บทที่ 5 ผีซ้ำด้ำพลอย
ขณะขับรถใกล้ถึงบ้านในเวลาทุ่มกว่า โทรศัพท์ในกระเป๋าถือของมาลินีก็ดังขึ้น เธอรู้ว่าเป็นชัยภัทรจากเสียงเพลงที่เธอตั้งไว้ มาลินีขมวดคิ้วขณะควานมือซ้ายหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
“คะ พี่ภัทร น้อยขับรถอยู่ค่ะ”
เสียงตึงเครียดของชัยภัทรพูดขึ้นทันทีที่มาลินีรับสาย
“น้อย คุณพ่ออยู่เซ็นต์โรม่านะ พี่กับคุณแม่ก็อยู่ที่นั่น”
“คุณพ่อไม่สบายหรือคะ” มาลินีถามขณะประคองพวงมาลัย เธอกำลังเข้าสู่สี่แยกถนนประดิพัทธ์หลังลงจากทางด่วนที่ถนนกำแพงเพชร
“เส้นเลือดในสมองแตก ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู” ชัยภัทรบอกเธอสั้นๆ “ท่านเข้าห้องน้ำหายไปเป็นนาน คุณแม่เรียกก็ไม่ขาน เลยให้สมปองปีนดู เจอว่าท่านนั่งคอพับหมดสติ”
“โอ้ แย่จริง” มาลินีอุทาน
“น้อยยังไม่ต้องมาเยี่ยมนะ กลับไปอยู่กับตะวันก่อน ป้าสมัยโทรบอกมาว่าตะวันอาบน้ำแล้วกำลังดูโทรทัศน์อยู่ ทางนี้ผมคงต้องสแตนด์บาย คุณพ่อยังไม่รู้ตัวเลย แล้วผมจะโทรมาอีกที” ชัยภัทรพูดเสร็จวางสายทันที
มาลินีกำพวงมาลัยรถแน่นขณะผ่านสี่แยกสะพานควายจนมาถึงจุดวนรถกลับ เธอทำไฟเลี้ยวและรอต่อแถวรถคันหน้าซึ่งค่อยๆไปได้ทีละคันเนื่องจากเลนสวนมาไม่มีใครจอดให้รถเลี้ยวเข้าซอย จนกระทั่งถึงจังหวะที่รถเมล์ออกตัวจากป้ายอย่างช้าๆ มาลินีจึงตีวงเลี้ยวขวาเข้าซอยอารีย์
ห้านาทีต่อมาเธอก็เข้าที่จอดรถในรั้วกำแพงบ้านธำรงธันยสวัสดิ์ เธออ้าแขนกอดเด็กชายตะวันแนบแน่นเมื่อเขากระโดดลงจากโซฟาวิ่งมาหาเธอ เด็กน้อยรีบเล่าให้ฟังว่า
“รถแอมบูแลนซ์วี้หว่อ วี้หว่อ มารับคุณปู่ไปโรงพยาบาล คนขับสวมชุดสีขาวเหมือนในหนังเลยครับคุณแม่ ทุกคนสวมหน้ากากคลุมหัว ใส่แว่นอันโตๆ”
นางสมัยที่นั่งอยู่กับเด็กชายตะวันเล่าให้มาลินีฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาสองทุ่มนางก็ขอตัวกลับเรือนพัก
มาลินีพาเด็กชายตะวันเข้านอนและอ่านนิทานเรื่องกระต่ายแสนกลให้ฟังจนเขาหลับไป ชัยภัทรโทรศัพท์มาบอกเธอว่าคุณดนัยลืมตาขึ้นและขยับแขนข้างซ้ายได้บ้างแล้ว
“คุณแม่นั่งอยู่หน้าห้องไอซียู ไม่ยอมลุกไปไหน เดี๋ยวผมจะจองห้องพิเศษไว้และให้คุณแม่เข้าไปนอน คืนนี้ผมคงไม่ได้กลับบ้านนะน้อย ดีที่พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่อย่างนั้นผมต้องลางาน”
“อ้อ ค่ะ หวังว่าคุณพ่อคงจะฟื้นตัวโดยเร็วนะคะ” มาลินีพูดขณะที่สมองเธอปั่นป่วน นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะสารภาพเรื่องของเธอให้เขาฟัง
“หมอบอกว่าอีกสองสามชั่วโมงหากถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วและไม่มีอาการแทรกซ้อนจะย้ายท่านเข้าห้องที่จองไว้”
“อ้อ ค่ะ พรุ่งนี้น้อยขับรถพาตะวันมาเยี่ยมนะคะ”
“น้อยมาก็ดี ให้ป้าสมัยจัดเสื้อผ้าของคุณแม่มาด้วยสองชุด ของผมไม่เป็นไร ไม่ต้องเอาตะวันมาจะดีกว่า ให้เขาอยู่บ้านนั่นแหละ เด็กเล็กใส่หน้ากากอนามัยนานๆหายใจไม่สะดวก ผมสงสารลูก” ชัยภัทรตอบ
“ดีค่ะ พี่ภัทร”
มาลินีอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็กข่าวจากโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง กรณีการตายของชูศักดิ์ยังไม่มีอะไรคืบหน้า มีข่าวพาดหัวเรื่องการเตรียมการรบระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนเข้ามาเป็นหัวข้อแรก ข่าวการให้สัมภาษณ์ของอดีตพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงที่เพิ่งสึกออกมาแต่งงานกับเศรษฐีหม้าย ข่าวการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโควิด ข่าวการเตรียมประกาศการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. และข่าวสังคมธุรกิจ
คืนนั้นมาลินีหลับผล็อยไปด้วยฤทธิยานอนหลับที่เธอกินไปสองเม็ด มันช่วยให้เธอได้พักสมอง
วันเสาร์ 19 กุมภาพันธ์ 2565
ก่อนแปดโมงเช้าป้าสมัยจัดเสื้อผ้าของคุณเพ็ญใส่กระเป๋าแล้วนำไปใส่รถมาลินี
“ไม่ต้องห่วงคุณตะวันนะคะ เดี๋ยวป้าดูแลเอง”
“อีกสักเดี๋ยวพี่ภัทรก็กลับมาค่ะ” มาลินีบอกนางแม่ครัว
เมื่อถึงโรงพยาบาลเซ็นต์โรม่ามาลินีเข้าไปไหว้สวัสดีคุณดนัยซึ่งไม่สามารถพูดคุยอะไรได้นอกจากกะพริบตาและส่งเสียงครางเบาๆ เธออยู่เป็นเพื่อนคุณเพ็ญตลอดเช้าขณะที่ชัยภัทรขับรถกลับไปอาบน้ำและพักผ่อนที่บ้าน เขาขับรถมาถึงโรงพยาบาลในเวลาบ่ายสองและเปลี่ยนให้มาลินีกลับบ้านไปอยู่กับตะวัน
ช่วงเย็นวันนั้น
มาลินีนั่งเอนกายในสวนหน้าบ้านขณะที่เด็กชายตะวันหัดขี่จักรยานบนทางรถโดยมีนายสมปองเป็นผู้สอนให้ เธอเปิดโทรศัพท์มือถือไล่สายตาดูข่าวช่องต่างๆ แล้วสีหน้าเธอก็เผือดลงเมื่อเลื่อนหน้าจอไปที่รายการ “ข่าวเด็ดเอ็ดดี้” ช่องทรีเวิลด์นิวส์ เอ็ดดี้-ชายหนุ่มมาดกร้าว ผู้สร้างชื่อเสียงให้ตนเองจากการทำรายการข่าวขุดคุ้ยเชิงลึกกำลังกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“...ถึงแม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะยังไม่สามารถสืบทราบได้ว่ามือปืนหรือผู้บงการเป็นใคร แต่ทางมิสเตอร์สป็อกซึ่งเป็นนักสืบไซเบอร์ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวช่องทรีเวิลด์นิวส์เป็นการเฉพาะ มิสเตอร์สป็อกไม่เชื่อว่าการตายของนายชูศักดิ์มีสาเหตุจากธุรกิจสีเทาหรือเพราะการพนันออนไลน์ เขาเชื่อว่าสาเหตุของการฆาตกรรมเกิดจากการที่เขาล่อหลอกสุภาพสตรีหลายคนหลายวาระให้มีสัมพันธ์สวาทกับตนและแอบบันทึกภาพกับคลิปเข้าไว้ แล้วจากนั้นนายชูศักดิ์ก็จัดการกรรโชกทรัพย์รายตัวไป ซึ่งเขากระทำการเช่นนี้มาหลายปีและมีรายได้นับล้านบาทในแต่ละเดือน
“...มิสเตอร์สป็อกยังกล่าวอีกว่าผู้ลงมือยิงนายชูศักดิ์นั้นเป็นมือปืนรับจ้างมืออาชีพ โดยดูได้จากวิธีการเข้าประชิดตัวผู้ถูกสังหารและการใช้เส้นทางหลบหนีซึ่งวางแผนมาอย่างดี ส่วนประเด็นว่าใครเป็นผู้จ้างวานนั้น มิสเตอร์สป็อกสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสุภาพสตรีคนหนึ่งคนใดในจำนวนเกือบสิบคนที่ถูกนายชูศักดิ์กระทำการแบล็กเมลครั้งแล้วครั้งเล่าจนมาถึงฟางเส้นสุดท้าย
“...ซึ่งรายชื่อของสุภาพสตรีทั้งหลายที่ตกเป็นเหยื่อของนายชูศักดิ์นั้นมิสเตอร์สป็อกบอกเพียงว่าขออุบไว้ โดยเขาจะรออีกสองสามวันเพื่อให้ทางทีมเจ้าหน้าที่สืบสวนแสดงฝีมือจับมือปืนให้ได้ก่อน แล้วเขาจะโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ของเขาให้ชาวไซเบอร์ช่วยกันทายว่าสุภาพสตรีท่านใดคือผู้บงการ...
“...สำหรับนายชูศักดิ์นั้นมีประวัติไม่ธรรมดา เขาเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาปริญญาโทรายชั่วโมงที่สถาบันแห่งหนึ่ง และมาเริ่มตั้งกิจการฝึกอบรมให้แก่องค์กรต่างๆ เมื่อประมาณสี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเฟ้นหาเหยื่อรายสำคัญแล้วลงมือกรรโชกทรัพย์ โดยเขามักเลือกสตรีผู้มีตำแหน่งการงานสูงในองค์กรและเป็นผู้มีครอบครัวแล้ว เนื่องจากเธอเหล่านี้มีความกลัวว่าสามีจะรู้อีกทั้งกลัวเสียงานและชื่อเสียง พวกเธอจึงยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ตามที่ผู้ตายเรียกร้อง...”
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็กชายตะวันดึงความสนใจของมาลินีให้เงยหน้าจากจอโทรศัพท์
“ตะวันเก่งไหมครับคุณแม่” เด็กน้อยตะโกนถามขณะเร่งความเร็วฉิวจนนายสมปองวิ่งตามไม่ทัน
“เก่งจังครับลูกแม่” มาลินีพูด เธอคิดอยู่ในใจว่าจากนี้ไปเธอจะพยายามมีความสุขกับเด็กน้อยให้มากที่สุด เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าทุกสิ่งอาจแปรผันไปในเร็ววันนี้ หากเธอยังมีโอกาสกอดและแสดงความรักกับลูก เธอจะมอบความรู้สึกแห่งความเป็นแม่ให้เขาจนหมดใจ
ชัยภัทรนอนเป็นเพื่อนมารดาที่โรงพยาบาลเซ็นต์โรม่าเป็นคืนที่สอง เขาโทรศัพท์มาบอกเธอว่าคุณดนัยรู้ตัวบ้างแล้ว แต่สติสัมปชัญญะยังไม่กลับคืนมา
“คุณพ่อจำใครไม่ได้เลย คุณหมอจะตรวจสแกนสมองคืนนี้” เขามีน้ำเสียงกังวลผสมความอ่อนล้า
“ค่ะ พี่ภัทรดูแลตัวเองนะคะ”
มาลินีจำเป็นต้องรอต่อไปจนกว่าชัยภัทรจะพร้อม เธอต้องการสารภาพสิ่งที่เธอกระทำลงไปให้เขารู้ก่อนที่สื่อมวลชนจะหาข้อมูลสาวมาถึงเธอ
ซึ่งคงอีกไม่นาน
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565
ชัยภัทรกลับมาที่บ้านในช่วงสาย เขาเดินโผเผลงจากรถ
“คุณแม่เหมือนจะไม่สบายไปอีกคน ผมบอกให้กลับมานอนบ้านได้แล้ว เราจ้างพยาบาลพิเศษให้เฝ้าคุณพ่อสองคน แต่คุณแม่ไม่ยอมกลับ คือท่านไม่เคยอยู่ห่างกัน พอคนหนึ่งป่วย อีกคนก็ทำท่าจะป่วยไปด้วย ผมเองก็จะไม่ไหวเหมือนกัน เดี๋ยวขอนอนพักสักสองชั่วโมง น้อยช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่หน่อยนะจ๊ะ เอาตะวันไปด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณปู่คุณย่า เอารถคุณพ่อไปละกัน บอกสมปองให้ขึ้นไปให้คุณพ่อเห็นหน้าหน่อย ท่านอาจจำคนในบ้านได้ เอาสมัยไปด้วยอีกคน คุณแม่ถามถึง”
มาลินีอึ้งไปกับสิ่งที่ชัยภัทรบอก เธอรีบเดินไปบอกสมปองถึงสิ่งที่ชัยภัทรสั่ง แล้วเธอก็บอกนางสมัยให้เตรียมตัวออกไปด้วยกัน เด็กชายตะวันดีอกดีใจที่จะได้นั่งรถไปหาคุณปู่คุณย่า มาลินีใช้เวลาจนถึงช่วงบ่ายนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนคุณเพ็ญและรับแขกผู้ใหญ่ที่ทยอยถือกระเช้าดอกไม้และของฝากมาเยี่ยมคุณดนัยอย่างไม่ขาดสาย ทางโรงพยาบาลตั้งโต๊ะยาวไว้หน้าห้องเพื่อวางของเยี่ยมไข้ คุณเพ็ญจัดการแจกจ่ายให้พนักงานของโรงพยาบาลไปแบ่งกันกิน
ตกบ่ายชัยภัทรขับรถกลับมาที่โรงพยาบาล เขาพาตะวันขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบสองของอาคารซึ่งมีร้านอาหารชื่อดังมาเช่าพื้นที่และมีร้านไอศกรีมยี่ห้อที่ตะวันโปรดปราน ทั้งสองใช้เวลาด้วยกันเกือบหนึ่งชั่วโมง จากนั้นมาลินีก็พาลูกชายกลับบ้าน สมปองหอบหิ้วกระเช้าดอกไม้และของเยี่ยมมาเต็มท้ายรถ
ช่วงเย็นวันนั้นขณะที่มาลินีกำลังนั่งดูเด็กชายตะวันขี่รถจักรยานอย่างสนุกสนานบนทางรถในบริเวณบ้าน ชัยภัทรโทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลบอกอาการของคุณดนัยให้เธอรู้ว่าท่านคงต้องเป็นอัมพาตตลอดชีวิตและมีความจำผิดปกติ ส่วนคุณเพ็ญก็เริ่มกลายเป็นผู้ป่วยอีกคนเมื่อรู้ผลการตรวจสแกนสมองของคุณดนัย
“คุณแม่หัวใจกระตุก ดีที่อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว หมอเลยจับพ่อกับแม่ย้ายเข้าห้องคู่ เครื่องไม้เครื่องมือครบครัน ห้องน้ำสองห้อง แพงหน่อยคืนหนึ่งเกือบสามหมื่น”
ชัยภัทรพูดคุยถึงเรื่องอาการป่วยของบิดามารดาอีกหลายนาที เหมือนเขาต้องการระบายความไม่สบายใจที่จู่ๆ ท่านทั้งสองต้องมาล้มป่วยลงพร้อมกัน อีกทั้งคุณดนัยจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อฟื้นความจำและเพื่อไม่ให้เป็นผู้ป่วยติดเตียงในอนาคต มีตารางนัดทำกายภาพล่วงหน้าเป็นเวลาสองเดือนหรืออาจนานกว่านั้นถ้าอาการไม่กระเตื้อง ส่วนคุณเพ็ญจะต้องระงับอารมณ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาวะกลางๆ ไม่ตื่นเต้น ดีใจหรือเสียใจจนเกินปกติ
มาลินีนิ่งฟังเขาขณะครุ่นคิด
“ผมคงต้องลางานสักสองสามวัน อันที่จริงผมมีงานสำคัญมากสัปดาห์นี้ แต่ผมโทรบอกสุรเชษฐ์แล้ว เขารับปากว่าจะจัดการให้จนกว่าผมจะกลับไปทำงานได้” สุรเชษฐ์คือรองผู้จัดการสาขาจังหวัดปริมณฑลซึ่งมีผลงานดีเด่นและเป็นผู้ที่ไล่ตามหลังชัยภัทรในระดับหายใจรดต้นคอมาหลายปีแล้ว คราวนี้เขาคงได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่
“พรุ่งนี้น้อยลาด้วยดีไหมคะ จะได้คอยดูตะวัน” มาลินีถามความเห็นสามี
“อย่าเลยน้อย เราเป็นหัวหน้าเขา ลาทีเดียวสองคนไม่ค่อยดีเท่าไร” เขาตอบ
มาลินีกะพริบตาปริบ ตั้งแต่ตะวันเกิดมาเธอไม่เคยปล่อยให้ลูกชายอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ของเธอที่มาช่วยดูแลช่วงที่เขายังเป็นทารก และจากนั้นคุณเพ็ญกับคุณดนัยก็รับช่วงต่อโดยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์ ท่านทั้งสองไม่เคยปล่อยหลานชายให้คลาดสายตา
“น้อยเป็นห่วงลูก” มาลินีแย้งเสียงอ่อน เธอรู้สึกใจคอไม่ดี
“ป้าสมัยกับปราณีก็อยู่บ้าน สมปองด้วย นายเชื่อมด้วย ไว้ใจได้ทุกคน อีกหน่อยพอเรามีน้องให้ตะวันอีกคนนี่น้อยได้ลาคลอดยาวเลยแหละ ...อ้าว คุณหมอมาแล้ว เอาแค่นี้นะจ๊ะ” ชัยภัทรตัดบท
ค่ำคืนนั้นมาลินีก็พาลูกชายเข้านอนและเล่านิทานให้เขาฟังจนเขาหลับไป มาลินีนั่งอยู่ริมเตียงเฝ้าดูเด็กชายตะวันหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ครู่หนึ่งเธอลุกขึ้นและห่มผ้าเหน็บรอบคอให้เขาก่อนออกไปที่ห้องนั่งเล่น
มาลินีเปิดโทรทัศน์และนั่งมองหน้าจอที่มีรายการข่าวต่างๆ แต่ไม่มีความคืบหน้าเรื่องการตายของชูศักดิ์ และในเว็บไซต์ยังเงียบอยู่
วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
มาลินีเพิ่งแต่งตัวเสร็จหลังจากดูแลให้เด็กชายตะวันกินข้าวผสมธัญพืชจนหมดถ้วยแล้ว ชัยภัทรโทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลบอกว่าเขาจะกลับบ้านมาอยู่กับลูกชายครึ่งวัน
“ชีพจรคุณแม่เต้นไม่สม่ำเสมอตั้งแต่เมื่อวาน คุณหมอบอกว่าเป็นอาการตื่นตระหนกที่อาจก่อให้เกิดความเจ็บป่วยจริงๆ ขึ้นมาเพราะไปสัมพันธ์กับโรคประจำตัว คุณหมอขอให้อยู่โรงพยาบาลต่อไปอีกสองสามวันจนกว่าจะแน่ใจว่าท่านไม่เป็นอะไร”
“ค่ะ” มาลินีตอบ เธอกำลังครุ่นคิด
“เมื่อคืนผมสั่งซื้อเตียงคนไข้ เก้าอี้รถเข็น อุปกรณ์สุขา เครื่องปั๊มหัวใจ ถังอ็อกซิเจน และข้าวของเครื่องใช้คนป่วย ทางบริษัทจะเอาใส่รถบรรทุกมาส่งที่บ้านตอนสายวันนี้ น้อยช่วยบอกนายเชื่อมกับสมปองให้คอยรับของด้วยถ้าผมยังมาไม่ถึง ให้เขาเช็กด้วยว่าได้รับของครบตามที่ผมสั่ง ดูในใบรายการส่งของ อ้อ น้อยบอกป้าสมัยกับปราณีหน่อยนะจ๊ะให้จัดห้องกลาง เคลียร์พื้นที่ให้ว่างพอสำหรับวางเตียงกับรถเข็น คุณพ่ออาจต้องใช้ห้องนั้นไปจนกว่าจะลุกขึ้นได้”
“ค่ะ” มาลินีคิดในใจว่าท่านอาจต้องใช้ห้องนั้นไปตลอดชีวิตที่เหลือ
ชัยภัทรพูดคุยกับเธออีกครู่ใหญ่เขาก็วางสาย มาลินีเดินเข้าครัวและบอกกล่าวนางสมัยตามที่ชัยภัทรสั่งไว้ หลังจากนั้นเธอหิ้วกระเป๋าถือออกจากบ้านเดินไปหาลูกชายที่กำลังขี่จักรยานไปมาบริเวณหน้าบ้าน
“คุณแม่ไปทำงานแล้วนะครับ” เธอพูดกับตะวัน
“คับผม”
เด็กชายขี่จักรยานเร็วจี๋อวดเธอหลายรอบ นายเชื่อมที่ถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ส่งเสียงเชียร์ ส่วนนายสมปองชะโงกหน้ามองออกมาจากโรงรถ ซึ่งนั่นทำให้มาลินีเบาใจว่าเด็กชายมีคนดูแล
ขณะอยู่บนท้องถนนที่จอแจ หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจว่าวันนี้ที่ทำงานของเธอจะมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น เธอขอให้ผ่านช่วงสัปดาห์นี้ไปก่อนจนกว่าชัยภัทรจะพร้อมรับฟังสิ่งที่เธอต้องบอกเขา
เธอเลี้ยวขวาเข้าที่จอดรถในเวลาก่อนแปดโมงเช้า ลุงสมนึกรีบลุกขึ้นจากมุมเสาที่เขากำลังนั่งกินอาหารเช้าที่บรรจุเขละขละในถุงพลาสติก มาลินีไม่ลืมของฝากเขา วันนี้เธอนำขนมกับผลไม้มาให้เขาถุงใหญ่อันเป็นของฝากคนไข้ที่คุณดนัยไม่สามารถบริโภคสิ่งใดได้ในขณะนี้
“โอ้โฮ เยอะเลยครับ ขอบพระคุณครับ”
ชายสูงอายุยกมือไหว้ท่วมหัว มาลินีรู้ว่าเงินเดือนของเขาหมดไปตั้งแต่ก่อนกลางเดือน เธอนึกเปรียบเทียบสภาพการใช้ชีวิตของลุงสมนึกผู้มีรายได้วันละ 380 บาทกับคุณดนัยพ่อสามีผู้นอนป่วยอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนด้วยค่าห้องคืนละ 32,000 บาท ไม่รวมค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายจิปาถะ
“ไม่เป็นไรค่ะลุง พอดีเมื่อวานไปเยี่ยมคุณพ่อสามีที่โรงพยาบาล มีของเยี่ยมไข้เหลือเฟือ หนูเลยแบ่งมาให้ลุงค่ะ”
มาลินีพูดพลางขยับแมสก์ให้กระชับใบหน้า เธอสะพายกระเป๋าและหิ้วตะกร้าเสบียงเดินฉับๆ ก้าวเข้าประตูอาคารซึ่งเปิดปิดอัตโนมัติ
เธอเดินผ่านโถงใหญ่ไปทางสำนักงานสาขาของบริษัทเงินทุนศรีสมิธซึ่งอยู่สุดมุมอาคารชั้นหก
“สวัสดีค่ะ คุณมาลินี”
พนักงานคนหนึ่งทักเธอเสียงดังราวกับกำลังบอกกล่าวเพื่อนร่วมงานที่กำลังแตกฮือออกจากโต๊ะของธนโชติพนักใหม่ผู้ชำนาญด้านไอที
มาลินีหยุดเท้านิดหนึ่ง เธอกล่าวสวัสดีตอบพนักงานผู้นั้นขณะนึกสงสัยอยู่ในใจว่าหรือพวกเขากำลังดูรูปของเธอที่บัดนี้มันอาจกระจายมาถึงบริษัท มาลินีรู้สึกราวกับสายตาของคนตามแผนกต่างๆ ล้วนจับจ้องมองมาที่เธอ เสียงพูดคุยปรึกษางานดังคล้ายเสียงซุบซิบ
ทุกอย่างยังปกติจนถึงเวลาสิบโมงเช้า
“น้อย! กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย” ชัยภัทรโทรศัพท์หาเธอ เขาแผดเสียงเหมือนคนที่กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้
“คะ! มีอะไรหรือคะ พี่ภัทร” มาลินีถือโทรศัพท์ถามเขาขณะยืนอยู่ที่โต๊ะของพนักงานแผนกสินเชื่อ เธอกำลังดูรายชื่อลูกค้าที่ติดตัวแดง ในใจเธอคิดว่ามันคงต้องเป็นเรื่องของเธอที่ชัยภัทรเห็นในเว็บไซต์หรือจากสื่อสังคมออนไลน์
เสียงตะโกนของชัยภัทรดังลอดโทรศัพท์ออกมาจนพนักงานที่นั่งในบริเวณใกล้เคียงได้ยินทุกคน
“ตะวันถูกรถทับ กำลังรอรถพยาบาลอยู่ น้อยมาเดี๋ยวนี้เลย ... เฮ้ย! เขาหยุดหายใจแล้ว...”
มาลินีทรุดขาลงจนเกือบล้ม เธอเกาะโต๊ะไว้ขณะถือโทรศัพท์แนบหู ชัยภัทรยังไม่ได้วางสาย เขาคงวางโทรศัพท์ไว้ตรงไหนสักที่ เธอได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียก “ตะวัน ตะวัน อย่าทิ้งพ่อไป ตะวัน” มีเสียงร้องไห้จากป้าสมัยลอดเข้ามาและเสียงพูดโทรศัพท์ของชายคนหนึ่ง “นายครับ...ผมกับลูกน้องสองคนเอาของลงเรียบร้อยแล้วเราก็ขึ้นรถ ผมขับออกไปถึงประตูหน้า แล้วรถเก๋งเจ้าของบ้านก็พุ่งเข้าประตูมา...คือผมไม่นึกว่าเขาจะเลี้ยวเข้าบ้านเพราะเขาไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว...ผมเลยรีบถอยเพราะกลัวรถเขาจะพังถ้าชนรถบรรทุกของเรา...ไม่ครับนาย...ผมไม่เห็นว่าเด็กนั่นขี่จักรยานมุดเข้ามาท้ายรถ ไอ้ลูกน้องผมก็มัวแต่พับเก็บเอกสาร มันห่วงว่าใบเสร็จกับใบส่งของจะไม่ตรงกันแล้วจะถูกหักเงินแบบครั้งที่แล้ว... ...ไม่ครับนาย...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเด็กในบ้าน ตอนที่เอาของลงก็มีพวกเราสามคนกับลุงและลูกชายเขาช่วยยก มีป้าแก่ๆ คอยชี้ให้วางเตียงวางรถเข็นตรงไหน คนใช้ผู้หญิงอีกคนก็คอยเช็ดพื้นไม่ให้เปื้อนตีนพวกผม...ไม่เลยครับนาย...ผมไม่เห็นมีเด็กที่ไหน มารู้อีกทีตอนที่ได้ยินเสียงป้าแก่ๆ นั่นตะโกน ผมเปิดประตูรถกระโดลงมาดูก็เห็นเด็กอยู่ใต้ล้อ...ถ้าไม่เชื่อผมนายขอดูกล้องวงจรปิดของเขาก็ได้ เขาติดไว้รอบบ้านเลย...”
“คุณน้อยรีบกลับบ้านเถอครับ เดี๋ยวผมจะเรียกนายมงคลให้เอารถไปส่ง”
เสียงรัฐพลซึ่งเป็นรองผู้จัดการดังแว่วๆ อยู่ข้างหู มาลินีกะพริบตาถี่ เธอโบกมือและยืนตั้งสติขณะก้มมองโทรศัพท์ของเธอที่หลุดมือตกลงบนพื้นห้องที่ปูพรมหนา
“ไม่ต้องค่ะ ฉันขับรถเองได้ ฝากงานคุณรัฐพลด้วยนะคะ ตารางงานของสัปดาห์นี้อยู่กับวิชุดา ถ้ามีปัญหาอะไรโทรถามฉันได้ค่ะ”
พนักงานหญิงคนหนึ่งกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ส่งให้มาลินี เธอรับไว้แล้วกล่าวขอบคุณก่อนเดินเข้าห้องทำงาน เธอฉวยกระเป๋าถือและตะกร้าอาหารกลางวันติดมือเดินฉับๆ ออกไปยังลานจอดรถ มีพนักงานสองคนวิ่งตามไปส่งเธอ ลุงสมนึกทำหน้าเหลอเมื่อเห็นมาลินีก้าวพรวดออกมาจากประตูเลื่อนและวิ่งไปยังรถของตน เขาทำท่าจะทักถามแต่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเธอแล้วเขาก็บังเกิดความเข้าใจว่าคงมีบางสิ่งที่ไม่ปกติ เขาโบกแขนให้เธอขับออกจากช่องจอดและโค้งให้ มาลินีมองกระจกหลังเห็นลุงสมนึกยืนมองตามรถของเธอขณะที่พนักงานสองคนรีบกลับเข้าไปในอาคาร
มาลินีประคองพวงมาลัยรถขณะปัดความคิดทั้งหลายออกไป เธอไม่ต้องการให้มีอุบัติเหตุใดๆ ที่จะทำให้เธอเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว