ยี่สิบนาทีต่อมาเธอขับรถไปถึงโรงพยาบาลเซ็นต์โรม่าซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลสมาชิกครอบครัวธำรงธันยสวัสดิ์ทุกคน เธอวนขึ้นอาคารที่จอดรถอย่างช้าๆ สายตาของเธอมองเห็นท้องฟ้าและเมฆเป็นระยะ เมื่อได้ที่จอดแล้วมาลินีกดลิฟท์ลงไปที่ชั้นล่างและเดินตามป้ายชี้ทางไปห้องฉุกเฉิน
และแล้วเธอก็เห็นชัยภัทรกำลังยืนชี้ไม้ชี้มือตะโกนเสียงดัง
“ปั๊มหัวใจเขาต่อ เขายังเด็กอยู่เลย หมอปล่อยให้เขาตายได้ยังไง เมื่อวานเขายังนั่งกินไอติมกับผมที่นี่ หมอกลับไปปั๊มหัวใจเขาเดี๋ยวนี้ แขนหัก ขาหัก พิการไม่เป็นไร ผมจะเลี้ยงเขาไปจนแก่ จะเสียเท่าไรผมก็มีเงินจ่าย ขอให้หมอปั๊มหัวใจของเขาให้ฟื้นเท่านั้น หมอกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ อีหมอบ้า...”
มาลินีวิ่งไปจนถึงตัวสามี เธอเรียกเขา
“พี่ภัทร!”
ชัยภัทรหันมา เมื่อเห็นมาลินี เขากระชากแขนเธอจนเกือบล้ม นัยน์ตาเขาเป็นสีแดงจัดด้วยเส้นเลือด
“น้อยมาเร็วๆ บอกอีหมอคนนี้ให้ช่วยลูกเราหน่อย ทำไมมันไม่ทำอะไรเลย ยืนเฉยๆ อย่างนี้เสียเวลานะ พ่อแม่ผมก็นอนป่วยอยู่ชั้นแปด ถ้ารู้ว่าหลานตายนี่ท่านจะอยู่อย่างไร...”
ชัยภัทรยกมือสองข้างทึ้งผมตนเองอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มาลินีดึงมือของเขามากุมไว้ทั้งสองข้าง มือเล็กๆ ของเธอจับนิ้วของเขาไว้แน่นเหมือนบังคับ ชัยภัทรปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินและผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ครู่หนึ่งแพทย์หญิงผู้ซึ่งคลุมห่อร่างด้วยชุดป้องกันเชื้อโควิดเขยิบกายเข้ามาถามเสียงเบา
“คุณแม่ของน้องใช่ไหมคะ”
มาลินีพยักหน้า อ้อมแขนของเธอโอบร่างสามีไว้
“หมอเสียใจด้วยจริงๆค่ะ”
มาลินีได้ยินเสียงแพทย์หญิงคนนั้นกล่าว เสียงนั้นช่างห่างไกลจากโลกของเธอ โลกที่มืดอับปราศจากแสงตะวัน
เวลาผ่านไปจนชัยภัทรหยุดเสียงสะอื้นแล้ว มาลินีประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งเรียงเป็นแถวด้านข้างอาคาร แพทย์หญิงผู้นั้นเดินตามหลัง
มาลินีรับฟังคำชี้แจงจากแพทย์หญิงคนดังกล่าวว่าลูกชายของเธอเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บสาหัส แขนขาหักผิดรูป อวัยวะในช่องท้องเสียหายทั้งหมดและมีเลือดออกในสมอง
“...ขั้นตอนการรับศพเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะมาอธิบายนะคะ” แพทย์หญิงผู้นั้นกล่าวก่อนหันหลังเดินไป ยะงไม่ทันถึงประตูอาคารเธอก็เดินกลับมายังคนทั้งคู่อีกครั้ง เธอประสานมือไว้ใต้อกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“...หมอขออนุญาตเรียนอีกนิดนะคะ คือน้องเสียชีวิตทันทีตั้งแต่เกิดเหตุ น้องไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทรมาน ที่น้องยังหายใจต่อได้อีกครู่หนึ่งนั้นเป็นระบบของร่างกายที่ค่อยๆ หยุดทำงานไป...”
“แล้วผมจะบอกคุณแม่อย่างไร ท่านกำลังมีปัญหาหัวใจเต้นไม่ปกติ” ชัยภัทรยกมือลูบผมแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ แพทย์หญิงผู้นั้นมองมาลินีแล้วเธอก็หันหลังกลับไปเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อทำหน้าที่ต่อ
มาลินีผู้ไร้น้ำตาพูดกับสามีด้วยเสียงแห้งแหบ
“ยังไม่ต้องบอกท่านดีกว่าค่ะ ให้ท่านสองคนอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปอีกสักอาทิตย์หนึ่งจนกว่างานศพจะจัดเสร็จเรียบร้อย เดี๋ยวน้อยจะขอให้พ่อกับแม่เดินทางมาจากปากช่องเพื่อช่วยกัน”
ชัยภัทรพยักหน้า เขามองมาลินีที่กำลังฟังคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรด้วยท่าทีสงบ เธอเข้มแข็งมากกว่าที่เขาคิดไว้ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังไม่สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ทุกข์เทวษจากการเสียลูกชายคนเดียวไปอย่างกะทันหันได้ แต่มาลินีกลับควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างดี ครู่หนึ่งเขานึกได้จึงโทรศัพท์บอกมารดาว่าวันนี้เขามีธุระคงจะไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อน เขาโทรศัพท์บอกน้าสาวสองคนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณเพ็ญให้รับรู้เรื่องของตะวันและให้คนหนึ่งมานอนเป็นเพื่อนคุณเพ็ญ เขากำชับน้าสาวและญาติคนอื่นไม่ให้แพร่งพรายเรื่องหลานชายสิ้นชีวิตลงแล้วจากอุบัติเหตุให้มารดาเขารู้
ตกค่ำวันนั้นญาติพี่น้องใกล้ชิดของคู่พากันไปที่วัดยมนาราม ซึ่งญาติผู้ใหญ่ฝ่ายคุณดนัยช่วยเป็นธุระดำเนินการเช่าศาลาธำรงธันยสวัสดิ์ที่อารามแห่งนี้ โดยพิธีสวดอภิธรรมศพจะจัดขึ้นสามวันและฌาปกิจในวันถัดไป
ผู้ที่รู้เหตุการณ์ต่างพากันมาร่วมพิธี พ่อแม่ของมาลินีขับรถรวดเดียวจากตำบลมาลาคำ ปากช่อง ตรงมาที่วัด ทั้งสองนั่งมองความเคลื่อนไหวของผู้คนมากมายที่แต่งกายชุดสีดำและคาดหน้ากากอนามัย เจ้าของบริษัทเครื่องมือการแพทย์ที่พนักงานขับรถของเขารอดตัวจากการถูกดำเนินคดีเพราะภาพในกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัยได้นำกระเช้าและซองใส่เงินมาทำบุญ
ชัยภัทรแม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เขาก็ไม่อาจทำใจพูดจากับชายผู้นั้นได้ เขานั่งเงียบและมองเมินไปทางอื่น
ในระยะเวลาเจ็ดปีของการแต่งงานกัน ไม่มีสักครั้งที่มาลินีจะเห็นชัยภัทรทำตนไร้มารยาทเช่นนี้ มาลินีผู้สะกดกลั้นอารมณ์ทุกข์ไว้ตลอดวันเดินเข้าไปขอบคุณชายคนดังกล่าวและเชิญให้เขานั่งรวมกับแขกคนอื่นๆ แถวหน้า
เสียงโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่ทางวัดแขวนไว้ด้านนอกศาลาดังมาเข้าหูมาลินีผู้เลี่ยงออกไปนั่งมุมหนึ่ง เธอเห็นผู้คนในศาลายกโทรศัพท์มือถือขึ้นอ่านข่าวอย่างสนใจ เธอหันมองภาพที่กำลังเคลื่อนไหวในจอโทรทัศน์
“...ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจธนบุรีชุดสืบสวนคดีสังหารนายชูศักดิ์ จันท์กำทร อย่างอุกอาจได้จับกุมมือปืนผู้ก่อเหตุได้แล้ว
“...พ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ ได้แถลงเมื่อช่วงเย็นวันนี้ว่า ผู้ก่อเหตุชื่อนายธีรเดช แววสมอ้าง อายุ 28 ปี เขาถูกจับกุมได้ในเวลาบ่ายโมงขณะกำลังเดินทางข้ามชายแดนที่ด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจัดการคุมตัวนายธีรเดชขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาให้การที่สถานีตำรวจธนบุรีทันที
“...นายธีรเดชสารภาพว่าเขาได้รับการจ้างวานจากชายวัยกลางคนซึ่งเขาทราบเพียงชื่อที่เรียกกันว่า “ตุ๋ย” โดยนายตุ๋ยรับงานจากบุคคลอื่นมาอีกทอดหนึ่งและให้เขาเป็นผู้ลงมือ นายตุ๋ยได้จัดหารถมอเตอร์ไซค์ ชุดขับขี่ และปืนลูกซองรวมทั้งจ่ายเงินล่วงหน้าให้ห้าหมื่นบาท นายธีรเดชให้การว่านายตุ๋ยขับรถพาเขาไปดูลาดเลาที่คอนโดดารินาและชี้เป้าหมาย เขาจดจำใบหน้าและเลขทะเบียนรถของผู้ตายไว้และสะกดรอยตามอยู่สองวันเพื่อดูพฤติกรรมเหยื่อ
“...วันเกิดเหตุเขาขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังรถนายชูศักดิ์จากย่านประดิพัทธ์ไปจนถึงร้านอาหารริมท่าน้ำธนบุรี ซึ่งนายชูศักดิ์เข้าไปรับประทานอาหารและพูดคุยกับคนกลุ่มหนึ่งเป็นเวลานาน นายธีรเดชขับรถวนเวียนอยู่บริเวณดังกล่าวประมาณสามชั่วโมงและซุ่มตัวรอ จนถึงเวลาห้าทุ่มเขาเห็นนายชูศักดิ์เดินออกจากร้านอาหารแห่งนั้นแต่เพียงผู้เดียวเพื่อมาขึ้นรถที่จอดริมถนนใหญ่ นายธีรเดชเห็นเป็นโอกาสจึงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์เข้าประกบและควักปืนออกมายิงนายชูศักดิ์อย่างกระชั้นชิดหกนัด จากนั้นเขาขี่รถหนีเข้าไปในย่านสวนผักอันวกวนและไปออกซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งลัดเลาะไปถึงถนนบรมราชชนนี เขาจอดรถซ่อนตัวที่ข้างตึกแถวร้างจนเกือบสว่าง จากนั้นจึงย้อนกลับไปซ่อนตัวในห้องเช่าแถวบางใหญ่
“...นายตุ๋ยเมื่อทราบว่านายธีรเดชยิงนายชูศักดิ์เสียชีวิตไปแล้วได้ขับรถมาจ่ายเงินที่เหลืออีกหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทตามที่ตกลงไว้และนำปืนกระบอกที่ก่อเหตุไป รวมทั้งยกรถมอเตอร์ไซค์ใส่ท้ายรถกระบะไปด้วย ส่วนนายธีรเดชได้ขึ้นรถตู้ประจำทางกลับไปหาครอบครัวที่จังหวัดอุบลราชธานีและพักอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยายตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน จนเมื่อคืนที่ผ่านมานายตุ๋ยส่งข่าวให้เขาหนีข้ามชายแดนไปโดยเร็วที่สุด แต่ช่วงบ่ายวันนี้เองที่นายธีรเดชถูกจับกุมขณะเดินข้ามสะพานไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน... .... ... ....
“... ... ...ข่าวคืบหน้าเราจะนำเสนอต่อไปค่ะ”
มาลินีมองภาพชายหนุ่มร่างผอมเกร็งผู้ถูกจับใส่กุญแจมือ มีนายตำรวจที่เธอเคยไปให้ปากคำแก่เขาเมื่อหลายวันที่แล้วนั่งด้านตรงข้ามและกำลังแถลงต่อผู้สื่อข่าว เสียงผู้คนพูดคุยกันเบาๆ ในงานสวดอภิธรรมศพคืนแรกดึงให้มาลินีละสายตาจากจอโทรทัศน์ เธอก้มหน้ามองพื้นปูนตรงหน้า หัวสมองของเธอว่างเปล่าและด้านชา เธอไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่เหตุการฆาตกรรมนายชูศักดิ์กำลังคลี่คลายโดยที่เรื่องของเธอยังไม่ถูกเปิดเผย
หัวใจมาลินีถูกบีบรัดจนเลือดพุ่งไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวังอยู่ในอก เธอจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรในเมื่อตะวันของเธอดับไปแล้ว ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีแล้วเธอก็กะพริบตาถี่ น้ำตาที่เก็บกักไว้ไหลออกมาเป็นสาย เธอไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้คน หรือแม้เมื่ออยู่คนเดียวก็นับครั้งได้ที่เธอจะยอมให้ตนเองมีน้ำตา
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
วันที่สองที่ตะวันหายไปจากชีวิตของชัยภัทรและมาลินี เมื่อคืนนี้ทั้งคู่พักค้างในศาลาวัดยมนารามเพื่อเป็นเพื่อนศพลูกชาย พ่อแม่ของมาลินีก็อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อเป็นเพื่อนบุตรสาวของตน ศาลาหลังนี้มีห้องน้ำกว้างใหญ่ทันสมัยสะดวกสบาย นอกจากนั้นทางวัดยังจัดหาฟูกและหมอนมาปูบริเวณด้านหน้าโลงศพเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เอนหลัง มาลินีและชัยภัทรนั่งงีบหลับบนเก้าอี้ไม้สักที่มีเบาะนุ่มรอง
ช่วงสายชัยภัทรขับรถไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคุณดนัยและคุณเพ็ญที่โรงพยาบาลหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและพยายามปรับสีหน้าให้ปกติ ส่วนมาลินีขับรถพาพ่อและแม่เธอไปที่บ้านธำรงธันยสวัสดิ์เพื่อพักผ่อน เธอมองเห็นรถจักรยานคันเล็กวงล้อบิดเบี้ยววางแอบอยู่มุมหนึ่งของโรงรถ จักรยานคันนี้ชัยภัทรเป็นผู้พาลูกชายไปเลือกซื้อเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ครั้งแรกมันติดล้อเสริมเพื่อช่วยทรงตัว แต่เมื่อไม่กี่วันนี้เองที่เธอบอกนายสมปองให้แกะเอาล้อคู่เล็กออก เพราะเธอเห็นว่าเด็กชายตะวันสามารถทรงตัวได้ดีแล้ว
มารดาของมาลินีโอบบ่าลูกสาวให้เดินห่างออกจากภาพสะเทือนใจ มาลินีเดินไปตามทางจนถึงจุดที่มีอุบัติเหตุ นายเชื่อมฉีดน้ำล้างรอยเลือดจนสะอาดหมดจด มีธูปปักที่สนามหญ้าบริเวณนั้นหลายดอก กลิ่นธูปหอมยังอวลอยู่ทั่วบริเวณ บิดาของเธอยกมือไหว้ไปรอบๆ และทำปากขมุบขมิบ มาลินีทรุดตัวลงนั่งแล้วใช้มือคลำบนถนน นางสมัยและปราณีออกมาไหว้ทักทายมารดาและบิดาของมาลินี จากนั้นนางสมัยก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ออกปากแก้ตัวกับมาลินีว่าช่วงเกิดเหตุคนในบ้านกำลังชุลมุนอยู่กับเตียงคนไข้ รถเข็น อุปกรณ์ต่างๆ และสิ่งของเครื่องใช้ที่ชัยภัทรสั่งซื้อมา
“ป้านึกว่าคุณตะวันนั่งอยู่ในบ้าน เพราะได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิดเสียงแจ้ว ป้าไม่รู้ว่าเขาออกมาคว้าจักรยานไปขี่เล่น ป้ามัวแต่ระวังว่าคนงานจะหยิบฉวยข้าวของติดมือไป นังแอ๊วก็เอาแต่ดูดฝุ่นเช็ดพื้นอยู่นั่นแหละ เจ้าสมปองกับตาเชื่อมก็ยุ่งอยู่กับการยกย้ายข้าวของจัดแอบให้เตียงคนไข้วางเหมาะๆ ป้าลืมนึกถึงคุณตะวัน พอเห็นอีกทีก็อยู่ใต้ล้อ เลือดออกปากออกจมูก..”
มาลินียกมืออุดหู เมื่อรู้ตัวเธอก็ยกมือไหว้นางสมัย
“ขอโทษเถอะค่ะป้า ฉันไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ ฉันอารมณ์ไม่ค่อยปกติ”
เธอออกจากบ้านตั้งแต่เช้าวานนี้ และสายวันนี้เธอกลับเข้ามาพร้อมกับชีวิตที่เปลี่ยนไป นางสมัยถอยออกไปอย่างรู้สึกผิด
มาลินีหันหลังเดินเข้าบ้านโดยพ่อและแม่ของเธอหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตาม เธอตรงไปเปิดห้องนอนของลูกชายและยืนนิ่งครู่หนึ่ง
“แม่กับพ่อนอนพักผ่อนในห้องนี้นะคะ ตอนเย็นเราค่อยออกไปวัดกันและค้างที่ศาลาอีกคืน สงสารตะวันไม่มีเพื่อน” มาลินีพูด เธอเอื้อมมือเปิดแอร์และเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของลูกชาย เธอเขย่งเปิดบานประตูบนสุดและดึงผ้าห่มนวมกับหมอนลงมาสองชุด เธอมองโคมไฟซูเปอร์แมนและหมอนนุ่มนิ่ม เธอหยิบหมอนใบนั้นมากอดไว้
“น้อยไปพักเถอะ” มารดายกมือลูบศีรษะมาลินี
บิดาของเธอเดินเข้ามาโอบบุตรสาวไว้ ทั้งคู่รู้ว่ามาลินีเป็นคนเข้มแข็ง แต่ยามนี้สิ่งที่เธอต้องการคือคำปลอบประโลมใจ
“น้อย พ่อกับแม่รักหนูนะ”
มาลินีซบศีรษะลงกับบ่าบิดา มือขวาของเธอจับแขนมารดาไว้ขณะที่มือซ้ายกอดหมอนของลูกชาย เธออยากหลับไปในความรู้สึกนั้น ครู่หนึ่งผ่านไปเธอผละตัวออก
เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายมาลินีสะดุ้งตื่นเมื่อชัยภัทรเปิดประตูห้องเข้ามา เขามีสีหน้าหม่นหมองและเหนื่อยล้า เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมอกของภรรยา มาลินีกางแขนโอบเขาไว้ ทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบงันอันเศร้าโศกยาวนาน
ห้าโมงเย็นทุกคนไปพร้อมกันที่วัด มาลินีเข้าไปไหว้พระพุทธรูปและนั่งข้างโลงศพลูกชาย เธอได้ยินเพื่อนร่วมรุ่นของชัยภัทรคุยกันเรื่องชูศักดิ์
“... ...ฝ่ายสืบสวนรู้ตัวคนสั่งฆ่าไอ้ศักดิ์แล้ว...นายตุ๋ยนั่นไม่ใช่นะ นายตุ๋ยเป็นเอเย่นต์มือปืน รับออร์เดอร์มาจากคนจ้างแล้วจ่ายงานลูกน้องไปตามความยากง่ายของแต่ละเคส...ตำรวจกำลังเตรียมออกหมายจับนายตุ๋ย...แล้วจะสาวไปถึงตัวผู้บงการ...
“...จริงๆ แล้วนายตุ๋ยนี่ทหารเก่าระดับครู รู้เรื่องปืน รู้ทางหนีทีไล่ รู้วิธีหาข้อมูลเป้าหมาย บางเคสที่ดุๆ ระดับเจ้าพ่อนี่เขาลงมือเอง...หลายเคสเขาจ้างต่อแล้วชักเปอร์เซ็น...เขามีลูกน้องเยอะ...นายธีรเดชนี่มือขวาเลยละ...ใจถึง...นายตุ๋ยเขาเลี้ยงไว้ใช้งานแบบนี้...ทำมาแล้วหลายครั้ง...นายตุ๋ยชี้เป้า...นายธีรเดชมือยิง...ยิงเสร็จนายตุ๋ยพาหนีทันที...พอเรื่องเงียบก็กลับมารับงานใหม่
“...ตำรวจธนบุรีนี่เขาเก่งนะ...สืบไม่ถึงอาทิตย์เลย ได้ตัวมือปืนแล้ว แถมกำลังจะออกหมายจับคนจ้างวานอีก... ... ...”
เสียงพูดคุยยุติลงเมื่อพระสงฆ์สามรูปเดินถือตาลปัตรเข้ามาในศาลา ชัยภัทรกำลังทำหน้าที่ต้อนรับผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนศรีสมิธที่ลงจากรถมาพร้อมด้วยพวงหรีดซูเปอร์ฮีโร่ที่สั่งทำโดยเฉพาะ มาลินีน้ำตาคลอเมื่อเห็นพวงหรีดนั้น หากตะวันยังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องร้องโอ้โฮด้วยความชอบใจ
ค่ำคืนนั้นผ่านไป ชัยภัทรกับมาลินีอยู่เป็นเพื่อนศพเด็กชายตะวันที่ศาลาอาราม บิดามารดาของมาลินีอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวเป็นคืนที่สอง
วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565
เวลาบ่าย ขณะบิดาและมารดาของมาลินีนั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นหลังตื่นจากพักผ่อน ส่วนมาลินีเข้าไปจัดเก็บเสื้อผ้าของตะวันใส่กล่องรวมทั้งของเล่นต่างๆ
“น้อยทำอะไร!”
ชัยภัทรยืนจังก้าหน้าประตูห้องลูกชาย หน้าตาเขาถมึงทึง มาลินีตอบโดยไม่มองหน้าเขา
“เคลียร์ห้องค่ะ”
“หยุดเลย น้อยอย่าทำอย่างนี้ ตะวันเพิ่งตายไปแค่สองวัน น้อยลืมลูกแล้วหรือ”
มาลินีนิ่งเงียบ ชัยภัทรเดินเข้ามา เขามองกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบ ถุงพลาสติกใส่ของที่กองอยู่มุมห้อง ผ้าห่มนวมผืนใหญ่และหมอนวางเต็มเตียงเล็กๆ เขากวาดสายตาไปยังชุดสีดำของมารดาเธอที่แขวนไว้บนราวที่เคยแขวนเสื้อผ้าของลูกชาย นอกจากนั้นยังมีเสื้อยืดและผ้าขาวม้าของบิดาเธอพาดอยู่ไม่เป็นที่
“เอาเสื้อผ้าตะวันออกจากกล่องแล้วแขวนกลับอย่างเดิม” น้ำเสียงของเขาเหมือนคำสั่ง
“น้อยเก็บพับไปหมดแล้วค่ะ” มาลินีบอกเขาอย่างหมดแรง
“งั้นผมทำเอง”
ชัยภัทรรี่เข้ามาในห้อง เขากระชากเปิดกล่องที่ปิดฝาไปแล้ว เขาโยนเสื้อผ้าของมารดามาลินีออกจากราว จากนั้นเขาหยิบเสื้อตัวเล็กๆ ของลูกชายออกคลี่และหยิบไม้แขวนอันเล็กหลากสีในตะกร้าขึ้นมาจัดการแขวนเสื้อผ้าของเด็กชายกลับที่เดิม
หนึ่งชั่วโมงจากนั้นบิดาและมาลินีก็ขนกระเป๋าเสื้อผ้าของตนมาใส่ท้ายรถกระบะที่จอดแอบอยู่ข้างกำแพงโรงรถของบ้านธำรงธันยสวัสดิ์
“วันเผาศพตะวันพรุ่งนี้พ่อกับแม่จะจัดอาหารมาถวายเพลนะลูก”
นางมาลีพูดพลางลูบหลังลูบไหล่มาลินีที่ยืนกัดริมฝีปากนิ่ง ครูประสงค์ก้มลงโอบศีรษะลูกสาวแนบอกครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พ่อกลับไปบ้านก็ดีจะได้พักให้เต็มที่ พรุ่งนี้เจอกัน ดูแลตัวเองดีๆนะหนู” พูดจบเขาก็ขึ้นรถขณะที่นางมาลีเปิดประตูรถด้านผู้โดยสารและขึ้นนั่ง ทั้งสองโบกมือให้บุตรสาวก่อนเลี้ยวรถออกจากบ้านธำรงธันยสวัสดิ์
มาลินียืนมองประตูใหญ่ที่เลื่อนปิดแล้วลดสายตาลงมองพื้นทางรถที่ตะวันเคยขี่จักรยานฉวัดเฉวียน เธอคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที เธอเข้าใจความทุกข์ระทมใจของชัยภัทร เธอไม่โกรธที่เขาอาละวาดไม่ให้เธอเก็บเสื้อผ้าของลูกชายใส่กล่อง เขาต้องการให้ห้องนั้นมีสภาพดุจดังตะวันยังฉายแสงอยู่ภายใน พ่อและแม่ของเธอไม่ขัดข้องที่จะทำให้เขาสบายใจขึ้นโดยการเก็บของออกจากห้องนั้นและออกจากบ้านไป “มีโรงแรมใกล้บ้าน เดี๋ยวผมโทรจองให้คุณน้าไปอยู่ให้สบาย ผมจ่ายเงินเอง ผมขอโทษที่ผมอารมณ์ไม่ปกติ” ชัยภัทรพูดกับพ่อตาผู้ยกมือตบหลังตบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจ “พ่อเป็นห่วงบ้านเหมือนกัน กลับไปดูสักคืน แล้วพรุ่งนี้พ่อจะมาเผาศพหลานนะ”
บ่ายวันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชัยภัทรนอนหลับในห้องของลูกชาย มาลินีเอนหลังในห้องนั่งเล่น เธอเปิดโทรศัพท์มือถือดูขณะรอเวลาที่จะอาบน้ำแต่งตัวไปวัดในคืนสุดท้ายของการสวดอภิธรรม
ไลฟ์สดของโทรทัศน์ดิจิทัลช่องหนึ่งดึงดูดสายตาของมาลินีไว้
“...พ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ หัวหน้าทีมสืบสวนกรณีการฆาตกรรมนายชูศักดิ์ จันท์กำทร ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวเมื่อ 14.00 น.วันนี้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาเพิ่มอีกหนึ่งคนคือนายตุ๋ยผู้จ้างวานมือปืน นายตุ๋ยมีชื่อจริงว่าพิภพ จ้อยสงวน อายุ 52 ปี เป็นชาวจังหวัดปทุมธานี
“...นายตุ๋ยสารภาพว่ารับงานมาจากบุคคลหนึ่งด้วยค่าป่วยการห้าแสนบาทและเขาได้ไปว่าจ้างนายธีรเดชอีกต่อหนึ่งให้เป็นผู้ลงมือสังหารนายชูศักดิ์ โดยตกลงราคาที่สองแสนบาท เขาเป็นจัดหามอเตอร์ไซค์ ปืนพกสั้น และจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้จำนวนหนึ่ง หลังจากนายธีรเดชเสร็จงานแล้ว นายตุ๋ยได้นำเงินที่เหลือไปจ่ายให้นายธีรเดชที่บ้านและนำปืนกระบอกดังกล่าวพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์ไปทำลาย...
“...หัวหน้าทีมสืบสวนกล่าวว่านายตุ๋ยยังไม่ได้ระบุชื่อบุคคลที่เป็นผู้จ้างวานเนื่องจากเขาหวั่นเกรงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อให้นายตุ๋ยมั่นใจว่าจะได้รับการคุ้มครอง และหากเขาแจ้งเบาะแสอันนำไปถึงผู้กระทำผิดก็จะได้ลดโทษลงตามที่กฎหมายกำหนด
“...แต่แหล่งข่าวสายไซเบอร์ได้ให้ข้อมูลกับทางเราว่า ผู้ที่อยู่ในข่ายน่าสงสัยว่าอาจเป็นผู้บงการนายตุ๋ยให้ดำเนินการจ้างมือปืนไปสังหารนายชูศักดิ์นั้นมีทั้งสิ้นหกคน ซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงฐานะดีและมีหน้าที่การงานมั่นคง เธอเหล่านั้นเคยตกเป็นเหยื่อการขู่กรรโชกทรัพย์ของนายชูศักดิ์มาหลายครั้ง โดยที่หญิงบางคนเสียเงินให้นายชูศักดิ์ไปแล้วกว่าสิบล้านบาทเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตน แต่เรื่องนี้ พ.ต.ท.ยิ่งยศ สมโณพฤกษ์ ได้ออกมาปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าว นายตำรวจกล่าวว่าหากมีผู้ใดระบุชื่อหรือตำแหน่งการงานของสตรีทั้งหกคนนี้จะถูกดำเนินคดีทันที...
“...มิสเตอร์สป๊อกโปรดิวเซอร์รายการยอดนักสืบไซเบอร์ได้ออกมาแสดงความเห็นแย้งว่า ยิ่งทางตำรวจพยายามปกป้องผู้ต้องสงสัยทั้งหกคนนี้มากเท่าไรก็จะยิ่งมีผู้อยากรู้และพยายามสืบจนได้ความจริง โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ครอบครองภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่นายชูศักดิ์บันทึกไว้และส่งไปแบล็กเมลสุภาพสตรีเหล่านั้น พวกเขาได้แชร์ส่งไปให้คนใกล้ชิดได้ดูและพนันกันว่าใครคือผู้ว่าจ้างนายตุ๋ย...
“...มิสเตอร์สป๊อกได้กรุณาแบ่งปันข้อมูลให้ผู้สื่อข่าวของเรามานำเสนอต่อท่านผู้ชมว่าสุภาพสตรีทั้งหกประกอบด้วยใครกันบ้าง...เรามีภาพมาแสดงให้ท่านผู้ชมได้เห็นในวันนี้ ขออภัยที่ต้องเบลอใบหน้าไว้กันถูกฟ้องครับ...
“...เบอร์หนึ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีมีชื่อและเป็นภรรยาหัวหน้าพรรคนักการเมือง ... เบอร์สอง ทันตแพทย์หญิงเจ้าของลิขสิทธิ์เหล็กดัดฟันเสริมวิตามินที่ทุกคลินิกนิยมแนะนำให้คนไข้ใช้ สามีของเธอเป็นทันตแพทย์มีชื่อผู้ผันตัวเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทันตกรรม ... เบอร์สาม ผู้จัดการบริษัทการเงินที่มีผลประกอบการสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงโควิดระบาด เธอเป็นลูกสะไภ้ของครอบครัวผู้ดีเก่าซึ่งมีผู้นับหน้าถือตา สามีของเธอทำงานเป็นผู้จัดการสาขาจังหวัดปริมณฑลในบริษัทเดียวกัน ... เบอร์สี่ สตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นภรรยาเก็บของนายทหารนอกประจำการผู้ร่ำรวยจากการค้าอาวุธ ... เบอร์ห้า เจ้าของสถานบริหารร่างกายซึ่งเป็นแฟรนชายส์ของต่างประเทศ สามีของสตรีผู้นี้เป็นชาวสิงคโปร์หุ้นส่วนใหญ่ของธนาคารสีเลือดหมู ... และคนสุดท้ายเบอร์หก นักรีวิวสินค้าผู้มีดีกรีเป็นนางเอกภาพยนต์เงินล้าน สามีของเธอเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์...
“...เราเชื่อว่าคงมีผู้ชมบางท่านสามารถสันนิษฐานได้ว่าเธอเหล่านี้เป็นใคร...คนส่วนใหญ่ที่ติดตามคดีนี้คงอยากรู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งมรณะที่สังหารนายชูศักดิ์นักขู่กรรโชกทรัพย์
“...มีท่านผู้ชมส่งความเห็นมามากมาย ตามนี้เลยครับ... ... ‘คนชั่วสมควรได้รับผลชั่ว หมายถึงไอ้นักแบล็กเมลคนนั้นนะคะ’... ‘ทำแบบนี้ก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป’... ‘ผู้หญิงจัญไรนอกใจผัวสมควรจะโดนด้วย’ ... ‘ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง’ ... ‘ผมเป็นนักสืบสมัครเล่น ไม่ยากที่จะค้นข้อมูลในอินเทอร์เนต ผมกล้าบอกได้เลยว่าภาพเบอร์หนึ่งคืออาจารย์ ว. อายุจะห้าสิบแล้วยังไม่พ้นเรื่องอย่างว่า - เบอร์สองคือหมอ ส. หุ่นเซ็กซี่สะท้านใจ – เบอร์สามผู้จัดการ ม. เสื้อเครื่องแบบสีนี้ใครก็เดาถูกว่าบริษัทอะไร – เบอร์สี่หม่อม จ. เมียน้อยสุดที่รักของท่านชายนักค้าของโบราณ – เบอร์ห้า เห็นรอยสักดอกกุหลาบสีชมพู ใครก็รู้ว่าคือคุณซ. – ส่วนเบอร์หก ใครเคยดูหนังเรื่องนางพญาแผ่นดินเดือดคงจำได้ว่านักแสดงหญิงผู้เล่นเป็นางรองที่ภายหลังถูกสมภาร เอ๊ย ผู้กำกับคาบไปทำเมีย’ ... … …”
มาลินีปิดมือถือ มันเริ่มใกล้ตัวเธอเข้ามาทุกทีแล้ว