๒๖
"...วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหมน้ำ" คนถามยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยเล็กของภรรยาสาวไปมาอย่างอ่อนโยน วันนี้เขามารับเธอในช่วงเที่ยงของวันและพาไปที่นาข้าวเพื่อที่จะได้ทานมื้อกลางวันพร้อมกัน ความประทับใจเล็กๆ คือน้ำใจไม่เคยบ่น เวลาเห็นเธอมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าความสุขที่เธอแสดงมันออกมาไม่ได้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำมันทำให้เขารู้สึกดี
"วันนี้แดดแรงนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้เลยรู้สึกล้าแดด" คนตัวเล็กยิ้มแห้ง เธอถือปิ่นโตไปไว้ที่หลังกระบะ ในขณะที่คนตัวโตยกตะกร้าที่ในนั้นมีผักและผลไม้ขึ้นไปไว้ที่หลังกระบะเช่นกัน
"แม่พี่เป็นชาวนา พี่ที่เป็นลูกชาวนาก็เลยต้องตากแดดเสี่ยงตัวดำ"
"ไม่เห็นพี่ภาสจะดำตรงไหนเลยค่ะ ผิวละเอียด หน้าก็หล่อด้วย"
"หล่อจริงดิ ปกติชอบมีคนชมพี่แบบนี้ แต่พี่ไม่เคยรู้สึกดีเหมือนที่เมียตัวเองชมเลยนะ"
"เหรอ..." หญิงสาวลากเสียงหยอกเย้า เขาชอบหยอดคำหวาน ชอบออดอ้อนให้เธอยิ้มแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
"เบื่อหรือเปล่า ที่แต่ละวันพบแต่ทุ่งนาและต้นข้าว"
"ไม่เบื่อหรอกค่ะ ทุกวันนี้น้ำมีความสุขดี"
"พี่ดีใจที่ได้ยินคำตอบแบบนี้นะ ตอนนี้พี่เองก็มีความสุขมากเหมือนกัน หวังแหละว่าอีกไม่นานเราจะมีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเติมเต็ม อีกสักสิบยี่สิบปีข้างหน้า ความสุขในตอนที่มีทั้งลูกคนเล็กและคนโต คงเป็นภาพที่ทำให้พี่หุบยิ้มไม่ลง" เจ้าของคำพูดโน้มตัวเข้ามาใกล้พลางทาบทับเรียวปากบนหน้าผากมนเบาๆ ความอบอุ่นอ่อนโยนของเขาส่งผลให้หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมา
ในช่วงทุ่มกว่าที่รถยนต์วิ่งบนท้องถนนขณะกลับบ้าน เสียงเพลงรักดังขับคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศภายในรถไม่ให้เงียบมากจนเกินไป บนสนทนาระหว่างสามีภรรยาดังขึ้นเป็นระยะ กระทั่งรถยนต์ติดสัญญาณไฟแดงขึ้นมาพอดี
พลขับยกมือขึ้นมาประนมกระทันหัน คำพูดที่ดังออกมาจากเรียวปากบางส่งผลให้คนตัวเล็กหันมองทันที
"...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาคนที่ผมรักด้วยครับสาธุ ...เมื่อกี้น้ำเห็นดาวตกแบบพี่ไหม"
"พี่ภาสเห็นดาวตกเหรอคะ น้ำไม่ทันมอง อดเห็นเลยค่ะ"
"นานๆ พี่จะเห็นทีนะ แต่ปกติแล้วจะชอบเห็นในช่วงเวลาดึกของที่บ้าน ไม่เคยพบระหว่างทางและเวลาหัวค่ำแบบนี้เลย เขาว่ากันว่า หากใครเห็นตอนที่ดาวตกให้อธิษฐานอะไรสักอย่าง เชื่อว่าคำขอนั้นจะเป็นจริง"
"น้ำเคยได้ยินค่ะ แต่ไม่บ่อยเลยที่จะเห็น หากพี่ภาสโชคดีเห็นอีก น้ำอยากให้พี่ภาสขอให้ตัวเองสุขภาพดี หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แบบนั้นมากกว่านะคะ"
"แต่พี่ก็แข็งแรงดีอยู่แล้วนะ" คนตัวเล็กเอียงคอมองเมื่อได้ยินแบบนั้น จริงๆ แล้วตลอดเวลาสองเดือนกว่าที่เธออยู่กับเขาแทบตลอดเวลา เท่าที่เห็นสามีของเธอเขาสุขภาพดี ไม่เคยหลุดอาการเจ็บป่วยให้เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่โรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ และยาที่เขาต้องกินทุกๆ วัน ทำให้เธอไม่ลืมว่าเขายังป่วย และเธอก็คาดหวังที่จะให้เขาหายดี
"หากวันไหนพี่ภาสว่างๆ เราไปทำบุญกันไหมคะ น้ำอยากถวายสังฆทาน"
"พี่เองก็อยากเลี้ยงพระที่บ้านเหมือนกัน อยากทำแต่ไม่เคยมีโอกาส พอมีเมีย ชีวิตพี่ก็มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นหลายอย่างเลยนะ รู้สึกว่าบ้านเป็นบ้าน รู้สึกว่าได้กินอิ่มนอนหลับ รู้สึกว่าชีวิตมันมีความหวัง อยากที่จะทำอยากที่จะปลูก อยากสร้างอนาคตไว้ให้ลูกๆ ของเรา"
"ขอบคุณนะคะที่พี่คิดไปไกลถึงขนาดนั้น หากวันหนึ่งเขามาอยู่กับเราจริงๆ หากเขารู้ว่าพ่อคิดที่จะสร้างทุกอย่างให้เขาขนาดไหน เขาคงดีใจและมีความสุขมาก"
"พี่รักน้ำนะ อดีตไม่ว่าเราสองคนจะผ่านอะไรมา พี่ไม่ถือสาอะไรเลยสักอย่าง ไม่คิดจะกลับไปพูดถึงอะไรเลยด้วยซ้ำ พี่แคร์แค่ปัจจุบัน พี่จะดูแลน้ำ ปกป้องน้ำ ไม่ให้ใครเข้ามาทำให้น้ำเสียใจได้อย่างแน่นอน"
"น้ำเองก็พยายามที่จะทำทุกอย่างให้มันดีที่สุดเหมือนกันค่ะ หากวันหนึ่งมีโอกาสได้เป็นแม่ น้ำจะพยายามเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ วันนี้เป็นภรรยา ก็จะเป็นภรรยาที่ดีของสามีด้วยค่ะ" มือหนารั้งศีรษะทุยเล็กเข้าหาตัวพลางยิ้มกว้าง ส่งผลให้หญิงสาวขยับตัวเข้าไปหา วางศีรษะแนบลงที่บ่าแกร่งในท่าผ่อนคลาย สอดแขนขาวผ่องเข้าไปสวมกอดที่เอวสอบ ไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนที่พอได้กอดเขาแล้วรู้สึกชื่นใจ เป็นไปได้ว่า ในช่วงเวลาหนึ่งที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เห็นหน้ากันทุกวัน การเปิดใจทำให้เกิดความผูกพัน
@หลายวันต่อมา
"...หนูน้ำไหวไหมคะ ถ้าวันนี้ไม่ไหวจริงๆ ให้ป้าไปวัดแทนก็ได้นะคะ" ป้าหมอนพยุงภรรยาของเจ้านายที่เซจนเกือบล้มให้ไปนั่งเอนตัวอยู่โซฟาในห้องนั่งเล่น
วันนี้วันพระ น้ำใจและสามีคุยกันเอาไว้ว่าวันนี้จะไปทำบุญที่วัด เธอตื่นแต่เช้า หวังที่จะทำกับข้าวใส่ปิ่นโตด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นการทำไปเวียนหัวไป เธอรู้สึกคลื่นไส้แปลกๆ มันเป็นอารมณ์ที่เข้ามากวนใจ แม้จะไม่ได้ส่งผลถึงขนาดว่าลุกเหินหรือหยิบจับอะไรไม่ไหว แต่หลังจากที่เตรียมของใส่ปิ่นโตเรียบร้อยแล้ว เธอก็ต้องมานั่งพักร่าง เอนกายระหว่างที่คอยสามีเพราะเวียนหัวมากจริงๆ
"น้ำไหวค่ะป้าหมอน อาจจะเป็นเพราะว่าตื่นเช้าไปหน่อย พี่ภาสยังไม่กลับเหรอคะ"
"พึ่งไปถึงโรงพยาบาลค่ะ ป้าให้นังปุ้ยโทรไปถาม คุณเขาจะรีบกลับค่ะ"
"เดี๋ยวน้ำจะลุกไปเก็บดอกไม้หลังบ้านไปใส่บาตรค่ะ พี่ภาสกลับมาจะได้ไปกันเลย"
"หนูไหวเหรอคะ ทั้งทำกับข้าวกับปลาไปวัด เตรียมอาหารเช้าไว้ให้สามีหลังจากที่กลับจากวัดด้วยตัวเองอีก คุณตื่นเช้ามาก ตอนนี้หน้าก็ซีดมากป้ากลัวว่าหนูจะไม่ไหวนะคะ"
"อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเวียนหัวค่ะ ได้กลิ่นอาหารบางอย่างก็อยากจะอาเจียนออกมา"
"ท้องหรือเปล่าคะ" คำถามจากป้าแม่บ้านที่เคารพนับถือส่งผลให้คนฟังชะงักไป น้ำใจเผลอนึกอะไรเงียบๆ เธอทำหน้าที่เมียด้วยความเต็มใจ และไม่เคยมีครั้งไหนที่ทั้งเธอและเขาป้องกัน บางทีเรื่องนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้
"ยังไม่รู้เลยค่ะป้า น้ำพึ่งมีอาการวันนี้เป็นวันแรก"
"ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่กลับจากวัดกินข้าวกินปลาให้อิ่มกันก่อน จากนั้นให้คุณเขาพาไปโรงพยาบาลนะคะ ผู้หญิงอย่างเราเรา เวลาเจ็บป่วยมักจะเป็นได้หลายอย่าง อาจจะมีทั้งอันตรายและไม่อันตราย แต่ป้าว่า คราวนี้เราอาจจะได้ยินข่าวดีค่ะ"
"จริงเหรอคะ"
"หนูน้ำดูมีน้ำมีนวลขึ้นค่ะ ถึงแม้ว่าป้ากับตาพัฒน์จะไม่เคยมีลูก แต่ก็เลี้ยงหลานอย่างนังปุ้มปุ้ยมาตั้งแต่เด็ก คลุกคลีกับน้องสาวที่เป็นแม่ของนังปุ้ย ตั้งแต่เริ่มตั้งท้องจนกระทั่งตอนคลอด ป้าว่าเราอาจจะได้รับข่าวดีนะคะ" น้ำใจยิ้มกว้าง หัวใจดวงน้อยมันเต้นแรงขึ้นมาแปลกๆ คล้ายกับคนที่กำลังมีความหวัง มันทำให้เธอคิดถึงใบหน้าของสามีทันที หากสิ่งที่ป้าหมอนพูดมันคือเรื่องจริง สามีของเธอคงดีใจมากๆ เหมือนที่เธอในตอนนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากไม่ต่างกัน
เจ็ดโมงกว่า ภรรยาสาวของเจ้าของบ้านเหลือบตามองเวลาเพียงนิด มือเรียวเผลอลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆ ช่วงที่นอนพัก เผลอคิดไปแล้วว่าหากมีลูก ลูกจะหน้าเหมือนใคร และวินาทีที่ คุณหมอตรวจจนละเอียดและยืนยันว่าเธอตั้งครรภ์สามีของเธอเขาจะทำหน้าแบบไหน เขาจะตื่นเต้นมากไหม เพียงแค่คิดความรู้สึกอิ่มเอมใจมันก็ประเดประดังเข้ามา
ช่วงเช้ามืดของวันนี้ ระหว่างที่เธอกำลังเข้าครัว กลับมีสายด่วนจากคนงานที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันโทรมาหาบอกว่ามีคนตกบันได ความมีน้ำใจที่เธอเห็นเขามีให้กับทุกคนมาโดยตลอดทำให้สามีของเธออาสาที่จะพาคนงานไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง และในตอนนี้เธอก็กำลังรอให้เขากลับมา
"น้ำดีขึ้นแล้วค่ะ น้ำจะไปเก็บดอกไม้นะคะ พี่ภาสคงใกล้ถึงแล้ว"
"งั้นป้าไปช่วยคุณนะคะ" คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ มีอาการเวียนหัวแทรกผ่านในจังหวะที่หยัดกายลุกบ้าง จากนั้นเธอและป้าหมอนก็เดินไปที่สวนดอกไม้หลังบ้านพร้อมกัน
ดอกดาวเรืองแผ่กิ่งก้านผลิดอกเหลืองอร่ามให้สบายตา มือเรียวเกี่ยวช่อดอกไม้พลางใช้กรรไกรตัด จนกระทั่งเก็บได้ในปริมาณที่เพียงพอ ปุ้มปุ้ยจึงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
"คุณน้ำคะคุณน้ำ คุณน้ำ"
"นังปุ้ย อะไรของแก อีนังคนนี้นี่"
"ป้า คะ คุณน้ำคะ โทรศัพท์ค่ะ โทรศัพท์จากโรงพยาบาล" ปุ้มปุ้ยยื่นโทรศัพท์บ้านให้กับเจ้านายสาวด้วยมือที่สั่นเทาในขณะที่น้ำตาคลอเบ้า
"พี่ภาสเหรอคะ..." หัวใจดวงน้อยเต้นแรงแปลกๆ ในขณะที่สบตากับแม่บ้านสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ปุ้มปุ้ยก้มหน้า มีเพียงน้ำตาเม็ดโตที่ร่วงเผาะออกมา
"ฮัลโหล น้ำพูดค่ะ..."
[ คุณเป็นภรรยาของคุณประภาสใช่ไหมคะ... ] การเอ่ยถามแบบเป็นทางการทำใจเธอสั่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตอบรับออกไปแทบจะทันที
"ค่ะ ดิฉันเป็นภรรยาของคุณประภาส..."
[ ทางโรงพยาบาลได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ตกอ่างเก็บน้ำ มาทราบในตอนหลังว่าเป็นรถยนต์ของใคร รบกวนญาติมาที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ ] คล้ายมีค้อนหนักๆ ฟาดลงมาที่กลางศีรษะ น้ำตาเม็ดโตไหลพราก ยากแค่ไหนกว่าจะประคองสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ เธอไม่ได้ฟังว่าคนที่ติดต่อกลับมาพูดอะไรต่อจากนั้นบ้าง แต่วินาทีที่ตั้งสติได้ เธอตรงออกไปนอกบ้าน มองหารถที่จะไปโรงพยาบาลด้วยอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"คุณคะ ใจเย็นๆ นะคะ เราต้องหาคนมาขับรถให้ก่อนค่ะ"
"น้ำไม่รอค่ะป้า น้ำจะรีบไปหาพี่ภาสที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้"
"หนูน้ำ..."
"พี่ปุ้ยช่วยน้ำหน่อยค่ะ เอารถมอเตอร์ไซค์ออกให้น้ำทีค่ะ น้ำจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงพยาบาลเอง พี่ปุ้ยเร็วค่ะ" ปุ้มปุ้ยที่ร้องไห้เหมือนรู้ทุกอย่างก่อนใครรีบลนลานเอารถออกให้เจ้านายสาว ทั้งสงสารเจ้านาย ทั้งสงสารภรรยาของเจ้านายที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มอยู่ในตอนนี้
"เดี๋ยวปุ้ยขับเองค่ะ คุณน้ำซ้อนปุ้ยนะคะ" ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปฏิเสธหรือรีรออีกต่อไป คนตัวเล็กก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่มีปุ้มปุ้ยเป็นคนขับ เป้าหมายคือการไปที่โรงพยาบาลทันที
สองมือยกประนมตลอดระยะเวลาของการเดินทาง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาสามีของเธอในครั้งนี้ ขอให้คุ้มครองชายหนุ่มที่พร่ำบอกว่ารักเธอ ดูแลเธอ ให้ค่าและให้เกียรติเธออย่างเขา ขออย่าให้เขาเป็นอันตราย อย่าให้เกิดสิ่งไม่ดีร้ายๆ หรืออื่นใดกับเขาทั้งนั้น
แต่เหมือนกับว่าปาฏิหาริย์ไม่ได้มีอยู่จริง
"...ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณประภาส นาราอภิบาลที่ประสบอุบัติเหตุขับรถตกอ่างเก็บน้ำ เธอเสียชีวิตแล้วค่ะ" คล้ายมีสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจ เรี่ยวแรงที่มีรั้งเธอให้ยืนไม่ไหว มวลสมองมันหนักอึ้ง น้ำตาไหลออกจากสองตาจนม่านตาพร่ามัว เพราะความที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับความผิดหวัง ส่งผลให้สติของหญิงสาวดับวูบลงไป