ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้
“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่
พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา
“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป
“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง
ร่างระหงในคราบบุรุษหยุดชะงักทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงตากลมโตภายใต้หมวกผ้าคลุมกลอกกลิ้งไปมา คิดหาชื่อให้กับตัวเองเป็นการใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“เรียกข้าเสี่ยววาวาก็ได้พี่ชาย” หญิงสาวตอบกลับไปโดยไม่หันกลับมามอง สองขาเดินออกจากบริเวณนั้นทันที
“เสี่ยววาวาอย่างนั้นเหรอ!” รับสั่งพึมพำเบาๆ สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางอยู่เช่นนั้นก่อนจะค่อยๆ พระดำเนินออกไปจากบริเวณดังกล่าว ในขณะที่สายพระเนตรยังคงจับอยู่ที่ร่างหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาอยู่ตลอดเวลา
ภายในงานเทศกาลดังกล่าวคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายจากต่างเมืองและต่างแคว้น ทยอยเข้าเมืองเทียนจิ้นมากันอย่างคับคั่ง เฉินวาวาเดินชมงานด้วยความเพลิดเพลิน พลางมองหาร้านขายอาหารที่เธอพอจะกินอะไรรองท้องได้บ้างก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายบะหมี่ เมื่อกลิ่นหอมโชยเข้าจมูก
“โอ้โฮ..หอม!หอมมาก! หิวจังเลย ท่าทางคงจะอร่อย กินบะหมี่ร้านนี้แหละ หิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมรีบตรงปรี่เดินเข้าไปร้านบะหมี่ข้างทางทันที
“ว้าว!บะหมี่เกี๊ยวของโปรดแถมมีหมั่นโถแล้วก็ซาลาเปาด้วย” หญิงสาวกวาดสายตามองหน้าตาสีสันของบะหมี่ที่เจ้าของกำลังสาละวนอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้วิธีการใช้เงินในยุคนี้หากต้องจ่ายค่าอาหารหรือซื้ออะไรก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
มือเรียวสวยล้วงเข้าไปในอกเสื้อเพื่อคลำหาถุงเงินของเธอ แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคลำหาเท่าไรก็หาไม่พบ ร่างระหงหมุนไปรอบตัวทันที พร้อมคลำไปทั่วร่างงาม
“อะ... อ้าว... เฮ้ย! งานเข้าแล้วเฉินวาวา เธอดันทำถุงเงินหายคงจะทำตกตอนวิ่งหนีพวกอันธพาลแน่ๆ เสร็จกัน แบกท้องไส้กิ่วเหมือนเดิม” หญิงสาวยืนบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ พร้อมเสียงของเถ้าแก่ร้านบะหมี่ดังขึ้น
“คุณชายท่านนี้เชิญเข้าไปนั่งในร้านต้องการสั่งอะไรบอกได้เลย บะหมี่ร้านข้ารวมไปถึงอาหารทุกอย่างในร้านอร่อยที่สุดในเมืองเทียนจิ้นเลยนะ” เถ้าแก่ร้านบะหมี่เอ่ยสรรพคุณร้านของตนเองให้หญิงสาวล่วงรู้
“เอื๊อกกก!” เฉินวาวายืนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว ได้แต่ยืนคอตกเพราะไม่มีเงินจ่าย
“แหะๆ กะ... ก็อยากลิ้มลองอยู่หรอกนะ... ตะ... แต่บังเอิญวะ... ว่า...” หญิงสาวเอ่ยได้เพียงเท่านั้นพลันต้องหยุดลงเมื่อดวงตากลมโตเห็นมือใหญ่ยื่นบางสิ่งคล้ายใบไม้สีทองอร่ามส่งให้เถ้าแก่ร้านบะหมี่
“เถ้าแก่ ทำบะหมี่ที่ดีที่สุดยกมาให้คุณชายท่านนี้ได้ลิ้มลอง ในร้านมีสิ่งใดที่เลิศรสยกออกมาให้หมด” เสียงดังกล่าวบอกเถ้าแก่เจ้าของร้าน ท่ามกลางความดีใจของเถ้าแก่ผู้นั้น ที่มีลูกค้าใจดีเหมาอาหารในร้านจนหมดด้วยใบไม้ทองคำทำให้เฉินวาวาแหงนหน้าขึ้นมองทันที ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“พี่ชาย!โห... ทะ... ทำไม... ท่านมา... จ่ายเงินให้ข้าล่ะ... แถมเหมาหมดร้านด้วย” เฉินวาวาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดเจ้าวิ่งหนีอันธพาลมาคงทำถุงเงินตก หรือไม่ก็คงหลงลืมนำติดตัวมาด้วยใช่หรือไม่” จอมมารรับสั่งถามกลับไปราวกับตาเห็น
เฉินวาวาอ้าปากค้างขึ้นมาทันที ครั้นได้ยินเช่นนั้นเธอยกหัวแม่นิ้วโป้งชูขึ้นมาอีกครั้งด้วยความทึ่งของผู้มีพระคุณ
“พี่ชายช่างเป็นคนคาดการณ์อะไรได้แม่นยำเช่นนี้! เป็นจริงดั่งคำของท่านนั่นแหละ ตอนนี้ข้าหิวข้าวจนจะกินวัวกินม้าได้ทั้งตัวแล้ว แถมยังต้องวิ่งหนีอันธพาลพวกนั้นอีกทำให้เสียพละกำลังไปเยอะเลย จนตอนนี้สามารถกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้จนหมดเมืองเลยเชียวแหละ” เฉินวาวาพูดรัวเป็นปืนกลฟังแทบไม่ทัน
“ถึงเพียงนั้นเชียวรึ!” จอมมารรับสั่งถามอีกครา
“อือ! หิวมากเลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกแขนทั้งสองข้างกางออกกว้างทำท่าทางประกอบให้อีกฝ่ายเข้าใจความหิวของเธอที่มีอยู่ในขณะนี้
เฉินวาวาอธิบายความหิวของเธอให้ผู้มีพระคุณฟัง ในขณะที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่เธอบอกอยู่ตอนนี้ กิริยาดังกล่าวหาได้รำคาญแต่อย่างใดแต่ตรงกันข้ามฟังแล้วเพลินต่างหากเล่า พร้อมเสียงเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่ดังขึ้น
“คุณชายทั้งสองเชิญนั่งได้เลยขอรับ อาหารเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว”
ครั้นเฉินวาวาได้ยินเช่นนั้นร่างระหงวิ่งตรงดิ่งไปที่โต๊ะซึ่งจัดอาหารเอาไว้ละลานตาไปหมด โดยมีร่างสูงใหญ่ของจอมมารพระดำเนินตามหลังมาติดๆ
“วะ... ว้าว... หน้าตาน่ากินจังเลย...” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันกลับไปมองจอมมารที่กำลังพระดำเนินตามหลัง
ร่างเล็กๆ ตรงเข้าคว้าพระหัตถ์ใหญ่ของจอมมารพร้อมรีบจูงไปยังโต๊ะอาหาร ก่อนจะรีบทรุดกายลงนั่งบนตั่งตัวตรงกันข้าม มือเรียวสวยรีบจัดแจงวางถ้วยชาพร้อมรินน้ำชาออกจากกาให้กับตัวเธอพร้อมยื่นส่งให้พระองค์
“ข้าน้อยขอคารวะพี่ชายที่ช่วยชีวิต มิหนำซ้ำยังเลี้ยงข้าวข้าอีก บุญคุณที่ให้ข้าวให้น้ำในครั้งนี้วันข้างหน้าเสี่ยววาวา จะต้องตอบแทนท่านแน่นอน” หญิงสาวพูดพร้อมยังประคองถ้วยชาถือค้างเอาไว้เพื่อรอผู้มีพระคุณรับน้ำชาจากเธอ
พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น พระหัตถ์เอื้อมรับถ้วยชาจากหนุ่มน้อยร่างบอบบาง
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือตามสถานการณ์เท่านั้น” รับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริงพลางยกถ้วยชาสอดใต้ผ้าคลุมยกขึ้นจิบช้าๆ
ในขณะที่หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อผู้มีพระคุณรับถ้วยชาจากเธอขึ้นดื่ม แม่สาวน้อยยกชาขึ้นดื่มด้วยความกระหายก่อนจะเทน้ำชาลงถ้วยยกขึ้นดื่มติดต่อกันอีกสองครั้ง
“เฮ้อ! ชื่นใจ หิวน้ำเกือบตาย” หญิงสาวส่งเสียงพึมพำด้วยท่าทีสดชื่นแจ่มใสยิ่งนัก ท่ามกลางสายพระเนตรของจอมมาร ทรงทอดพระเนตรหนุ่มน้อย ที่เอ่ยกับถ้อยคำและท่าทางแปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งก็กำลังปรากฏขึ้นอยู่ในขณะนี้ต่อหน้าพระพักตร์
เฉินวาวายกถ้วยบะหมี่มาไว้ตรงหน้าท่าทางดูเก้ๆ กังๆ เสียนี่กระไร เมื่อเธอพยายามจะสอดถ้วยบะหมี่เข้าไปใต้ผ้าคลุมที่ปกปิดอำพรางใบหน้าของเธออยู่ในขณะนี้ ท่าทางที่แสดงออกมาเช่นนั้นทำให้พระองค์ทรงมีรับสั่งออกมาโดยพลัน
“หากเจ้าจะกินบะหมี่โดยที่ไม่ยอมถอดหมวกผ้าคลุมออก เห็นทีเจ้าคงต้องอดอาหารมื้อใหญ่นี้เสียแล้วกระมังเสี่ยววาวา มิสู้ถอดหมวกออกเพื่อความสะดวกของเจ้าดีหรือไม่ หากเกรงกลัวอันธพาลเหล่านั้นพบเห็น ข้าจะลงมือจัดการให้เอง” รับสั่งแนะนำหญิงสาว
ถ้อยรับสั่งของจอมมารทำให้หญิงสาวได้คิดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นั่นน่ะสิ! ขืนกลัวใครเห็นวันนี้จะได้กินไหม อีกอย่างตอนนี้หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ
“ขอบคุณพี่ชายที่แนะนำ ข้าลืมคิดไปมัวแต่คิดกังวลไปเอง” หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณ
เฉินวาวารีบวางถ้วยบะหมี่ลงบนโต๊ะตามเดิม ก่อนจะใช้มือจับหมวกผ้าคลุมที่สวมอยู่ยกออกจากศีรษะของเธอทันทีเผยให้เห็นใบหน้าซีกขวาที่ครอบหน้ากากทองคำเอาไว้ซึ่งมีลักษณะเดียวกับจอมมารไม่มีผิดเพี้ยน แตกต่างตรงลวดลายสลักของเธอเป็นดอกจวี๋ฮวาแต่ของจอมมารเป็นไฟอัคคี
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อย
พระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้น
สายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัยอยู่ตลอดเวลา
“เหตุใดเสี่ยววาวาจึงสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเฉกเช่นเดียวกับข้า มิหนำซ้ำยังปกปิดเกือบทั้งหมดหรือว่ามีใบหน้าอัปลักษณ์อย่างนั้นหรือไร แต่หน้ากากทำมาจากทองคำแท้อย่างเห็นได้ชัด ฐานะทางบ้านน่าจะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยพระองค์ปล่อยหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาที่กำลังจัดการอาหารตรงหน้าอย่างหิวโหย
เพียงไม่นานอาหารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะตกไปอยู่ในท้องของเฉินวาวาจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว และดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่อิ่ม แม่สาวน้อยวางถ้วยบะหมี่ลงบนโต๊ะพร้อมใบหน้าที่บ่งบอกถึงความอิ่มเอมอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้อ! รอดตายไปอีกหนึ่งมื้อ บะหมี่ร้านนี้อร่อยสมคำเล่าลือจริงๆ อาหารทุกอย่างในร้านก็อร่อยทุกอย่างเลย... เถ้าแก่! เอาแบบนี้ทุกอย่างมาอีกหนึ่งชุด!” เธอใช้คำในยุคปัจจุบันกล่าวชมเชยพร้อมตะโกนสั่งอาหารเพิ่มท่ามกลางสายพระเนตรของจอมมารเมื่อได้ยินหนุ่มน้อยร่างบางสั่งอาหารทุกอย่างมาอีกหนึ่งชุด
“นี่เจ้ายังกินได้อยู่อีกรึ” รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย
และนั่นทำให้เฉินวาวาเริ่มรู้สึกตัวว่าเธอกินทุกอย่างจนหมด ในขณะที่คนเลี้ยงข้าวไม่ได้แตะสักอย่างได้แต่นั่งจิบน้ำชาอยู่เงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณที่กำลังมองเธอด้วยความแปลกใจที่เห็นอาหารตรงหน้าถูกจัดการจนหมดไม่มีเหลือและยังสั่งเพิ่มขึ้นอีก
“แหะๆ พี่ชายไม่เห็นกินอะไรบ้างเลย ปล่อยให้ข้ากินคนเดียวจนหมด” หญิงสาวกล่าวพลางทำท่าเขินอายออกมา
จอมมารหนุ่มเปล่งเสียงพระสรวลอยู่ในพระศอครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ใครจะไปกินทันเจ้าได้ อีกอย่างข้าเห็นว่ากำลังหิวก็เลยปล่อยให้กินอย่างเต็มที่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าถึงเจ้าจะเป็นบุรุษที่ตัวเล็กและมีรูปร่างบอบบางแต่กลับกินอาหารได้มากมายถึงเพียงนี้”
ครั้นหญิงสาวได้ยินผู้มีพระคุณกล่าวออกมาเช่นนั้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ได้ตัวเล็กนะพี่ชาย นี่ข้าสูงตั้งร้อยหกสิบเจ็ดเชียวนะ บางคนสูงน้อยกว่าข้าก็ยังมีเลย เพียงแต่รูปร่างของข้าบอบบางไปหน่อยเท่านั้นเองเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี เจ็บป่วยบ่อยอยู่บ่อยๆ” หญิงสาวกล่าวคำปดออกไป
พระพักตร์พยักขึ้นลงครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น แม้จะทรงฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวออกมาได้ก่อนจะมีโอกาสรับสั่งถามในสิ่งที่พระองค์สงสัย
“อาการเจ็บป่วยของเจ้าเกี่ยวข้องกับหน้ากากที่กำลังสวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่” รับสั่งถามออกไป
เฉินวาวาพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ
“อือใช่! จู่ๆ ข้าก็ถูกพิษที่ไหนก็ไม่รู้ ทำให้ข้าหมดสติไปหลายวันเลยทีเดียวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงจะรอดตายแต่พิษนั่นทิ้งร่องรอยบนใบหน้าของข้าจนอัปลักษณ์ดูไม่ได้เลย ท่านเห็นใบหน้าอีกซีกที่ไม่ได้สวมหน้ากากของข้าไหมนี่ดูดีแล้วนะแต่อีกข้างของข้าหนักกว่านี้หลายเท่าเลยเชียวละ”
หญิงสาวอธิบายกลับไปก่อนจะสังเกตเห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณผ่านทางผ้าคลุมสีดำสนิท ครั้นเมื่อสะท้อนแสงจากโคมไฟทำให้มองเห็นหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน