ตอนที่ 4
สภาพที่แท้จริง
ทันทีที่รถคันหรูจอดหน้าปากซอย เสียงเข้มของคนนั่งหลังพวงมาลัยก็เอ่ยขึ้นถาม
“บ้านเธอหลังไหน!”
“ส่งเชอร์รี่ แค่นี้ก็พอค่ะ”
ได้ยินคำตอบจากแม่คนดื้อแล้วนั้น คามินทร์จำต้องกดเสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง “บ้านเธอหลังไหน ชาลิตา”
“เอ่อ คือว่า”
“คือว่าอะไร หรือที่ทำลีลาอยู่นี่อยากให้ฉัน ‘เอา’ เธอบนรถล่ะตื่นเต้นดีนะ ลองดูไหม...” ทำสายตาหื่นกระหายใส่ จนชาลิตาต้องรีบเผยอปากเอ่ยตอบออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะคะ แค่เชอร์รี่จะบอกว่าบ้านเชอร์รี่ต้องเดินข้ามสะพานไม้ไปอีกค่ะ รถของคุณครามข้ามไม่ได้หรอก”
“ว่าไงนะ” อุทานเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อพาดสายตามองไปยังสะพานไม้ที่จะพังเหล่มิพังเหล่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
ชาลิตาเหลือบหางตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วชี้ไปยังสะพานไม้ดังกล่าว
“ข้ามสะพานนั้นไปค่ะ คุณครามไม่ต้องเสียเวลาลงไปนะคะ ส่งเชอร์รี่แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ”
“ฉันจะไป” เจ้าของคำยืนยันแอบหวั่นพลันเหงื่อตก แต่เขาไม่ย่อท้อ เพราะอย่างไรก็มาถึงที่แล้ว จะถอนทัพกลับคืนก็คงมิใช่
และเมื่อเป็นเช่นนั้นคามินทร์จึงเคลื่อนรถหรูไปจอดทิ้งเอาไว้ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ ก่อนจะกระโดดลงมาจากรถด้วยความรีบเร่ง เมื่อแลเห็นแม่คนตัวเล็กเดินลิ่วๆ นำหน้าไปอย่างไม่สนใจเขาเลย
ให้ตายเถอะ! แม่คุณไม่คิดจะสนใจเขาบ้างหรือไง! ยิ่งเห็นชาลิตาเดินเร็วท่านประธานบริษัทสุดหล่อยิ่งโมโหระคนมันเขี้ยว
‘แบบนี้น่าจะจัดให้อีกสักดอกสองดอก จะได้เดินไม่ไหว! ฮึ่ม!’
“ชาลิตา!” กระชากเสียงห้วนร้องตะโกนเรียก ทำให้เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าแล้วชะโงกหน้าหันกลับมามอง พร้อมย่นคิ้วเรียวสวยเข้าหากันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร?
“รอฉันด้วย” พูดจบรีบจ้ำอ้าวตามหลัง ซึ่งชาลิตาเองก็ยืนรอตามที่เขาสั่งแล้วถึงได้เดินไปพร้อมๆกัน พ่อคนเจ้าเล่ห์สอดมือใหญ่เกี่ยวรั้งเอวบางเข้ามากอด ทำให้หญิงสาวต้องสะบัดตัวออกห่างพลางตวัดมองด้วยความไม่ใคร่พอใจแล้วเอ่ยบอกเหตุผลไปว่า
“เดี๋ยวคนอื่นเห็น เขาจะมองไม่ดีค่ะ”
คามินทร์ได้ยินแล้วกระตุกมุมปากหยักแล้วครางหึๆ ในลำคอ
ครั้นจะแกล้งคนหน้าบางแสนขี้อายก็ไม่ทันเสีย เมื่อแม่คุณรีบสะบัดก้นเดินนำหน้า พร้อมกับก้าวเดินข้ามสะพานอย่างชำนาญ แต่เขานี่สิ!
คามินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมกับยกมือเสยผมที่ละลงปรกหน้าผาก ปากหยักห่อเป่าด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองเห็นสภาพสะพานไม้แล้วเกิดอาการไม่กล้าเดินข้าม
ให้ตาย! สะพานบ้าอะไร เก่าแก่ชะมัด แล้วถ้าเขายื่นเท้าไปเหยียบมันจะไม่ผุเอาหรอกเหรอ
เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ผุดพราย พร้อมกับพิจารณาหาวิธีข้าม ในระหว่างนั้นชาลิตาเดินไปถึงครึ่งทางแล้ว ใบหน้าคมแหงนขึ้นมองตามแผ่นหลังบาง ก่อนจะยกขยับเรียวปากหยักเอ่ยเรียก
“ชาลิตา ชาลิตา” หญิงสาวไม่หัน เพียงแค่ชะงักฝีเท้าแวบเดียว แล้วเดินต่อ ทำให้คามินทร์ไม่พอใจ ชายหนุ่มจึงก่นเรียกแกมสั่งอีกครั้ง
“ชาลิตา หยุดเดินก่อน” และคราวนี้ก็ได้ผล เมื่อชาลิตาหยุดฝีเท้า พร้อมหันหน้ากลับมามอง แล้วเผยอเรียวปากสวยขึ้นเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือคะ”
“คือฉัน” มองหน้าหญิงสาว สลับกับมองสะพาน แต่การกระทำของเขาทำให้ชาลิตาต้องถามซ้ำอีกครั้ง
“อะไรคะ”
คามินทร์ยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อ พร้อมกับทำท่าตวัดท่อนขาแล้วรีบชักเท้ากลับ ยังกล้าๆกลัวๆ จนหญิงสาวเห็นแล้วนึกขำ และพอได้ยินคำตอบของพ่อคุณแล้วนั้น ถึงกับยกมุมปากยิ้มแล้วส่ายศีรษะทุยสวยนั้นเบาๆ
“ฉันกลัวสะพานมันจะผุ” ชาลิตาแลเห็นหัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันพร้อมกับสีหน้ายุ่งๆ ถึงกับส่ายหน้าและหัวเราะแล้วเอ่ยบอกให้เขารับทราบเสียงหวาน
“เชอร์รี่ข้ามทุกวัน ไม่เห็นจะผุ แต่ถ้าคุณครามข้ามไม่ได้ คุณครามจะกลับบ้านเลยก็ได้นะคะ” แม้ประโยคจะออกไปในเชิงขับไล่ ทว่าชายหนุ่มหาได้สะทกสะท้าน ทั้งยังออกคำสั่งเสียงดังกร้าว
“มาช่วยฉันข้ามสะพานนี้ให้ได้ เร็วเข้า!” ให้ตายเถอะ! พ่อคุณ จะพยายามไปถึงไหนกันนะ ชาลิตาคิดในใจก่อนจะใช้สายตาหรี่มองแล้วเอ่ยถาม
“จะให้เชอร์รี่ช่วยอย่างไรล่ะคะ”
“อย่ามัวแต่พูด มาช่วยฉันเดี๋ยวนี้” กระนั้นชาลิตายังยืนนิ่ง สาวเจ้าไม่ยอมเดินมารับเขาข้ามไปด้วย ทำให้คนใจร้อนต้องเร่งเร้าพร้อมยังข่มขู่ตามฉบับ
“ชาลิตา! ถ้าเธอกล้าปฏิเสธฉันล่ะก็ เดือนนี้ฉันจะหักเงินเดือนเธอครึ่งหนึ่ง”
สาวเจ้าค้อนขวับด้วยความไม่พอใจ เอะอะหักเงินเดือนๆ น่าโมโหไหมล่ะ! อย่าให้ถึงคราวเชอร์รี่เอาคืนล่ะกัน! ฮึ่ม! คิดได้เช่นนั้นสาวเจ้าจึงเดินย้อนกลับมาที่เดิม ก่อนจะยื่นมือออกไปรับเอาคนตัวใหญ่ให้ข้ามสะพานมาพร้อมกับตน
“ส่งมือมาค่ะ”
คามินทร์ไม่รอช้ารีบส่งมือมาจับมือเรียวเล็ก และตลอดทางที่เดินบนสะพาน ชาลิตาต้องก้มหน้าแล้วแย้มมุมปากขำคนตัวใหญ่ที่หวาดกลัวเกินเหตุ ก็มือพ่อคุณน่ะสิ! เย็นเฉียบทั้งยังเกาะแน่นยิ่งกว่ามือตุ๊กแกเสียอีก น่าขำชะมัด!
กว่าชาลิตาจะพาเจ้านายตัวใหญ่ข้ามสะพานมาได้สำเร็จนั้นกินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“ฟู่! ถึงสักที” พ่นลมหายใจออกมาเมื่อรู้สึกโล่ง ก่อนจะหันปลายเท้าเดินตามหลังเจ้าของร่างบางที่เดินนำลิ่วๆ ไปยังบ้านไม้หลังเล็กกะทัดรัด
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน เสียงเข้มของคามินทร์เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เธออยู่กับใคร” กระนั้นชาลิตาไม่ได้สนใจมาโต้ตอบ สาวเจ้ายังใช้มือเล็กแกะประตูรั้วบ้าน จนเจ้าของนัยน์ตาคมมองเห็นแล้วต้องชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ และจึงได้พ่นเสียงห้วนถามไถ่อีกครั้ง
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง ชาลิตา”
“เชอร์รี่อยู่กับแม่ค่ะ” พูดจบเดินนำหน้าชายหนุ่มเข้าไปข้างในบ้าน คามินทร์รีบสอดตัวเดินตาม พลางสอดส่ายสายตามองหามารดาของหญิงสาว ทว่าหาเท่าไรก็ไม่เจอ ทำให้พ่อคนขี้สงสัยต้องกระตุกปากหยักเอ่ยถาม
“แล้วท่านอยู่ไหนล่ะ”
ครั้นจะเงียบปากก็กระไร ชาลิตาจำต้องหันมาเผชิญหน้าพ่อคนช่างสงสัย แล้วตอบกลับอย่างน่ามันเขี้ยว “ถามหาท่านทำไมหรือคะ จะจีบแม่เชอร์รี่หรือไง” จีบเป็นลูกเขยน่ะไม่แน่!...ประโยคหลังชายหนุ่มต่อเองในใจ แล้วจากนั้นจึงได้พ่นเสียงห้วนใส่หญิงสาวเป็นเชิงตำหนิหน่อยๆ
“ฉันถามเธอดีๆนะ”
“เชอร์รี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” คามินทร์ถึงกับอึ้ง เมื่อเจอผู้ช่วยเลขาสาวคนสวยสัพยอกกลับคืน ให้ตายเถอะ!
“ชาลิตา!” เจ้าของชื่อหันกลับมา พร้อมกับระบายยิ้มหวานมอบให้ ในขณะที่เรียวปากสวยนั้นยกขยับขึ้นลงครั้นเอ่ยกับเจ้านายตัวใหญ่จอมวางมาดแสนดุ
“ค่ะๆ คุณแม่ท่านอยู่ครัวมั้งคะ เดี๋ยวคุณครามนั่งรออยู่โซฟาก่อนนะคะ เดี๋ยวเชอร์รี่ไปหาน้ำเย็นๆ มาให้ดื่ม แล้วก็จะตามคุณแม่มาด้วย”
ทว่า...คามินทร์หย่อนสะโพกลงนั่งก้นไม่ทันอุ่น ก็ได้ยินเสียงชาลิตาคุยกับมารดา ระหว่างที่สาวเจ้ากำลังจะเดินเข้าไปยังห้องครัว
“เชอร์รี่มาแล้วเหรอลูก ทำไมถึงกลับค่ำนักล่ะวันนี้”
“พอดีหนู เอ่อ” จะให้บอกมารดาได้อย่างไรล่ะ ก็สาเหตุที่กลับบ้านค่ำน่ะ มันน่าอับอายสุดๆ ทางด้านแม่ชะเอม เมื่อเห็นบุตรสาวมีท่าทีอึกอัก จึงเร่งเสียงหวานทักถาม
“อะไรล่ะฮึ!”
“งานยุ่งนิดหน่อยน่ะจ้ะ” ระหว่างนั้น สายตาของแม่ชะเอมมองผ่านเลยไหล่ลูกสาวข้ามไปยังโซฟา และพบกับผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ แต่ทว่านางไม่ได้เอ่ยถาม ‘แขก’ ผู้มาเยือน
“แล้วนั่นใครน่ะลูก”
ชาลิตาทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะปรับอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยบอกมารดา
“อ้อ คุณคามินทร์น่ะค่ะ เป็นเจ้านายเชอร์รี่เองจ้ะแม่” ไม่ทันที่ชาลิตาจะแนะนำ คนอยากฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกเขยผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาหา และรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ไหว้พระเถอะค่ะคุณ” แม่ชะเอมรับไหว้ ก่อนจะเอ่ยบอกกับเจ้านายของบุตรสาว
“นั่งก่อนนะคะ และถ้าไม่รังเกียจอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ”
“ครับ” ขานรับด้วยถ้อยคำสั้นๆ หากแต่คามินทร์นั้นยินดีปรีดาสุดๆ ขณะที่ชาลิตาแทบบ้าตาย ให้ตายเถอะ! ขนาดว่ายอมให้มาบ้านด้วยแล้วยังไม่พอ พ่อคุณยังจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยอีก พระเจ้า!
“มะ แม่” แม่ชะเอมทำเป็นไม่สนใจเสียงหวานที่ทำท่าจะคัดค้านจากบุตรสาว ทั้งยังเอ่ยสั่งสำทับไปอีกว่า “ไปยกสำรับมาสิ! แม่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ” เมื่อครั้นหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาลิตาจึงทำได้เพียงขานรับเสียงแผ่ว
“ค่ะ”
จากนั้นร่างบอบบางได้เดินหายเข้าไปในครัว เพื่อยกอาหารมาให้ ‘แขก’ คนสำคัญ
“พอกินได้ไหมคะ เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ ตอนนี้ดิฉันกำลังให้เชอร์รี่เจียวไข่ให้คุณอยู่น่ะค่ะ” แม่ชะเอมเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเจ้านายของลูกสาว มีสีหน้าและอาการเก้ๆกังๆ ในการหยิบผักลวกไปจิ้มน้ำพริกแล้วส่งเข้าปาก การกระทำก็ไม่ต่างจากเด็กที่เพิ่งหัดกิน
“กินได้ครับ สบายมาก” แย้มมุมปากหยักลึกอย่างสบายๆ แต่แม่ชะเอมเห็นแล้วได้แต่ส่ายศีรษะและทานข้าวต่อ ส่วนคามินทร์ก็ยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยบอกกับว่าที่แม่เมียว่า “เรียกผมว่าครามก็ได้ครับ”
“จ้ะ พ่อคราม”
จากนั้นไม่นานชาลิตาเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมกับกลิ่นหอมของไข่เจียวที่ลอยมาแตะจมูกของอีกคน ไม่ทันที่คามินทร์จะเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมา เสียงหวานของผู้ช่วยเลขาสาวพลันเอ่ยขึ้น
“ไข่เจียวธรรมดาไม่มีหมูสับใส่ คงทานได้นะคะ”
“สบายมาก”
พูดจบคนที่กำลังเผ็ดจากการกินผักลวกจิ้มน้ำพริก รีบตักไข่เจียวเข้าปากทันที พร้อมกับทำท่ากระอักกระอ่วน จนแม่ชะเอมอดเย้าไม่ได้
“ค่อยๆ ทานก็ได้จ้ะพ่อคราม เพิ่งออกมาจากไฟใหม่ๆ คงจะร้อนน่าดู” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ ด้านชาลิตาได้แต่ก้มหน้าแล้วหัวเราะคิกๆ กับภาพน่ารักๆ ของเจ้านายหนุ่มจอมเนี๊ยบ!
นัยน์ตาคมกริบหันมาคาดโทษ ทำเอาสาวเจ้าต้องรีบกลบเกลื่อนอาการของตนด้วยการตักอาหารใส่จานมารดา ก่อนจะหันมาตักใส่จานของตนเอง คามินทร์เห็นอากัปกิริยาของแม่คุณแล้วมันเขี้ยวสุดๆ
เข็มสั้นของนาฬิกากำลังเคลื่อนเข้าใกล้เลขแปด หัวใจดวงน้อยยิ่งตุ้มๆต้อมๆ เพราะถ้าเข้างานไม่ทันวันนี้ ชีวิตการทำงานของเธอก็จบเห่น่ะสิ! มาสายสามครั้งติดต่อกันแล้ว และถ้าวันนี้ไปสายอีก ความฉิบหายมาเยือนแน่!
ไม่คิดว่าการมาคลาดกับรถประจำทางแค่สองนาที จะทำให้เธอต้องทนยืนบนรองเท้าส้นสูงขนาดสี่นิ้วเป็นเวลานานเช่นนี้ ใบหน้างามหันไปมองป้าย ครั้งแล้วครั้งเล่า เดินไปดูที่ต้นทางก็ไร้วี่แววของพาหนะคันใหญ่จะเคลื่อนคลานเข้ามา
ให้ตายเถอะ!
และในจังหวะที่ชาลิตากำลังจะเดินกลับเข้าไปนั่งรอรถ ทันใดนั้นเสียงเบรกของล้อรถครูดกับพื้นถนนจนได้กลิ่นดอกยางไหม้คลุ้ง
“สวัสดีครับคุณชาลิตา” เสียงนุ่มทุ้มชวนฟังเอ่ยทักทายหลังจากลดกระจกฝั่งผู้โดยสารลง และบุรุษรูปงามที่นั่งหลังพวงมาลัยนั้นทำเอาชาลิตาต้องอ้าปากค้างไปสามวินาที
“อะ อ้าวคุณเตวิชญ์ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ผู้จัดการฝ่ายบัญชีอย่างนอบน้อม ครั้นดึงสติกลับคืนมาได้
“ครับผม ว่าแต่คุณชาลิตารอรถอยู่หรือครับ” ถามแปลกๆ นะพ่อคุณ อยู่ป้ายรถเมล์จะให้รอใครเล่า!
“ใช่ค่ะ นานแล้วด้วย ไม่รู้เมื่อไรจะมา เพราะปกติรถจะไม่ขาดช่วงนานขนาดนี้อะค่ะ”
“งั้นไปพร้อมกับผมก็ได้ เชิญคุณชาลิตาคุณรถเลยครับ” พูดจบชายหนุ่มกดปลดล็อกประตูให้ แต่ชาลิตายังลังเลกอรปกับก้มมองหน้าปัดนาฬิกา แล้วหันไปมองต้นทางที่รถประจำทางจะวิ่งมา
“ขึ้นมาเถอะครับ ทำงานที่เดียวกัน ไปด้วยกัน รักษ์โลกด้วย”
“เออ คือว่า” ชาลิตาลังเล เพราะถ้าใครบางคนเห็นว่าเธอติดรถมากับผู้จัดการอะไรมันจะบังเกิดขึ้น แต่ว่าถ้าไม่ไปพร้อมกับเขา เธออาจจะไปถึงที่ทำงานสายก็เป็นได้
“เร็วครับ ประเดี๋ยวถึงที่ทำงานสายนะครับ”
“เออ... ค่ะ” พูดจบมือเล็กเอื้อมเปิดประตู พร้อมกับสอดร่างบอบบางนั่งข้างคนขับ และตลอดระยะเวลาที่นั่งรถมาด้วยกันนั้น เตวิชญ์ชวนหญิงสาวพูดคุยไม่หยุด ถามโน่น คุยนี่ ในขณะที่ชาลิตาเองรู้สึกผ่อนคลาย และมองว่าเขาคือคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง เขาไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เม้าท์เลยสักนิด!
และเมื่อรถหรูแล่นมาถึงหน้าตึกใหญ่ของเอ็มพีกรุ๊ป เตวิชญ์ก็จอดรถให้ผู้โดยสารสาวคนสวยลง และชาลิตาเองก็ไม่ลืมเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปยังตัวอาคาร รีบไปลงชื่อเข้าทำงาน เรียกได้ว่าฝ่าเส้นยาแดงพอดี
เพราะเป็นเวลา 07.59 น.
“รอดตายแล้ว...” พึมพำกับตนเองระหว่างที่เดินมายังโต๊ะทำงาน และเรื่องไม่คาดฝันพลันบังเกิด เมื่อจู่ๆ มือใหญ่แข็งแรงฉุดกระชากเธอเข้าไปปะทะอกกว้างกระด้าง
“ว้ายยย! ปล่อยนะคะ” ร้องบอกเสียงหลง ทว่าเจ้าของการกระทำดังกล่าวหาได้สนใจ ซ้ำยังกรอกเสียงห้วนกร้าวออกไปอย่างไม่ยี่หระ
“ถ้าไม่อายเพื่อนร่วมงานก็แหกปากร้องดังๆ เล้ยยย!”
“คุณคราม ปล่อยฉันนะคะ” ขืนกายออกห่างแต่ทว่าไร้ผล เมื่อผู้บริหารหนุ่มสุดหล่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เพราะเขาไม่พอใจที่เห็นหญิงสาวนั่งรถมากับ ‘ผู้ชายคนอื่น’
“ไม่ปล่อย” พูดจบกระชากร่างบางเข้าไปข้างในห้องทำงานใหญ่ของตน ส่วนพนักงานคนอื่นๆได้แต่มองตามแต่ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากเอื้อนเอ่ย แต่ทว่าลับหลังเจ้านายล่ะก็ โอ้โห! เม้าท์กันให้แซด! เสียยิ่งกว่าตลาดสดอีก!