เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้เด็กๆ เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามกันแล้ว ส่วนแพนด้าน้องเล็กสุดท้องลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ขวัญและพ่อเสือ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง สิงโตกันยาและตุลาเรียนอยู่ห้องเดียวกัน จึงทำให้ทั้งสามสนิทสนมกันมาก เหมือนกับพี่น้องที่คลานตามกันมา
ในเวลานี้เด็กหญิงในชุดนักเรียนมอต้นถักผมเปียสองข้าง กำลังนั่งหน้างอรอพี่ชายอยู่ที่ระเบียงของบ้าน เพราะตุลาและสิงโตมักจะมาช้า และที่สำคัญตอนนี้ก็ใกล้เวลาเข้าแถวแล้วด้วย จึงทำให้เด็กเรียนอย่างกันยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันที
"อ้าว! กันยายังไม่ไปโรงเรียนเหรอลูก แล้วพวกพี่ๆ ไปไหนกันล่ะ นี่ก็สายมากแล้วนะ ทำไมยังไม่มาจากบ้านนู้นกันอีกเหรอ" ฮันน่าเดินเข้าไปทักลูกสาว พร้อมกับเอ่ยถามมาด้วยความสงสัย เพราะตุลาและสิงโตเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว ทั้งสองจึงนอนอยู่ที่บ้านน็อคดาวน์ ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ชายหนุ่มทั้งสองนั้น ชอบใช้เวลาส่วนตัวอยู่ที่นั่นและบ่อยครั้งที่ทั้งคู่มักจะไปนอนค้างอ้างแรมตามประสาหนุ่มๆ ซึ่งสิงโตได้ขอผู้เป็นบิดาปลูกบ้านหลังเล็กไว้ท้ายไร่ ที่นั่นมีลำธารที่น้ำไหลผ่านตลอดปี จึงทำให้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่น จนบางครั้งก็ไม่อยากจะลุกตื่นขึ้นมา และนั่นคงเป็นเหตุผลในวันนี้ที่ทั้งสองมาสายเฉกเช่นหลายๆ ครั้ง
“ยังไม่มาเลยค่ะแม่ เมื่อกี้แพนด้าก็เดินมาตามพ่อเสือรอตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าสิงโตกับตุลามัวทำอะไรอยู่ถึงได้มาช้าจัง อีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้ว กันยาไม่อยากไปสาย" เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงบอกบุญไม่รับ เธออุตส่าห์ตื่นแต่เช้า เพราะนัดติวข้อสอบกับเพื่อนๆ แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ เพราะสองหนุ่มนั้นแท้ๆ
“กันยา เสร็จหรือยังลูกพ่อเสือและทุกคนรอนานแล้วนะ" ขวัญข้าวเดินมาที่เรือนของฮันน่า พร้อมกับขึ้นบันไดมาหากันยา เพราะอัครเดช สิงโต ตุลาและแพนด้ารออยู่ที่รถเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว! สิงโตกับตุลามาแล้วเหรอคะแม่ขวัญ ทำไมกันยาไม่เห็นเดินผ่านเลยค่ะ นั่งรอตั้งนานแล้ว" กันยาหยิบกระเป๋าเป้ ที่เต็มไปด้วยตำราเรียนขึ้นมาสะพาย พร้อมกับปิ่นโตมื้อกลางวันที่มารดาของเธอได้เตรียมเอาไว้ให้
“สองคนเดินอ้อมไปทางบ้านหลังโน้น รีบไปเถอะจ้าสายแล้ว" ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ขวัญข้าวก็เป็นผู้หญิงที่พูดจาไพเราะและอ่อนโยนกับทุกคนเสมอ
“กันยาไปเรียนแล้วนะคะ สวัสดีค่ะแม่ฮันน่าสวัสดีค่ะแม่ขวัญ" เด็กหญิงกันยายกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นมารดาและก็แม่ขวัญของเธอก่อนจะเดินลงจากเรือนไป เด็กๆ มักจะเรียกทั้งสามว่าแม่ขวัญพ่อเสือ และก็แม่ฮันน่า เนื่องมาจากพวกเขาโตมาด้วยกัน แม้แต่แพนด้าเองก็ยังเรียกฮันน่าว่าแม่เช่นกัน เพราะได้ยินพวกพี่ๆ เรียกกันจนติดปาก
เมื่อกันยาเดินลงบันไดไปขวัญข้าวรีบเข้ามานั่งตรงข้ามกับฮันน่า เวลานี้ใบหน้าของหญิงสาว เต็มไปด้วยความกังวล เมื่อสามีเล่าให้ฟังในสิ่งที่ฮันน่าได้ตัดสินใจ เธอกับลูกๆ กำลังจะไปจากที่นี่
“พี่ฮันน่าตัดสินใจดีแล้วเหรอคะ ขวัญไม่อยากให้พี่ไปเลย พวกเด็กๆ คงคิดถึงกันน่าดู สิงโต กันยา ตุลา ทั้งสามโตมาด้วยกัน พวกเขาแทบจะไม่เคยจากกันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่แพนด้าเองก็รู้สึกผูกพันกับพี่ๆ ไม่น้อยไปกว่าพวกเขาสามคน" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสั่นเครือของขวัญข้าว ทำให้ฮันน่าพอจะที่จะเข้าใจ เธอเองก็ไม่อยากที่จะจากไป แต่เพราะความจำเป็น เมื่อร้านดอกไม้ที่กรุงเทพฯ มีปัญหา พี่สาวของเธอไม่มีเวลาดูแลให้ เพราะเรยาก็มีครอบครัว ที่สำคัญงานที่โชว์รูมก็มีมากพออยู่แล้ว ฉะนั้นเธอจะควรกลับไปดูแลกิจการด้วยตัวเอง
"ขวัญ...พี่เองก็ไม่อยากจากที่นี่ไปหรอกนะ เพราะไร่กวางกมลก็ไม่ต่างจากบ้านของพี่ ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นมิตรดังญาติพี่น้องของพี่ โดยเฉพาะขวัญกับบอส รวมถึงแม่เลี้ยงกวางกมล แต่ขวัญต้องเข้าใจพี่นะ พี่อยากกลับไปทำตามความฝัน พี่ใช้เวลาศึกษามาหลายปี มันถึงเวลาแล้วที่พี่จะกลับไปดูแลเองสักที"
ฮันน่าคว้ามือเล็กของขวัญข้าวมากุมเอาไว้ พร้อมกับดวงตาที่แน่วแน่และคำพูดที่หนักแน่น เพราะเธอคิดว่าแม้ที่นี่จะเป็นเหมือนบ้าน แต่ก็ไม่ใช่บ้านของเธออยู่ดี เธอควรจะทำอะไรสักอย่างไว้ให้ลูกทั้งสอง อีกไม่กี่ปีกันยาและตุลาก็จะเข้าเรียนมหา'ลัย นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้น เธอควรจะจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง
“เมื่อพี่ตัดสินใจดีแล้วขวัญก็คงจะห้ามไม่ได้ ใช่ไหมคะ แพนด้าไม่เท่าไหร่แต่เจ้าสิงโตสิ คงจะอาละวาดน่าดู" ฮันน่าเองก็รู้สึกใจหาย ความรู้สึกแบบนี้เธอเคยเจอมาแล้วกับตัว การที่จะต้องหนีไปจากใครสักคนทั้งที่รู้สึกผูกพันมันเจ็บปวดแค่ไหนเธอเข้าใจดี แม้เวลาจะผ่านมาเป็นสิบแต่ความรู้สึกเหล่านั้น มันยังคงตราตรึงในหัวใจของเธอ ไม่มีวันไหนที่เธอสามารถลบอีธาน ออกไปจากใจได้เลยสักวัน
“คิดถึงก็ลงไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ้างก็ได้ นั่งเครื่องไปแป๊บเดียวเอง อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ"
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ขวัญพาเด็กๆ ไปแน่ แต่เรื่องที่ขวัญเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ ขวัญไม่รู้ว่าจะบอกเจ้าสิงโตยังไงดีต่างหาก" เมื่อพูดถึงลูกชาย ใบหน้าของขวัญข้าวเริ่มเต็มไปด้วยความกังวลอีกครั้ง เพราะเธอรู้ดีว่าเจ้าสิงโตคงจะต้องอาละวาดจนบ้านแตกแน่
“ขวัญก็ให้เจ้าสิงโตไปเรียนที่กรุงเทพฯ ดีไหมล่ะ เพราะกันยากับตุลาก็ต้องไปเรียนต่อมอปลายที่นู่น ทั้งสามจะได้เรียนด้วยกัน" ความคิดเห็นที่ฮันน่าเสนอมานั้น ยิ่งทำให้ขวัญข้าวเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น เพราะอัครเดชเขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายไปอยู่ไกลหูไกลตาแบบนั้นแน่
“พี่ฮันน่าก็รู้ พี่เสือไม่มีทางปล่อยให้ลูกไปอยู่ไกลหูไกลตาหรอกค่ะ แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่ค่ะ"
“คงจะเป็นต้นเดือนหลังจากที่เด็กๆ สอบเสร็จ เพราะพี่มีหลายอย่างที่ต้องไปจัดการ ส่วนเรื่องโรงเรียนของกันยาและตุลานั้นพี่เรยาได้จัดการเอาไว้ให้แล้ว" ถึงแม้ว่าใบหน้าของฮันน่านั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่ภายในใจของเธอก็รู้สึกอ้างว้าง เพราะไม่รู้ว่าการไปครั้งนี้ เธอต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง แต่ยังไงเธอก็เตรียมรับมือพร้อมที่จะจัดการกับชีวิตของตัวเอง ให้สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างเข้มแข็ง เพราะลูกๆ ของเธอต้องกินต้องใช้ จะอาศัยแต่คนอื่นก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะขวัญข้าวและอัครเดชทั้งสองช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด รวมทั้งค่าเทอมของกันยาและตุลาด้วย
“ถ้ามีปัญหาอะไร ที่ขวัญกับพี่เสือพอจะช่วยได้ พี่ฮันน่าต้องรีบบอกเราสองคนเลยนะคะ เพราะถึงยังไงพี่ก็คือคนในครอบครัวของเรา" ฮันน่ารู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ ขวัญข้าวช่างเป็นผู้หญิงที่แสนดีมีจิตใจงดงาม สมกับที่บอสของเธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิต เพราะหญิงสาวช่างใสซื่อและมองโลกในแง่ดี ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะไล่ตะเพิดเธอกับลูกๆ ออกไปจากไร่นี้นานแล้ว
“มานี่เลยขอกอดหน่อย" ฮันน่าเดินอ้อมไปทางด้านหลังขวัญข้าว จากนั้นหญิงสาวได้ก้มลงไปกอดเธอจากทางด้านหลัง ความรู้สึกของผู้หญิง สองคน ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แม้ว่าขวัญข้าวจะมีอัครเดชอยู่ข้างๆ แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งฮันน่ากับลูกๆ เพราะในวันที่เธอลำบากก็มีฮันน่าคอยช่วยเหลือเช่นกัน
"ถ้าไปอยู่ที่นู่นแล้วไม่รู้สึกดี ก็พาเด็กๆ กลับมาอยู่ที่ไร่ของเรานะคะพี่ฮันน่า" หยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาคู่สวยของขวัญข้าว กำลังทำให้ฮันน่าสุดที่จะฝืนความรู้สึกที่มีเอาไว้ได้ หญิงสาวเองก็ได้ร้องไห้ออกมา พร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ ระยะเวลาสิบกว่าปี กับความผูกพัน มันไม่ง่ายเลยกับการที่เธอนั้นกำลังจะพาลูกๆ เดินออกไปจากไร่นี้ แต่ทุกคนเกิดมาก็ย่อมมีทางเลือกของตัวเอง และมันถึงเวลาแล้ว ฮันน่าจึงเลือกที่จะทำตามฝันและอนาคตของลูกๆ เพราะการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกแฝดสองต้องสตรองให้ได้