หลังจากที่สามารถบังคับให้แก้วใสเก็บของและไปอยู่ในเพนท์เฮ้าส์ของตนเองสำเร็จ เจฟฟรีย์ก็อารมณ์ดีตลอดไปจนถึงเช้าของอีกวันแต่เสียดายเมื่อคืนเขาไม่สามารถผลิตลูกแบบธรรมชาติได้เนื่องจากหญิงสาวมีอาการอ่อนเพลียและมีไข้อ่อน ๆ จึงจำเป็นต้องให้พักผ่อน
"ข้าวต้มได้หรือยัง" เสียงเข้ม ๆ ของเจฟฟรีย์เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทซึ่งกำลังวุ่นวายกับถาดข้าวต้มที่สั่งมาจากร้านอาหารชื่อดังของกรุงเทพ อันเดรจัดถ้วยจัดจานเรียบร้อยพอดีกับที่เจฟฟรีย์โผล่หน้าเข้ามาถาม
"ได้แล้วครับคุณเจฟ"
"เอามา"
"เดี๋ยวผมเอาไปให้คุณแก้วใสเองครับ"
"อันเดร"
"ครับ ๆ เชิญเจ้านายเอาไปเลย"
อันเดรรีบถอยห่างจากถาดข้าวต้มของคนป่วยทันทีเมื่อได้เย็นเสียงเย็น ๆ ของเจ้านายเพราะรู้ดีว่าน้ำเสียงแบบนี้คือห้ามขัดใจต้องทำตามอย่างเดียว เจฟฟรีย์จึงไม่รอช้ารีบเอาถาดข้าวต้มไปถือแล้วก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องนอนของหญิงสาวโดยมีสายตาของลูกน้องมองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมของเจ้านายหนุ่มที่เริ่มแปลก ๆ ตั้งแต่รู้จักกับแก้วใส ผู้หญิงที่ดูยังไงก็ไม่ใช่สเปกของเจ้านายแน่นอน
เมื่อคืนหญิงสาวค้านหัวชนฝาไม่ยอมนอนห้องเดียวกับชายหนุ่มทำให้เจ้าของห้องต้องเอ่ยปากอนุญาตให้หล่อนนอนอีกห้องอย่างไม่มีข้อแม้เพราะคนป่วยมีอาการงอแงซึ่งเขาไม่ชอบจึงยอมตามใจเจ้าหล่อนเพื่อตัดปัญหาทั้งที่จริงการตามใจอาจจะมาจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้
"ผมเอาข้าวต้มมาให้ กินเยอะ ๆ จะได้หายป่วยอีกสามวันเราต้องเดินทาง"
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะตักข้าวต้มจ่อที่ปากของแก้วใสอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมต้องดูแลหญิงสาวใกล้ชิดขนาดนี้แทนที่จะให้คนอื่นมาทำแต่หัวใจกลับไม่ยอม
"ขอบคุณค่ะแต่ดิฉันขอทานเอง"
"คุณยังไม่มีแรง ผมป้อนเองดีกว่า"
"แต่ดิฉัน"/"ไม่ ๆ ต่อไปคุณต้องแทนตัวเองว่า แก้ว ห้ามแทนตัวเองว่าดิฉันอีก ผมไม่ชอบ"
"ดะ ได้ค่ะ แก้วก็แก้ว คุณเจฟให้แก้วทานเองได้หรือยัง"
"ยัง ผมป้อนเอง อ้าปาก"
หล่อนอ้าปากรับข้าวต้มด้วยใบหน้างออย่างจำยอมเพราะท้องน้อย ๆ กำลังส่งเสียงน่าเกลียดออกมา ชายหนุ่มยิ้มด้วยความพึงพอใจที่เห็นแก้วใสว่านอนสอนง่ายจึงตักข้าวต้มป้อนหล่อนสลับกับตัวเองเพราะหิวข้าวเหมือนกันยิ่งได้กินแบบนี้ก็ยิ่งเจริญอาหารไม่นานข้าวต้มในถ้วยก็หายไปหมด
ภาพสองหนุ่มสาวที่กำลังป้อนข้าวป้อนยาอยู่บนเตียงถูกถ่ายทอดไปสู่มารดาของชายหนุ่มแบบลับ ๆ โดยที่เจฟฟรีย์ไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่สนใจแก้วใสเพียงคนเดียว อันเดรโดนมารดาของเจ้านายบังคับให้ส่งข่าวเรื่องของลูกชายเป็นระยะทำให้มาดามแป้งหอมรู้ว่าตอนนี้ลูกกำลังทำอะไร ที่ไหน กับใคร ครั้งแรกที่ได้ฟังเรื่องการอุ้มบุญจากปากลูกชายนางยอมรับว่าไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้หลานเกิดมาจากความรักของคนสองคนแต่พอได้ฟังเรื่องราวของเจฟฟรีย์กับแก้วใสจากปากของอันเดรความคิดที่จะกีดกันก็เปลี่ยนไปและสั่งให้จับตาดูทั้งสองคนทุกฝีก้าว ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบรายงานทันที
"คิก คิก ดีมากอันเดร สิ้นปีรอรับโบนัสจากมาดามได้เลยจ้ะ"
"ขอบคุณครับมาดามผมหวังว่าคุณเจฟจะไม่รู้เรื่องนี้นะครับ"
"แน่นอน มาดามเอาหัวเป็นประกัน แค่นี้นะจ๊ะอันเดร มาดามขอเมาท์กับสามีก่อน"
"ครับมาดาม"
มาดามแป้งหอมต่อสายโทรหาลูกน้องของลูกชายทันทีหลังจากเห็นคลิปสั้น ๆ ที่ถูกส่งมา หล่อนแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลยที่ได้เห็นลูกชายเพียงคนเดียวดูแลหญิงสาวที่ถูกจ้างมาอุ้มบุญด้วยความห่วงใย ทั้งสายตาและการกระทำมีที่ไหนกันที่เจ้านายจะลงทุนดูแลลูกน้องถึงขนาดนี้ทั้งป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนยา ด้วยตัวเอง แบบนี้มันต้องมีอะไรในกอไผ่ชัวร์
"พี่เจคิดว่ายังไงเรื่องลูกของเรา" หลังจากวางสายก็หันไปถามสามีทันทีด้วยความอยากรู้ว่าเขาคิดอะไร คุณเจสันจะคิดเหมือนตนเองไหม
"ไม่ได้คิดอะไร"
"ทำไมกัน พี่เจไม่สงสัยเหรอทำไมลูกของเราถึงได้สนใจแม่หนูคนนี้เป็นพิเศษ"
"หึหึ แล้วมันไม่ดีหรือไง ถ้าลูกจะสนใจแม่หนูคนนี้ แป้งจะได้มีหลานสมใจ นักข่าวจะได้เลิกลงข่าวว่าเจ้าเจฟเป็นเกย์เสียที"
"อุ๊ย จริงด้วย น้องอยากให้สิ่งที่เราคิดเป็นจริงจังเลยค่ะพี่เจ"
"หึ อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยเมียจ๋า ลูกของเรานิสัยไม่เหมือนคนอื่น ทั้งเอาแต่ใจ ปากแข็ง ไม่รู้ว่าแม่หนูคนนี้จะทนได้หรือเปล่า และไม่รู้ว่าเจ้าเจฟมันจะรู้สึกเหมือนที่เราคิดไหม"
"นั้นนะสิ ลูกเหมือนพี่เจมาก ปากหนัก ปากแข็งเป็นที่สุด" นางมองค้อนสามีเมื่อคิดย้อนไปในอดีต กว่าจะมาลงเอยกับสามีได้ต้องเสียน้ำตาเป็นลิตรเพราะความปากแข็งของเขาที่ไม่ยอมรับว่ารัก แล้วเชื้อปากแข็งยังถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกชายอีกด้วย หวังว่าเจฟฟรีย์จะยอมรับหัวใจง่ายกว่าพ่อของเขาไม่อย่างนั้นแม่หนูแก้วใสลำบากแน่
"อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันพี่รักเมีย"
"ปากหวานตอนแก่ ไม่เอาไม่คุยด้วยแล้ว ไปจัดห้องรอต้อนรับลูกสะใภ้ดีกว่า ไม่ว่ายังไงน้องก็จะเอาเด็กคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้ พี่เจคอยดู" มาดามแป้งหอมหันไปบอกสามีอย่างคนเอาแต่ใจ แววตามุ่งมั่นแต่แฝงไปด้วยประกายของความสุขทำให้สามีที่รักภรรยามาก ๆ ไม่กล้าเอ่ยคำใดเป็นการขัดใจ เขาได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าลูกชายตัวดีไม่ทำให้แม่ผิดหวังก็พอ
ผ่านไปเกือบสัปดาห์กว่าที่อาการป่วยของแก้วใสจะหายสนิท เมื่อทุกอย่างพร้อมชายหนุ่มก็พาแม่อุ้มบุญของลูกข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมายังประเทศอังกฤษโดยสวัสดิภาพ แก้วใสไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อนจึงมีอาการตื่นเต้นตั้งแต่ช่วงที่อยู่ในสนามบิน โชคดีที่มีมืออุ่น ๆ ของเจฟฟรีย์คอยกุมไม่อย่างนั้นความเย็นคงส่งไปถึงหัวใจแน่
"เราจะไปพักกันที่ไหนคะคุณเจฟ" หล่อนถามในขณะที่นั่งรถออกมาจากสนามบิน
"เราจะไปพักที่บ้านของผม" เขาตอบในขณะพิมพ์ข้อความบอกบิดามารดาว่าตนเองถึงอังกฤษแล้ว
"บ้านของคุณเจฟ ใหญ่มากไหม แล้วมีกันกี่คน" คำถามซื่อ ๆ ของหล่อนเกือบทำให้เจฟฟรีย์หลุดคำ บ้านของเขาใหญ่ขนาดไหน หึ อันนี้มันตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะความใหญ่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับเขาบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดก็ธรรมดามากตามแบบฉบับคนรวยทั่ว ๆ ไป ส่วนมีกี่คนอันนี้ยิ่งแล้วใหญ่เพราะไม่เคยรู้ว่าคนรับใช้ คนงาน คนขับรถ ไหนจะพวกบอดี้การ์ดอีกรวมกันแล้วมีกี่คนจึงตอบแบบปัด ๆ
"เอาไว้ไปถึงก็เห็นเองแต่บ้านผมไม่เล็กไม่ใหญ่ กลาง ๆ ผมไม่มีพี่น้องมีแค่พ่อกับแม่"
"เฮ้อ โล่งอกจังเลยค่ะที่ได้ฟังแบบนี้"
หล่อนจินตนาการบ้านของชายหนุ่มแบบที่เคยดูในละครจึงรู้สึกโล่งใจ ยิ่งได้รู้ว่าเขาอยู่กับพ่อแม่แค่สามคนก็ยิ่งสบายใจเพราะที่คนเยอะ ๆ มักจะมีปัญหาตลอดโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่จินตนาการกับความเป็นจริงมันห่างไกลเหมือนฟ้ากับเหว อันเดรได้ฟังบทสนทนาของเจ้านายกับว่าที่นายหญิงก็ยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปากไม่รู้จะโทษใครดีระหว่างคนที่เกิดมารวยกับคนที่เกิดมาจนเพราะไม่มีใครผิดด้วยสิ่งแวดล้อมทำให้ทั้งสองคนจินตนาการไปคนละทิศคนละทางมีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจ
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงรถของตระกูลมิกาเรนท์ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูซึ่งมีขนาดใหญ่มากอย่างที่หญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อน แก้วใสอ้าปากค้างกะพริบตาปริบ ๆ มองประตูบานใหญ่แล้วหันไปมองหน้าเจ้านายหนุ่มเหมือนคนมีคำถาม หล่อนกำลังจะอ้าปากถามประตูก็เปิดกว้างเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในเต็มสองตา
"แม่เจ้า นะ นี่มันไม่ใช่บ้านแต่คือวัง ไหนคุณเจฟบอกว่าบ้านไม่ใหญ่ ไม่เล็กไง แล้วนั่นอะไร" หล่อนอุทานเสียงดังพร้อมกับชี้ไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้า
"ผมพูดผิดตรงไหน มันก็ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ กลาง ๆ พออยู่ได้ไม่อึดอัด"
เขาพูดแบบสบาย ๆ แต่คนฟังเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
"พออยู่ได้ โอ๊ย อยากเป็นลม"
หญิงสาวรีบควานหายาดมในกระเป๋าขึ้นสูดเพื่อระงับอาการวิงเวียนในหัว หล่อนไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าคือบ้านของเขา บ้านที่เขาบอกว่ามันไม่เล็ก ไม่ใหญ่ แค่กลาง ๆ มันกลางตรงไหนแบบนี้เขาเรียกว่า โคตรใหญ่ แล้วที่เขาบอกว่าพออยู่ได้ไม่อึดอัดนั้นไม่จริงเลยสักนิดคฤหาสน์สีขาวตรงหน้าห่างไกลจากคำนั้นมากโข หญิงสาวยังไม่ทันหายจากอาการมึนรถสุดหรูก็จอดตรงหน้าประตูที่มีสาวใช้และบอดี้การ์ดยืนรอต้อนรับเจ้านายนับสิบ ๆ คน
'คุณพระคุณเจ้าช่วยบอกลูกทีเถอะ นี่มันเรื่องจริงหรือลูกกำลังฝันไป'