เฉินวาวามองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่สวมชุดสีดำทะมึนเหมือนกับเธอทุกอย่างกำลังยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลจากเธอมากนัก ร่างสูงใหญ่บึกบึนใหญ่โตและน่าเกรงขามเสียนี่กระไร ครั้นเธอเห็นเช่นนั้นหญิงสาวรีบวิ่งตรงเข้าไปหา พลางยืนซุกอยู่ด้านหลังร่างใหญ่นั้นเพื่อใช้เป็นเกราะกำบังก่อนจะรีบขอความช่วยเหลือทันที
“พี่ชายได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ! คนพวกนี้พยายามจะทำร้ายข้า! ไม่คิดเลยว่าชาวเทียนจิ้นจะไร้อารายะถึงเพียงนี้ ไล่ทำร้ายคนต่างแคว้นที่มาเดินเที่ยวชมงานอย่างไม่เกรงกลัวกฎบ้านกฎเมือง! โอ๊ยยย... เหนื่อย!” หญิงสาวกล่าวพลางส่งเสียงหอบไปพร้อมใช้มือดึงรั้งตัวชุดของบุรุษที่สวมอยู่เอาไว้จนแน่นเพื่อมิให้หนีหายไปจากเธอ
ร่างใหญ่ที่กำลังยืนเป็นเกราะกำบังให้กับเธออยู่ในขณะนั้น หันกลับไปมองชายฉกรรจ์สองคนที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างน่ากลัว
“ไอ้หนู! ออกมาซะดีๆ! อย่าต้องให้ใช้กำลังมากไปกว่านี้... ตามข้ากลับไป!”
“ไม่ไป!ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า!อยู่ดีๆ มาตามจับข้าทำไมไอ้พวกอันธพาล!”หญิงสาวเถียงกลับไปอย่างไม่ลดละ ก่อนจะได้ยินเสียงสองอันธพาลเอ่ยถามบุรุษที่ยืนเป็นเกราะกำบังให้กับเธออยู่ในขณะนี้
“เจ้าเกี่ยวอะไรกับเด็กหนุ่มผู้นั้นจึงยืนเป็นเกราะกำบังให้เช่นนั้น” สองอันธพาลเอ่ยถามกลับมา
ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะหันหน้ากลับมาถามเธอ
“เจ้าถูกคนพวกนี้ตามล่ามาด้วยเหตุใด” เสียงทุ้มแฝงเร้นอำนาจถามเธอกลับมา
เฉินวาวาส่ายหน้าไปมาติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้านายของพวกเขาเป็นฝ่ายเดินชนข้าต่างหาก แต่กลับให้ข้าขอโทษ ซึ่งข้าไม่ผิดนะจะให้ทำตามที่บอกได้ยังไง ข้าทำไม่ได้หรอก! คนอย่างข้าถ้าผิดยอมรับผิด ถ้าไม่ผิดข้าไม่ยอมเป็นตายร้ายดียังไงข้าก็ไม่ยอม!” หญิงสาวอธิบายพร้อมอารมณ์ฉุนก็เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงแม้ว่าเจ้าอาจถึงตายหากไม่ขอโทษคนพวกนั้นนะรึ!” เสียงนั้นถามย้ำกลับมา
“อือ! ใช่!” เฉินวาวาเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นพลางพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน
ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ภายใต้หมวกผ้าคลุมปิดบังอำพรางตัวตนก่อนจะหันกลับไป
“พวกเจ้ากลับไปซะเถอะ! ให้เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้ เป็นผู้ใหญ่แกล้งเด็กมันน่าละอาย มากกว่าน่ายกย่อง” เสียงนั้นกล่าวเตือนสองอันธพาล
“ท่าทางเจ้าคงอยากเจ็บตัวจึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา จะกลับไปได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ขโมยหน้ากากทองคำจากเจ้านายของพวกข้าไป!” สองอันธพาลกุเรื่องโกหกขึ้นมาทันที
และนั่นทำให้ดวงตากลมโตของเฉินวาวาวาวโรจน์ขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ร่างเล็กๆ ที่ซุกอยู่ด้านหลังชายคนดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทันที เมื่ออาการไม่เกรงกลัวใครกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว สองแขนยกมือขึ้นเท้าสะเอวพร้อมตวาดกลับไป
“เฮ้ย! พูดให้มันดีๆนะ !หน้ากากทองคำเป็นของข้า! ถูกทำขึ้นมาเพื่อครอบใบหน้าของข้าโดยเฉพาะ! เจ้านายของพวกเจ้าตัวอ้วนใหญ่หน้าบานเท่ากับฝาบ้านแบบนั้นจะสวมหน้ากากของข้าได้ยังไง ไอ้พวกมิจฉาชีพ!!!” หญิงสาวใช้ถ้อยคำปัจจุบันต่อว่าต่อขานสองอันธพาลเป็นการใหญ่
ถ้อยคำของเฉินวาวาทำให้บุรุษร่างสูงทะมึนยืนฟังด้วยความสนใจ ดวงตาสีนิลกาฬจับจ้องอยู่ทางด้านหลังเด็กหนุ่มร่างเล็กสวมชุดสีดำและหลายอย่างในตัวหนุ่มน้อยผู้นี้ทำให้ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น
ในขณะเดียวกันสองอันธพาลต่างพากันยืนงงเมื่อฟังเฉินวาวารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
“เด็กหนุ่มผู้นี้พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง! อย่าเสียเวลาอยู่เลย รีบจับกลับไปให้นายท่านเถอะขืนชักช้าข้าและเจ้าที่จะเป็นฝ่ายถูกเล่นงาน” กล่าวพร้อมพากันกรูเข้ามาหาร่างเล็กบอบบางทันที
“เหวอออ!!!” เฉินวาวาถึงกับตกใจผงะถอยหลังเมื่อสองอันธพาลดาหน้าเข้ามาหาเธอ สองแขนยกขึ้นมาทันทีเพื่อป้องกันตัวเองตามสัญชาติญาณพร้อมหลับตาปี๋
ทันใดนั้นเองร่างบอบบางถูกท่อนแขนใหญ่กำยำโอบเอวเล็กคอดกิ่วจากทางด้านหลังพร้อมดึงรั้งเข้าหาร่างใหญ่ก่อนกอดกระชับเอาไว้อยู่เช่นนั้น ในขณะที่สองอันธพาลกำลังกรูเข้ามาหา ฝ่ามือใหญ่กระแทกลงบนหน้าอกทั้งสองทันที
“พลั่ก! พลั่ก!” ร่างของสองอันธพาลลอยละลิ่วกระเด็นออกไปไกลจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ก่อนจะรีบลุกวิ่งหนีไปจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของเฉินวาวาที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
“ว้าววว! นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าพลังจอมยุทธ์ของคนสมัยโบราณ เฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวาช่างเป็นบุญตาของเธอเสียจริงๆ ที่ได้มีโอกาสมาเห็นอะไรแบบนี้” หญิงสาวกล่าวพร้อมแหงนหน้ามองผู้มีพระคุณที่ยังคงกอดเอวของเธออยู่เช่นนั้น
“โห! คนโบราณทำไมสูงจังเกือบสองเมตรเลยกระมัง” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะดิ้นขลุกขลักให้ตัวเองเป็นอิสระเหมือนเด็กน้อยกำลังถูกผู้ใหญ่อุ้มอยู่ในขณะนี้
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถที่จะหลุดออกจากท่อนแขนแข็งแกร่งที่กำลังกอดรัดเอวของเธออยู่ในขณะนี้ไปได้เลยจนกระทั่ง
“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารส่งเสียงสำแดงออกมาอีกครา และครั้งนี้ดังกว่าเดิมจนอีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจน
“ฮือออ!!! เสียงอะไร!!” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ในขณะที่หญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยความอายเมื่อท้องเจ้ากรรมส่งเสียงร้องดังโครกครากออกมาเช่นนั้น เฉินวาวายกมือทั้งสองข้างขึ้นจับท่อนแขนใหญ่พร้อมเอ่ยขึ้น
“พี่ชายปล่อยข้าเถอะ! แขนของท่านรัดเอวข้าจนหายใจไม่ออกไปหมดแล้ว” หญิงสาวบ่นพึมพำ
“เช่นนั้นรึ!” เสียงนั้นเอ่ยตอบกลับมาพลางค่อยๆ คลายท่อนแขนใหญ่ออกจากร่างระหงดังกล่าว
ครั้นเฉินวาวาเป็นอิสระเธอหันหน้ากลับมามองหน้าผู้มีพระคุณ
“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อร่างของเธอพ้นจากการกอดรัด
มือเรียวยกขึ้นสะบัดไปมาติดๆ กันเพื่อพัดให้เกิดลม และท่าทางดังกล่าวของหญิงสาวทำให้ผู้มีพระคุณของเธอหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอโดยไม่รู้ตัว
เพียงครู่เฉินวาวายกมือทั้งสองข้างประสานเข้าหากัน พลางก้มคำนับผู้มีพระคุณของเธออย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเหลือชีวิต บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมเลือนเลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมคลายมือที่ประสานนั้นออกก่อนจะยกแม่นิ้วโป้งชูขึ้นมาทันทีพร้อมเอ่ยบทละครที่เธอเคยสวมบทบาทในซีรีส์ย้อนยุคมาใช้
“พี่ชายท่านช่างเก่งกาจยิ่ง เพียงแค่สองหมัดก็สยบอันธพาลพวกนั้นได้แล้ว ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าน้อยขอนับถือ” เฉินวาวาพูดพลางเอียงคอมองไปมาพร้อมส่งยิ้มหวานให้ผู้มีพระคุณของเธอ ภายใต้หมวกผ้าคลุมที่ปิดบังอำพรางใบหน้าเอาไว้ หัวแม่นิ้วโป้งยังคงชูขึ้นอยู่เช่นนั้น
เฉินวาวาไม่รู้ตัวเลยว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอ แท้จริงแล้วคือจอมมารชินซางหรือชินอ๋องของแคว้นเทียนโจว บุรุษอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย เจ้าของดวงตาสีเลือดที่เธอมิเคยลืมเลือนและเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่หญิงสาวหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิต ท่ามกลางพระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารทรงจับจ้องบุรุษร่างบอบบางที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะคาดเดา