ตอน พลาดพลั้ง (1)

3757 Words
บทที่ 3 พลาดพลั้ง ทันใดนั้นมาลินีได้ยินเสียงน้ำหยดเบาๆ บนโต๊ะทำงาน เธอสะดุ้งและลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่เธอเพิ่งนั่งลงไป มันเป็นเสียงเรียกเข้าจากเครื่องโทรศัพท์ที่เธอตั้งค่าหมายเลขชุดหนึ่งไว้ มาลินีจ้องมองหน้าจอสี่เหลี่ยมสีเทาที่กำลังขยับข้างคีย์บอร์ด มือของเธอเริ่มสั่น เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งขณะฟังเสียงน้ำหยดที่เริ่มดังขึ้นจนเป็นเสียงฝนตก เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกดปุ่มสีเขียว “สวัสดีครับที่รัก” เสียงกระเส่าที่แสร้งทำเอ่ยทักทาย “ไหนว่าจะไม่โทรหาฉันอีก คุณสาบานไว้แล้ว จำได้ไหม” มาลินีกรอกเสียงลงไปหลังจากอั้นลมหายใจไว้ชั่วขณะหนึ่ง “โธ่ ก็คิดถึงน่ะ ผมยอมผิดคำสาบานขอให้ได้ยินเสียงคุณ” ฝ่ายชายตอบ คราวนี้เขาทำน้ำเสียงออดอ้อน มาลินียกมือข้างหนึ่งบีบขมับที่เริ่มเต้นตุบ “ฉันไม่ต้องการให้คุณรบกวนฉันอีก คุณเข้าใจไหม” เธอพูดเสียงกระด้าง “ไม่สบายหรือที่รัก ฟังเหมือนคุณกำลังจับไข้” เสียงที่โชยเอื่อยออกมาจากโทรศัพท์ทำให้มาลินีขนลุก “ฉันจะวางสายละนะ แล้วอย่าโทรมาอีก” มาลินีพยายามควบคุมอารมณ์ “ถ้าคุณวางสายก่อนหรือบล็อกสายผมอีกครั้ง ผมบอกได้เลยว่าคุณคิดผิด” “คุณขู่ฉัน” “ไม่ได้ขู่ มันเป็นความจริง คุณลองดูก็ได้” ชายคนนั้นพูดอย่างใจเย็น มาลินีเคยบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของเขาหลายครั้ง แต่เขาก็สามารถติดต่อเธอได้ทุกครั้งด้วยโทรศัพท์เครื่องใหม่ “คุณมีธุระอะไร” “เรื่องธุระนี่ต้องมีอยู่แล้ว อีกอย่างนะ ผมยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณที่ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้จัดการ ผมได้อ่านคำสัมภาษณ์คุณจากนิตยสารฉบับหนึ่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณช่างยอดเยี่ยมแท้สมเป็นที่รักของผม” มาลินีเงียบไป แววตาของเธอสลด เธอคิดถึงจำนวนเงินที่เสียให้ชายคนนี้ไปถึงสองล้านบาทตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 และครั้งสุดท้ายที่เธอโอนจ่ายเงินจากบัญชีส่วนตัวให้เขาไปสามแสนบาทนั้นคือเดือนกันยายน 2564 เขารับปากกับเธอเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ติดต่อหาเธออีก และเขาก็เงียบหายไปตลอดห้าเดือนจนมาถึงวันนี้ “ถ้าคุณโทรมาแค่แสดงความยินดี ฉันก็ขอบคุณ แต่ฉันต้องทำงานแล้วค่ะ สวัสด..” “อย่าเพิ่งวางสาย มาลินี” เสียงชายคนนั้นลดความนุ่มนวลลงจนเหมือนออกคำสั่ง มาลินียืนนิ่ง เธอใช้มือหนึ่งยันโต๊ะไว้และเงียบฟังเขาพูดต่อ “อย่างนี้นะจ๊ะ” เขาเว้นระยะ “คือผมมีเวลาว่างเหลือเยอะช่วงนี้เลยไปนั่งค้นลิ้นชักเล่น...แล้วผมก็เจอแฟลชไดรฟ์อันเล็กเท่านิ้วก้อย มันสำคัญมากนะที่รักของผม เพราะมันบรรจุภาพของคุณทุกชุดเก็บสำรองไว้ในนั้น จริงๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมมีแฟลชไดรฟ์อันนั้น แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ และก็เป็นจังหวะเหมาะที่ผมกำลังต้องการเงินลงทุนเพิ่ม” มาลินีกะพริบตา ในสมองเธอกำลังคำนวณเงินที่เหลือในบัญชีและเดาจำนวนเงินที่ชายผู้นี้จะรีดเค้น เธอสะบัดศีรษะและสะกดปากไว้ไม่เอ่ยคำพูดใด “ยังฟังผมอยู่หรือเปล่าเอ่ย” “ฉันฟังคุณอยู่” มาลินีกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “อ้อ เห็นเงียบไป ผมก็นึกเป็นห่วงคุณ ผมรู้ว่าคุณขุ่นเคืองใจที่ได้ยินเสียงผมอีกครั้ง ใจจริงผมก็อยากรักษาคำพูดนะว่าจะไม่มาวอแวอะไรกับคุณอีก ผมมันไม่ใช่ว่าชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่ช่วงนี้ผมต้องรวบรวมเงินไปลงทุนเพิ่ม นี่ก็ได้เกือบครบแล้ว ยังขาดอีกนิดหน่อย” มาลินีมองที่ประตูห้องซึ่งวิชุดาผู้เป็นเลขาฯ ของเธอเคาะประตูและส่งสัญญาณบอกเตือนว่าช่วงบ่ายเธอมีนัดประชุมที่สำนักงานใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก เธอพยักหน้ารับรู้และทำปากพูดคำว่าอีกห้านาที “เอาอย่างนี้นะ ง่ายๆ สั้นๆ แฟลชไดรฟ์ของผมราคาไม่แพง ผมขอแลกกับเงินหนึ่งล้านบาท คุณจะมารับเองหรือให้ผมเอามาส่งถึงมือ ช่วยบอกผมด้วย ผมรบกวนครั้งสุดท้ายจริงๆ ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย” มาลินีสะอึกกับจำนวนเงินที่เขาต้องการ เธอหายใจแรงและถี่ ในหัวสมองอึงอลด้วยความคิดร้อยแปด เธอไม่ต้องการเสียเงินให้ชายคนนี้อีกแล้ว เธอควรทำอย่างไรดีจึงจะแก้ปัญหาที่กัดกินเธอมาตลอดสองปี “แล้วผมจะหายไปจากชีวิตคุณ ผมสาบาน” เขาพูดซ้ำด้วยประโยคเดิมๆ ที่มาลินีเคยได้ยินมาแล้วหลายครั้ง เธอนิ่งขณะชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือ เธอกัดริมฝีปากนิดหนึ่งก่อนพูดดีกับเขา “คุณชูศักดิ์คะ ฉันรู้ว่าคุณต้องการเงินใช้ แต่ฉันไม่มีให้คุณจริงๆ แล้วคราวนี้คุณก็ขอเยอะเกินไป ฉันเหลือเงินสดส่วนตัวในธนาคารไม่มากนัก โบนัสที่ได้มาเมื่อตอนต้นปีฉันเอาไปใช้หนี้แม่ฉันจนหมด เพราะฉันไปขอยืมท่านเพื่อเอาเงินมาให้คุณปีที่แล้ว ฉันควรจะได้เปลี่ยนรถใหม่แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาสองปีฉันโอนเงินส่วนตัวให้คุณไปสองล้าน ฉันนึกว่าคุณจะพอกับเงินก้อนสุดท้ายที่ฉันจ่ายไป...” เขาพูดสวนกลับมาโดยไว “แต่มันคุ้มค่ากับการที่คุณไม่ต้องเสียชื่อเสียงนี่นะ มาลินี สามีที่รักของคุณก็ไม่ต้องอับอาย โดยเฉพาะครอบครัวผู้ดิบผู้ดีของเขาก็ไม่ต้องเอาปี๊บคลุมหัว แล้วเมื่อลูกชายคุณโตขึ้นเขาก็จะไม่ต้องถูกเพื่อนล้อจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เขาอาจโดดตึกฆ่าตัวตาย...” “หยุดเดี๋ยวนี้ ฉันทนฟังไม่ไหว” มาลินีเสียงสั่นเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “คุณอาจคิดว่าฉันมีเงินเหลือเฟือสำหรับจ่ายให้คุณอีกเท่าไรก็ได้เพราะฉันทำงานกับเงิน แต่มันเป็นเงินของคนอื่นทั้งนั้น เงินของลูกค้า ของบริษัท...” “นี่ นี่ นี่แหละ ตรงนี้แหละมาลินีที่ผมกำลังอยากฟัง สาขาลาดพร้าวมีเงินหมุนเวียนมหาศาล คุณเป็นผู้จัดการสาขาสำคัญของบริษัทเงินทุนใหญ่นะ รายได้ปีที่แล้วของสาขาคุณมีเท่าไรผมพอรู้จากรายงานประจำปีในเว็บไซต์ คุณต้องคิดได้สิว่าคุณจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเพื่อปกป้องอนาคตอันสวยหรูของคุณ คิดสิ คิด คิด...” “คุณแนะนำให้ฉันเอาเงินบริษัทมาจ่ายคุณหรือ!” เธอถามเสียงสูงและลดเสียงลงบอกเขา “ฉันทำไม่ได้ค่ะ” “เฮ้อ คุณนี่ช่างซื่อสัตย์ต่อบริษัทที่สูบเลือดขูดเนื้อลูกค้าเหลือเกินนะ ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าของบริษัทเงินทุนศรีสมิธเป็นแขกปากีฯ ที่ในอดีตเคยหากินด้วยการรีดดอกเบี้ยลูกหนี้ตามตลาดนัดวันต่อวัน เท่านั้นไม่พอยังขายของหนีภาษีกระจายไปทุกตลาด ยัดเงินเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเพื่อซื้อความสะดวก จากนั้นก็มาตั้งบริษัทไฟแนนซ์ผ่อนรถไถให้พวกชาวไร่ชาวนา พอได้เงินเต็มถังก็มาตั้งบริษัทเงินทุน ออกสินเชื่อให้คนที่หมดหนทาง แล้วก็ริบบ้านริบรถพวกเขาเอาไปขายทอดตลาด จ้างพวกคุณหนุ่มๆ สาวๆ เข้ามาทำผลงานแข่งกันจนขยายสาขาไปยี่สิบสี่แห่ง” ชูศักดิ์เดาะปากจิ๊กจั๊กก่อนพูดต่อ “คุณอย่าห่วงไปเลยว่าบริษัทคุณจะเจ๊งหากคุณแอบเอาเงินออกมา” “ฉันทำไม่ได้ค่ะ” เธอพูดซ้ำ “อืม เอาอย่างนี้ มาลินี ถ้าคุณไม่ชอบงานเสี่ยง ผมจะทำให้มันถูกต้องก็แล้วกัน...พรุ่งนี้ผมจะเอาแฟลชไดรฟ์มาให้คุณพร้อมกับขอทำเรื่องกู้เงินหนึ่งล้านบาท ผมจะนำหลักทรัพย์มาค้ำประกัน คุณก็แค่เซ็นอนุมัติ ผมรับเงินไป เท่านี้ก็จบ คุณไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเอง” “อ้อ ค่ะ คุณจะเตรียมหลักทรัพย์อะไรมา” “โฉนดที่ดินสองร้อยไร่ที่สุพรรณ แต่คุณไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจดูหรอก เสียเวลาหา” ชูศักดิ์พูดเจือด้วยเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมซื้อแต่โฉนดมา” “คุณจะใช้โฉนดปลอมหรือ!” มาลินีอุทาน “ฉลาดนี่ ถ้าผมมีหลักทรัพย์จริงๆ ในมือ ผมคงไม่ต้องหาเงินใช้ด้วยวิธีนี้หรอกนะ คุณเป็นผู้จัดการ คุณทำได้อยู่แล้ว หยิบตรงโน้นมาโปะตรงนี้ และคุณก็มีประสบการณ์กับงานฐานข้อมูลลูกค้ามาเป็นสิบปี แค่จะเปลี่ยนรหัสตัวเลขสักสองสามตัวก็คงไม่มีใครจับได้ เขาทำกันเยอะแยะไป ไม่เชื่อคุณลองถามผู้จัดการของสาขาอื่น หรือแม้แต่ผู้จัดการธนาคารที่คุณมีเงินฝากอยู่หลายบัญชีนั่นแหละ” มาลินีสั่นศีรษะอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่ชูศักดิ์แนะนำ เธอก้มดูนาฬิกาอีกครั้ง เธอต้องเตรียมตัวออกไปประชุมแล้ว วิชุดาเคาะประตูและบอกเธอเบาๆว่านายมงคลกำลังนำรถมารอรับที่หน้าอาคาร มาลินีลุกยืนขึ้น เธอพูดกับชูศักดิ์พลางถอนหายใจหนักหน่วง “เอาอย่างนี้นะ ฉันจะพยายามหาเงินมาให้คุณ อย่างช้าไม่เกินสองวัน ตกลงไหม” “โอ้น่ารักมาก มาลินี แต่ขอเป็นภายในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงได้ไหม” “ฉันไม่แน่ใจ แต่ฉันจะพยายามหาเงินมาให้คุณ พรุ่งนี้ก่อนสามโมงเช้าฉันจะโทรบอก ฉันต้องไปประชุมแล้ว” “ได้เลยที่รัก ผมจะรอจนถึงเก้าโมงเช้า หากคุณไม่ติดต่อมา ผมจะแบ่งปันรูปในแฟลชไดรฟ์ไปให้สมาชิกในครอบครัวของคุณได้เห็นเป็นอันดับแรก และจากนั้นกรรมการบริษัทคุณจะได้ชมเป็นกลุ่มต่อไป อ้อ อีกอย่างนะ มาลินี ผมหวังเหลือเกินว่าคุณจะไปแจ้งความและนำกำลังตำรวจไปจับผมที่คอนโด ถ้าเป็นอย่างนั้นขอให้คุณเชื่อว่าผมจะยอมถูกดำเนินคดี และยอมเป็นข่าว คุณรู้ไหมว่าบ้านเมืองเราระวางโทษจำคุกนักกรรโชกทรัพย์อย่างผมเพียงปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นถึงแสนกว่าและจำคุกตั้งแต่หกเดือนไม่เกินเจ็ดปี จริงๆ ผมอาจไม่ต้องติดคุกก็ได้ถ้าเขาเห็นหลักฐานการยินยอมพร้อมใจของคุณ และที่จะสนุกเพิ่มขึ้นคือคุณจะตกเป็นเป้าให้พวกนักข่าวรุมถ่ายรูป รุมสัมภาษณ์ ในสื่อสังคมออนไลน์จะพล่านหารูปและคลิปของคุณมาดูและส่งต่อกันไปอย่างสนุก คุณคิดว่าพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะเอาอยู่หรือ ลองดูเคสของคนที่คุณอ่านข่าวพวกเขาแล้วคุณคงรู้ว่าโลกไซเบอร์มันไม่หยุดแค่การจับ ปรับ ดำเนินคดีอะไรแบบนี้หรอก หลายคนทนไม่ไหวถึงกับฆ่าตัวตายไป แต่ผมไม่อยากให้คุณตัดสินใจอย่างนั้น...อ้อ ที่รักหากคุณผ่านด่านการสอบปากคำของตำรวจเพื่อทำสำนวนส่งอัยการให้ยื่นฟ้องผม ผมเชื่อแน่ว่าคุณจะสนุสนานเป็นพิเศษกับการถูกทนายของผมซักและและแสดงหลักฐานว่าผมไม่ได้ข่มขืนหรือใช้กำลังกับคุณ ดูท่าแล้วคุณออกจะเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจ นอกจากนั้นคุณก็ติดใจและมาหาผมหลายครั้งพร้อมทั้งมอบเงินและหาความสุขให้ตัวเอง...” “ฉันต้องวางสายแล้ว” มาลินีสะบัดเสียง “ถ้าอย่างนั้นก็สวัสดี ผมจะรอให้คุณติดต่อมา...ก่อนเก้าโมงเช้า จำไว้ให้ดี” มาลินีกดตัดสายทันที เธอเก็บโทรศัพท์และคว้ากระเป๋าถือ จากนั้นก้าวออกจากห้องและปั้นหน้ายิ้มให้พนักงานที่เงยหน้าจากส่วนกั้นขึ้นมองเธอ จากชั้นหกมาลินีลงลิฟท์และเดินผ่านโถงใหญ่ไปทางประตูกระจกหน้าอาคาร รถเก๋งสีขาวติดโลโก้ของบริษัทเงินทุนศรีสมิธจอดอยู่ริมทางเท้า เมื่อนายมงคลเห็นเธอเดินออกมาเขารีบวิ่งไปเปิดประตูรถด้านผู้โดยสารเบาะหลังและยืนตัวตรงรอจนเธอเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาปิดประตูเสียงเบาและเดินอ้อมท้ายรถไปยังที่นั่งคนขับ เขาออกรถอย่างนุ่มนวลแล่นสู่ถนนพหลโยธินและหาทางเข้าถนนรัชดาภิเษก มาลินีนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถขณะพยายามตั้งสติ เธอคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2562... ...“...สาขาลาดพร้าวจะส่งพนักงานเข้าอบรมในคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อก้าวขึ้นสู่ผู้บริหาร ผู้ได้รับเลือกให้เข้าอบรมสำหรับปีนี้คือคุณมาลินี ธำรงธันยสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ” คนในห้องประชุมหันมองมาลินีซึ่งยืนขึ้นและยกมือไหว้ผู้จัดการที่อยู่หัวโต๊ะใหญ่ เธอค้อมตัวให้เพื่อนร่วมงานและยิ้มอย่างยินดี เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนในบริษัทเงินทุนศรีสมิธว่าพนักงานระดับกลางที่ได้รับเลือกให้เข้ารับการอบรมคอร์สดังกล่าวคือผู้ที่จะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้บริหารสำนักงานในอนาคตอันใกล้ ผู้จัดการพูดต่อ “การอบรมคราวนี้จัดขึ้นที่รีสอร์ตเฮเวนไลฟ์ หาดปะการัง จังหวัดชุมพร” มีเสียงฮือฮาจากพนักงาน มาลินีตั้งใจฟังสิ่งที่ชายผู้นั้นกำลังพูด “มีผู้เข้าร่วม 24 คนจาก 24 สาขาของบริษัทเงินทุนศรีสมิธ ซึ่งทั้งหมดนับเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานภายในสำนักงานนานเกิน 10 ปีทั้งสิ้น พวกเขามีความรู้ความชำนาญในงานที่ทำและเป็นผู้เก็บรักษาข้อมูลสำคัญ พวกเขาพร้อมจะนำพาบริษัทก้าวสู่ความเป็นที่หนึ่งในกลุ่มการเงิน พวกเขาถือเป็นทรัพยากรล้ำค่าของเรา ดังนั้นโอกาสที่พวกเขาทั้ง 24 คนที่ได้รับในครั้งนี้เปรียบเหมือนเราส่งเพชรที่เจียระไนมาแล้วไปตกแต่งเพื่อจะนำไปประดับเรือนยอดของแหวนทอง ... ...” ในเวลานั้นเด็กชายตะวันมีอายุสองขวบและเริ่มพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้แล้ว มาลินีหอมแก้มลูกชายครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนขึ้นรถที่ชัยภัทรขับไปส่งเธอที่สำนักงานใหญ่อันเป็นจุดรวมพล เธอนั่งรถบัสวีไอพีออกเดินทางไปพร้อมกับพนักงานอื่นผู้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งระหว่างอยู่ในรถทุกคนต่างใช้เวลาพูดคุยทำความรู้จักกันเพื่อประโยชน์ในการประสานงานในวันหน้า มาลินีดูรายชื่อวิทยากรในตารางการอบรมก็พบชื่ออาจารย์ชูศักดิ์ พินธุศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีม เธอรู้สึกแปลกใจและดีใจ ชายคนนี้เคยเป็นผู้สอนคนหนึ่งในหลักสูตรปริญญาโทที่เธอขับรถไปเรียนช่วงสุดสัปดาห์เมื่อห้าปีมาแล้ว เธอเดาว่าเขาคงเลิกอาชีพสอนหนังสือและหันมาทำธุรกิจเต็มตัวโดยการเปิดคอร์สอบรมวิชาพิเศษต่างๆ ให้ผู้สนใจ หรือไม่เช่นนั้นเขาคงจัดสรรเวลามารับงานนอกซึ่งเป็นสิ่งที่อาจารย์จากสถาบันศึกษาต่างๆ มักทำกันเป็นประจำ ในเวลาบ่ายสี่คณะผู้เข้าอบรมเดินทางถึงหาดปะการังอันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตเฮเวนไลฟ์ มาลินีและเพื่อนร่วมบริษัทพากันเช็คอินเข้าที่พักซึ่งออกแบบเป็นบังกะโลขนาดกะทัดรัดยี่สิบหลัง แต่ละหลังมีสองห้องนอน มาลินีจับคู่กับคุณบี-สุดา วัย 36 ปี ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายของสาขานนทบุรี ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร “นี่เหมือนเรามาพักผ่อนเลยนะคะ บรรยากาศแบบนี้พี่คิดถึงคนที่บ้านจัง” คุณบีรำพึงเมื่อมองจากหน้าต่างบังกะโลออกไปเห็นแผ่นฟ้ากว้าง “นั่นสิคะ หนูก็คิดถึงลูกจริงๆ อยากพาเขามาเที่ยวแบบนี้บ้าง” มาลินีพูดตอบ เธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปเล่นน้ำทะเล ตามกำหนดการวันนี้จะมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำในห้องอาหารและแนะนำบรรดาวิทยากรและผู้เข้าอบรมให้รู้จักกันเพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ในอีกสามวันข้างหน้า หญิงทั้งสองสวมเสื้อคลุม ใส่หมวกปีกกว้าง สะพายกระเป๋าผ้าเดินออกจากบังกะโลมุ่งหน้าไปยังหาดทรายที่เริ่มคลายความร้อน เสียงคลื่นสีขาวขุ่นกระแทกชายฝั่งฟังรื่นหู มาลินีเหม่อมองพรายฟองที่แตกกระจายแล้วซึมหายลงไปในทรายละเอียด เธอสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดบางอย่างออกไป มาลินีเล่นน้ำทะเลดำผุดดำว่ายอย่างเพลินใจ เพื่อนร่วมคณะหลายคนชมเชยเธอว่า “คุณมาลินีรักษารูปร่างได้ดีมากเลยนะคะ ดูหุ่นอย่างนี้ไม่นึกว่ามีลูกแล้ว แขนขาเหมือนนักกีฬา” “ของฉันนี่พอแต่งงานแล้วก็เริ่มปล่อยตัวจนย้วย เห็นทีต้องกลับไปฟิตร่างกายเสียใหม่” “ถ้าพี่เอวเล็กอย่างคุณมาลินีพี่จะหาบิกีนี่เซ็กซี่มาใส่อวดหน้าท้อง แล้วพี่ก็จะเดินนวยนาดไปสุดชายหาดให้ฝรั่งมองจนตาค้างเลยละค่ะ” เสียงพูดจาหยอกเย้าและเสียงคุยเรื่องครอบครัวของเพื่อนผู้เข้าอบรมดังเจื้อยแจ้วไม่ขาดระยะ มาลินีรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานในบริษัทเงินทุนที่มั่นคงจนมาถึงระดับที่เธอใกล้จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการ วัยสามสิบสองของเธอมีครบสมบูรณ์ทุกอย่างทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว พ่อแม่ของเธอที่อยู่ตำบลมาลาคำ ปากช่อง ก็มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ท่านทั้งสองอายุเกือบหกสิบปีแล้ว พ่อของเธอรอเวลาเกษียณเพื่อจะได้ออกมาปลูกไม้ประดับทำสวนตามนิสัย แม่ของเธอมีความสุขดีกับลูกหลานของพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิด ส่วนคุณดนัยและคุณเพ็ญก็รักใคร่เธออย่างสนิทใจ ท่านทั้งสองเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กชายตะวันอย่างดีเลิศจนเธอไม่รู้สึกห่วงใยลูกชายวัยสองขวบมากนัก เพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของคุณปู่คุณย่าและปลอดภัยอยู่ในกำแพงรั้วบ้าน “ธำรงธันยสวัสดิ์” ขณะที่มาลินีเดินกลับที่พักเพื่อชำระล้างน้ำทะเลและเตรียมตัวไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับคณะ เธอเห็นชายคนหนึ่งยืนมองลงมาจากระเบียงบังกะโลริมหาดทราย เขาสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดสีอ่อน เมื่อเธอเดินผ่านไปเขายกมือโบกมือให้ มาลินีเพ่งสายตามองชายคนนั้นแล้วเธอก็ยิ้มออกมา เธอพนมมือไหว้เขาพลางดึงผ้าเช็ดตัวให้กระชับร่างที่ยังเปียกหมาดๆ “อาจารย์เองหรือคะ สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย” เธอสะบัดน้ำทะเลออกจากเส้นผมที่ยาวประบ่า “คุณยังเหมือนเดิมเลยนะ” ชูศักดิ์พูดพลางมองใบหน้าเธอด้วยสายตาเป็นประกาย “ผมเห็นรายชื่อผู้เข้าอบรมรอบนี้และเห็นชื่อคุณ แต่นามสกุลเป็นของเพื่อนผม” มาลินีหัวเราะ เธอรู้ว่าเขาหยอกล้อ งานแต่งงานของเธอเมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็มาร่วมแสดงความยินดีในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นของชัยภัทร เธอและเขาไม่ได้พบกันอีกหลังจากนั้น “อาจารย์พักกับใครคะ” เธอมองบังกะโลของเขาที่ตั้งอยู่หลังแรกมีด้านข้างติดชายฝั่ง “วิทยากรหลักเขาให้พักคนเดียวครับ ห้องนอนผมเห็นวิวทะเลสวยมาก เมื่อกี้ผมยังแอบดูสาวๆ เล่นน้ำ จริงๆ ผมอยากลงไปเล่นบ้างแต่ต้องเตรียมงานสำหรับพรุ่งนี้ เดี๋ยวค่อยเจอกันตอนทานอาหารก็แล้วกันนะ มาลินี” ท่าทีของเขาผสมกับเสียงคลื่นที่ได้ยินชัดพร้อมแรงลมโบกสะบัดทำให้มาลินีหวนนึกถึงบรรยากาศที่ชายหาดชะอำที่เธอเคยสัมผัส เธอมองเครื่องหน้าคมเข้ม เรียวหนวดบางที่กันอย่างประณีตเหนือริมฝีปาก มองรูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน เขาคงเข้าฟิตเนสบริหารร่างกายเป็นประจำ “ถ้าอย่างนั้นหนูกลับไปอาบน้ำก่อนนะคะ แล้วเจอกันค่ะอาจารย์” มาลินีพูดตอบพร้อมกับชำเลืองมองโครงสร้างร่างกายของชูศักดิ์ด้วยความชื่นชม ในความคิดของเธอมีภาพของแซม-ชายที่เธอเคยมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อนานมาแล้ว เขาคนนั้นมีลำตัว แขน ขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเช่นเดียวกับชายคนนี้ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดในธีมฮาวาย ทุกคนกิน ดื่ม และสนุกสนานกันเต็มที่ ผู้บริหารสามคนจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทเงินทุนศรีสมิธขึ้นมากล่าวแนะนำทีมวิทยากรให้ผู้เข้าอบรมได้รู้จัก ซึ่งทำให้มาลินีได้ทราบว่าปัจจุบันชูศักดิ์เป็นเจ้าของธุรกิจรับจัดอบรม โดยมีสำนักงานอยู่ที่อาคารมหาธนบนถนนอโศก เขาเป็นจุดเด่นของงานเลี้ยงอาหารค่ำวันนั้นจากบุคลิกภาพและเนื้อหาการพูดคุย เขาให้ความสำคัญกับทุกคนที่เข้าอบรม เขาจำชื่อผู้ร่วมโต๊ะได้อย่างแม่นยำและออกชื่อพวกเขาบ่อยครั้ง ซึ่งสร้างความภูมิใจให้คนเหล่านั้น ขณะรับประทานอาหารชูศักดิ์มองสบตามาลินีเป็นระยะ เธอยิ้มให้เขาอย่างขวยเขิน เขาทำให้เธอกลับเป็นสาวน้อยอีกครั้งในวัยสามสิบกว่า ตลอดสามวันของการฝึกอบรมซึ่งประกอบด้วยการบรรยายหนึ่งส่วนและทำกิจกรรมสามส่วน มีการให้ผู้อบรมเข้าร่วมและฝึกปฏิบัติ มีการจัดกลุ่มเพื่อระดมสมอง นอกจากนั้นยังมีการแนะนำเทคนิกการทำงานให้เป็นรายบุคคล ซึ่งมาลินีพบว่าชูศักดิ์ให้เวลากับเธอนานกว่าที่กำหนดไว้ “คุณมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับนำขององค์กรได้ในอีกไม่นานนี้ ผมอยากพนันกับคุณว่าคุณทำได้แน่นอน” เขาพูดในบ่ายวันสุดท้ายขณะส่งใบประเมินให้เธอ นิ้วของเขาสัมผัสกลางฝ่ามือของเธอโดยไม่ตั้งใจ “อาจารย์จะพนันด้วยอะไรคะ” มาลินีตอบคำของเขาด้วยรอยยิ้มหวาน “ด้วยหัวใจของผมไง ตกลงไหม” เขาพูดเสียงเบาให้เธอได้ยินคนเดียว มาลินีปิดปากหัวเราะคิกคักและถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของเธอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD