ครู่หนึ่งผ่านไปเธอกดโทรศัพท์บอกชัยภัทรและลูกชายว่าอาจกลับถึงบ้านช้า เธอไม่ได้บอกพวกเขาว่าเธอต้องไปโรงพักธนบุรีตามคำเชิญของพนักงานสืบสวน เธออ้างว่ามีธุระด่วนต้องจัดการ
“งั้นขับรถดีๆ นะน้อย ถ้าหิวก็แวะหาอะไรกินรองท้องก่อนกลับบ้านจะได้ไม่เป็นโรคกระเพาะ” สามีบอกเธอด้วยความเป็นห่วง
หนึ่งชั่วโมงจากนั้นมาลินีนำรถเข้าไปจอดด้านหลังสถานีตำรวจธนบุรีซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ เธอโทรแจ้งสารวัตรยิ่งยศล่วงหน้าถึงยี่ห้อและสีรถของเธอรวมทั้งหมายเลขทะเบียน เมื่อสวมหน้ากากอนามัยปิดคลุมครึ่งใบหน้าแล้วเธอก็ลงจากรถ เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งซึ่งยืนรอเธออยู่บริเวณดังกล่าวเดินสวบๆ เข้ามา จากนั้นเขาเดินลิ่วนำเธอไปทางด้านข้างอาคารและเปิดประตูให้เธอผ่านเข้าไป มีบันไดเล็กๆ อยู่เบื้องหน้า เมื่อขึ้นบันไดไปที่ชั้นสามของอาคารใหญ่แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นั้นชี้มือให้มาลินีเดินตรงไปยังห้องขวามือสุดโถงทางเดิน
กล้องวงจรปิดสองตัวในห้องนั้นขยับช้าๆ ขณะที่มาลินีเปิดประตูเข้าไป เธอมองไปรอบๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้าโต๊ะสี่เหลี่ยม เธอผ่อนลมหายใจเพื่อระงับความตื่นเต้น ครู่หนึ่งผ่านไปนายตำรวจร่างสูงใหญ่ก็เข้ามาจากอีกประตูหนึ่งซึ่งอยู่ติดผนังด้านข้าง มาลินีมองเห็นว่าที่หลังประตูนั้นมีตำรวจอีกสองคนยืนเฝ้าอยู่
“คุณมาลินี สวัสดีครับ” พ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ กล่าวทักทายเธอขณะวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ
“สวัสดีค่ะ”
มาลินีกระพุ่มมือไหว้ชายในเครื่องแบบสีกากี เขาสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ผมเกรียนติดหนังศีรษะของเขาเป็นสีดำเข้มเช่นกัน เธอเห็นสายตาของเขามองเธออย่างพิจารณา
“รถติดมากไหมครับ” เขาถามและดึงเก้าอี้ออกจากโต๊ะก่อนขยับเอวกางเกงที่คาดเข็มขัดเส้นหนาและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
“ใช้ทางด่วนมาลงที่อรุณอมรินทร์ ก็ไม่เท่าไรค่ะ” มาลินีตอบ การพูดคุยลักษณะนี้เธอเคยใช้กับลูกค้าบ่อยครั้งเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายก่อนเข้าประเด็น
“ครับ”
นายตำรวจประสานมือไว้บนแฟ้มเบื้องหน้า มาลินีเลื่อนสายตาจากใบหน้าของเขาลงมองมือคู่นั้นขณะรอคำถามต่อไป เธอไม่ใช่เจ้าภาพของสถานที่จึงไม่มีหน้าที่ชวนเขาพูดคุย เมื่อเขามองเห็นว่ามาลินีพร้อมตอบข้อซักถามแล้ว เขาก็เริ่มอธิบาย
“เอาอย่างนี้นะครับ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกันจะได้ไม่เสียเวลาของเราทั้งสองคน เอ่อ คืออย่างที่คุณมาลินีคงทราบข่าวเรื่องการตายของนายชูศักดิ์ จันท์กำทร ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกคืนวานนี้ ทางเจ้าหน้าตำรวจชุดสืบสวนได้เข้าตรวจที่เกิดเหตุและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานวัตถุและบุคคลเพื่อสืบหาผู้กระทำผิด ซึ่งเราก็ได้หลักฐานมาหลายอย่าง...”
นายตำรวจเว้นระยะนิดหนึ่งก่อนพูดต่อไป
“ส่วนเหตุผลที่คุณได้รับคำเชิญมาพูดคุยตอบข้อซักถามในวันนี้ ผมในฐานะหัวหน้าชุดทำคดีก็จะขออธิบายให้คุณฟังเท่าที่จำเป็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณนะครับ”
“ค่ะ”
“กล่าวคือเมื่อวานนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ไปค้นห้องพักของนายชูศักดิ์ที่คอนโดดาริกา ทางนิติบุคคลอนุญาตให้เรานำคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงหลายชิ้นของผู้ตายมาให้ทางฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพักตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานอันจะนำไปสู่ผู้ก่อเหตุ...เอิ่ม..คือ...เราพบสำเนาภาพและคลิปวิดีโอของบุคคลต่างๆ...”
นายตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเว้นจังหวะช่วงท้ายราวกับกำลังประเมินท่าทีของผู้ฟัง มาลินีกลืนน้ำลาย เธอรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วด้านซ้ายกำลังกระตุก
“ทางทีมสืบสวนได้ส่งภาพของบุคคลเหล่านั้นไปทางศูนย์ข้อมูลของสำนักงานตำรวจเพื่อจะได้ทราบว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง คือด้วยจุดประสงค์ของการขยายผลการสืบสวนเพื่อตามหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม”
สารวัตรยิ่งยศขยับแฟ้มเอกสารบนโต๊ะและแง้มออกนิดหนึ่งเป็นเชิงบอกให้มาลินีรับรู้ว่าในแฟ้มนั้นมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขากำลังพูด น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบเช่นเดิมรวมทั้งสายตาไม่ได้บ่งบอกถึงการคุกคามหรือวิพากษ์วิจารณ์
“นอกจากนั้นทางเราได้ดึงข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือของเขามาตรวจสอบและพบว่าในช่วงสัปดาห์ที่แล้วนายชูศักดิ์ติดต่อกับบุคคลซึ่งมีภาพและคลิปอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าว...หนึ่งในนั้นคือคุณมาลินี...”
นายตำรวจก้มดูเอกสารอีกชุดหนึ่งในซองพลาสติกใส เขาอ่านรายการที่พิมพ์ไว้
“...เวลา 12.25 น.ของวันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายชูศักดิ์ใช้โทรศัพท์ของเขาโทรเข้าหมายเลข xxx xxx xxxxxx ซึ่งมีชื่อนางมาลินี ธำรงธันยสวัสดิ์ เป็นเจ้าของเครื่อง ใช้เวลาพูดคุยห้านาทีกับยี่สิบสามวินาที...” เขาเงยหน้ามองตรงมาที่มาลินีผู้นั่งตรงข้ามเขา “พอจะบอกเราได้ไหมครับว่าเป็นการติดต่อเรื่องอะไร”
มาลินีกัดริมฝีปากพลางมองเล็บมือสีชมพูของตนที่วางบนกระเป๋าถือ เธอรู้ดีว่าเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์จะไม่มีการบันทึกเสียงสนทนาของลูกค้าไว้เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่หากเครื่องโทรศัพท์ทันสมัยของชูศักดิ์มีการบันทึกบทสนทนาไว้โดยอัตโนมัติ ทางเจ้าหน้าที่คงทราบแล้วว่าเธอกับเขาพูดคุยกันด้วยเรื่องอะไรและสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปได้จากเรื่องราวในบทสนทนา
ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะพูดเท็จหรือสร้างเรื่องบิดเบือน
แล้วเธอก็ตัดสินใจ
เธอเริ่มต้นเล่าให้นายตำรวจฟังทุกสิ่งในส่วนที่เธอและชูศักดิ์เกี่ยวข้องกัน เขาฟังเธออย่างตั้งใจและเปิดสมุดจดบันทึกไว้ แต่มาลินีรู้ว่าในห้องที่เธอนั่งอยู่นั้นมีการบันทึกภาพและเสียง นอกจากนั้นทีมสืบสวนยังอาจกำลังนั่งจับจ้องมองเธออยู่ที่ผนังด้านหนึ่งที่เธอมองไม่เห็นพวกเขา
เวลาผ่านไปสิบห้านาที สารวัตรหนุ่มยังคงก้มหน้าจดสิ่งที่เธอเล่าทุกประเด็น เขาพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงเข้าใจสถานการณ์ของเธอ สีหน้าของเขาส่วนที่พ้นหน้ากากอนามัยออกมานั้นเรียบเฉยราวกับรับฟังเรื่องดินฟ้าอากาศหรือรับฟังการแจ้งเหตุรถเฉี่ยวชนกัน
มาลินีจบประโยคสุดท้ายด้วยความเงียบ จิตใจที่หนักอึ้งของเธอผ่อนคลายลงโดยที่เธอไม่ต้องใช้ความพยายาม จากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอเชื่อว่าเธอสามารถรับสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง เธอได้ถ่ายเทสิ่งที่กดทับอยู่ในความรู้สึกออกไปแล้วจนหมดสิ้นราวกับสารภาพบาป
“คำให้การของคุณมีประโยชน์มากครับ” นายตำรวจพูดขึ้นในที่สุดเมื่อเห็นว่าเธอไม่มีอะไรพูดต่อ
“ค่ะ”
“อย่างนี้นะครับ คุณมาลินี” เขาพูดเสียงอ่อนเมื่อเห็นสีหน้าหมองเศร้าของเธอ “ผมอาจไม่จำเป็นต้องเรียนให้คุณทราบเรื่องต่อไปนี้ แต่ผมคิดว่าคุณควรรับรู้ว่าไม่ใช่คุณเพียงคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อของนายชูศักดิ์”
มาลินีกลั้นลมหายใจ เธอมองหน้านายตำรวจเป็นเชิงถาม เขาเข้าใจท่าทีของเธอ เขาใช้นิ้วเคาะที่แฟ้มสองสามครั้งก่อนพูดต่อ
“ตั้งแต่เมื่อวานนี้ผมได้เชิญสุภาพสตรีหลายคนมาพูดคุยสอบถาม พวกเธอเป็นผู้ที่ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากนายชูศักดิ์ไล่เรี่ยกันในช่วงเวลาไม่นานมานี้และเป็นผู้ตกที่นั่งเดียวกับคุณ...”
มาลินีเลิกคิ้วนิดหนึ่งก่อนกัดริมฝีปาก ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
“คือสำหรับทางผมนะครับ ผมได้กำชับทีมสอบสวนและสืบสวนในความรับผิดชอบให้รักษาความลับของพยานและผู้มาให้การทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุร้ายนี้ และผมจะลงโทษเจ้าหน้าที่อย่างหนักหากใครปล่อยให้ข้อมูลหลุดลอดออกไปไม่ว่าทางใด”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งและผ่อนลมหายใจออกมาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“แต่อย่างที่คุณคงเห็นว่านักข่าวและผู้ติดตามสื่อสังคมออนไลน์กำลังเริ่มขุดคุ้ยเรื่องที่นายชูศักดิ์ทำธุรกิจสีเทาและเป็นนักกรรโชกทรัพย์โดยการถ่ายภาพและคลิปของผู้หญิงหลายคนที่เขาเกี่ยวข้อง มีบางส่วนหลุดลอดไปสู่สายตาคนนอกจากการที่เขาส่งคลิปไปเข้าโทรศัพท์มือถือของเหยื่อและมันก็แพร่กระจายไป... และที่สำคัญคือโทรศัพท์ของเขาถูกผู้ร่วมหุ้นสีเทาแฮ็กข้อมูลก่อนที่เขาจะถูกยิงตาย ผู้ร่วมหุ้นของเขาต้องการแค่ตัวเลขการเงินที่นายชูศักดิ์ใช้วิธีเล่นกลจนได้ส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่นมาโดยตลอด แต่กลับกลายเป็นว่าอัลบั้มภาพและคลิปที่เขาใช้แบล็กเมลเหยื่อเพื่อหารายได้พิเศษก็ถูกแฮ็กติดไปด้วยทั้งยวง ซึ่งมันถูกแชร์ออกไปอย่างสนุกมือ คนทั่วไปที่ได้รับภาพและคลิปเหล่านี้ก็ส่งต่อไปให้คนใกล้ชิดได้เห็นกันในกลุ่มสนทนาต่างๆ...ซึ่งเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ของเราจะพยายามจับกุมและดำเนินคดีผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะทุกราย แต่อย่างที่คุณทราบดีว่าเราไม่อาจปิดกั้นหรือตรวจเช็กได้ทุกช่องทาง อย่างไรก็ตามผมจะพยายามอย่างดีที่สุดในการปกป้องชื่อเสียงของพวกคุณทุกคน”
มาลินีโพล่งถามทันทีที่เขาพูดจบประโยค “พยานหลักฐานที่ทางตำรวจรวบรวมมาได้ มีแฟลชไดรฟ์ที่นายชูศักดิ์เอ่ยถึงไหมคะ”
นายตำรวจขมวดคิ้วและหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาไล่สายตาอ่าน เขาเงยหน้าตอบมาลินี
“ในรายการวัตถุพยาน เราไม่พบแฟลชไดรฟ์ที่คุณเอ่ยถึงนะครับ หากมันมีอยู่จริงผมเชื่อว่าคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง อาจอยู่ในรถของผู้ตาย หรือเขาเก็บซ่อนไว้ในที่ลับ ผมรับปากครับว่าจะติดตามหา เพราะมันเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ”
มาลินีเม้มปากด้วยท่าทีวิตก “ดิฉันเกรงว่าจะมีผู้นำไปเผยแพร่”
“ผมตามจับได้ทันทีเลยครับ หากใครทำอย่างนั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่สาวไปถึงเครื่องมือสื่อสารของคนที่ทำอย่างนั้นได้” ชายในเครื่องแบบกล่าวเสียงหนักแน่น เขาเหลือบตามองมาลินีอีกครั้งเมื่อเธอยกปลายนิ้วกดหน้าผาก
มาลินีสูดหายใจเข้าและมองเขาอย่างชั่งใจ แล้วเธอก็เอ่ยปากถามเขาเชิงปรึกษา
“สารวัตรคะ ดิฉันควรเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟังไหมคะ เพราะมันคงถึงเวลาแล้ว ดิฉันอึดอัดใจและรู้สึกผิดต่อเขา”
นายตำรวจนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง เขาพยักหน้าเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดก่อนตอบคำถามเธอด้วยเสียงเบาราวกับไม่ต้องการให้เทปที่ซ่อนอยู่ในห้องนั้นสามารถจับความได้
“ผมถือเป็นคำถามส่วนตัวนะครับ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับรูปคดี และผมขอตอบด้วยความคิดเห็นส่วนตัวเช่นกัน คือคุณควรบอกให้สามีรู้จากปากคุณเอง ซึ่งน่าจะดีกว่าให้เขาไปรับรู้จากโทรทัศน์หรือสื่อสังคมออนไลน์ ผมเชื่อว่าอีกไม่กี่วันมันจะปูดขึ้นและขยายเป็นวงกว้าง คุณและครอบครัวต้องเตรียมใจไว้ พวกตำรวจไซเบอร์ทำงานไม่ทันหรอกครับกับเกรียนคีย์บอร์ดที่คอยขย้ำซ้ำเติมผู้เคราะห์ร้าย โดยเฉพาะผู้หญิงที่พวกเขาอาจตัดสินว่าเป็นคนเลวเพราะนอกใจสามีและมีหลักฐานเช่นนี้ บางคนอาจถูกโยงใยว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมด้วยซ้ำ”
เขาขยับเปิดแฟ้มให้เห็นภาพถ่ายสี่สีที่พรินท์ใส่กระดาษขนาดมาตรฐาน มาลินีมองภาพของตนเองที่เธอเคยเห็นมาแล้วจากไฟล์ที่ชูศักดิ์ส่งมาแบล็กเมลเธอ นายตำรวจก้มลงมองภาพที่ชัดเจนจากคุณภาพของกล้องที่บันทึกไว้แล้วมองเลยไปทางผนังห้อง จากนั้นเขาปิดแฟ้มและลุกขึ้นยืน เขาพูดเสียงดังขึ้นว่า
“ตอนนี้ผมคงไม่มีอะไรซักถามแล้ว แต่ผมอาจเชิญคุณมาพูดคุยอีกครั้งหากจำเป็น...ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือด้วยดี ไม่ต้องห่วงเรื่องแฟลชไดรฟ์นะครับ ผมจะกำชับให้เจ้าหน้าที่สืบหา”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“เชิญครับ”
ประตูห้องนั้นเปิดออกในทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้พาเธอมายืนรออยู่หน้าห้องแล้ว มาลินียืนขึ้นและหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาสะพาย เธอกระพุ่มมือไหว้ พ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ เขารับไหว้เธอและหันตัวเดินไปยังประตูด้านที่เขาเข้ามา