่ามันคุ้มค่ากับการรักษาทุกสิ่งที่คุณครอบครอง ทั้งตำแหน่งหน้าที่และสถานะทั้งหลายที่ผู้หญิงอย่างคุณสวมบทบาทอยู่” มาลินีกัดริมฝีปากคิด ชูศักดิ์มองท่าทีของเธอครู่หนึ่ง เมื่อเธอยังนิ่งเฉย เขายกโทรศัพท์ขึ้นและกดส่งภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่ที่ผ่านไปเข้าโทรศัพท์ของเธอทันที “ภาพนี้คนที่บริษัทของคุณต้องฮือฮาแน่ หากผมยิงเข้าไปที่เว็บไซต์ศรีสมิธ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD