คำสัญญา/2

2251 Words
ในขณะที่จอมมารชินซางทรงทบทวนความทรงจำในวันแรกที่ทรงประสบพบพักตร์กับคู่ชะตา เยว่วาวาที่ทรงพานพบนั้นทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีลามเลียไปทั่วใบหน้าและทั่วกายเต็มไปหมด เป็นผลมาจากปานไฟอัคคีของพระองค์ย้ายไปสถิตอยู่ในกายของคู่ชะตาซึ่งเป็นมนุษย์จึงทำให้เกิดรอยไฟอัคคีขึ้นทั่วร่างกาย ในขณะที่พระองค์ทรงนั่งครุ่นคิดถึงคู่ชะตาอยู่ในขณะนั้น จึงไม่ได้ยินที่เสียงของเสี่ยววาวาเอ่ยถามแต่อย่างใด มือเรียวโบกไปโบกมาผ่านหน้าพระพักตร์อยู่หลายรอบแต่ก็ยังคงนั่งพระทัยลอยอยู่เช่นนั้น “โอ้โฮ! เหม่อซะขนาดนี้สงสัยถอดวิญญาณออกจากร่างไปแล้วกระมัง” หญิงสาวบ่นพึมพำพร้อมใช้มือเขย่าข้อมือใหญ่ของผู้มีพระคุณไปมาเพื่อให้รู้สึกตัว “พี่ชาย! พี่ชาย! ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ได้ยินที่ข้าคุยกับท่านไหม” เฉินวาวากล่าวพลางพยายามเพ่งมองใบหน้าผู้มีพระคุณของเธอที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำบางเบา พระเนตรสีนิลกาฬก้มลงทอดพระเนตรมือเรียวสวยของหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาที่กำลังเขย่าข้อพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ในขณะนั้น นิ้วมือเรียวยาวดั่งลำเทียน บริเวณเล็บมือถูกตัดแต่งเอาไว้เป็นอย่างดีสะท้อนเงาแวววาว เพราะถูกเคลือบด้วยยาทาเล็บเจลแบบใสในยุคปัจจุบันที่ติดตัวหญิงสาวมาด้วย เพื่อให้อยู่นานและคงทน มิหนำซ้ำยังนุ่มนิ่มไม่หยาบกระด้างแม้แต่น้อย ผิดแปลกไปจากสตรีทั่วไปและยิ่งแตกต่างจากมือบุรุษเพศมากมายยิ่งนัก พระองค์ทรงทอดพระเนตรด้วยความแปลกพระทัยครั้นทรงพานพบมือของบุรุษที่มีลักษณะเช่นนี้ ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเสี่ยววาวา “มือของเจ้าเหตุใดจึงบอบบางดั่งเช่นอิสตรีนักเล่า... ไม่ใช่สิ! ข้ากล่าวผิด อิสตรีทั่วไปยังมิแลดูบอบบางเช่นนี้ยิ่งเทียบกับบุรุษด้วยแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ดวงกลมโตกลอกกลิ้งไปมาทันทีเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถามกลับมาเช่นนั้น “ก็แหงละสิ! จะไปเหมือนได้ยังไงในเมื่อมือของเฉินวาวาถ่ายแบบโฆษณามานักต่อนักแล้ว มือคู่นี้โกยเงินหลักล้านมาไม่รู้เท่าไรแล้วแค่โฆษณาเฉพาะมืออย่างเดียวก็รับเละ ว่าแต่คนโบราณทำไมถึงได้ขี้สงสัยจังเลยว้า” เฉินวาวารำพึงอยู่ภายในใจ สมองเริ่มสับกลไกกลั่นคำตอบให้ฟังดูสมเหตุสมผลออกมาทันทีก่อนจะนึกถึงบทบาทของนางมารร้ายในซีรีส์ที่เธอเคยแสดงออกมาใช้โดยพลัน “ก็ข้าโดนพิษมาไง! ยาพิษที่ข้าโดนมาทำให้ทั่วร่างของข้าเนื้อตัวนุ่มเหลว กล้ามเนื้อหดหายฝ่อลงไปหมด เมื่อก่อนนะข้าแลดูบึกบึนน่าเกรงขามเสียนี่กระไร ไม่ได้มีร่างกายขี้โรคดั่งที่ท่านเห็นอยู่ในเวลานี้แม้แต่น้อย” หญิงสาวงัดบทพูดในละครยกมาปรับใช้กับสถานการณ์ตอนนี้ทันที “อย่างนั้นรึ! ช่างเป็นพิษที่ร้ายกาจสร้างความทรมานให้แก่เจ้าจริงเชียว” จอมมารรับสั่งพึมพำก่อนจะก้มลงทอดพระเนตรมือเรียวสวยที่กำลังทาบทับอยู่บนข้อพระหัตถ์อีกครั้ง “จริงสิ! แล้วเจ้าเขย่าข้าทำไมเสี่ยววาวา!” รับสั่งถามกลับไป มือเรียวของหญิงสาวรีบยกขึ้นจากข้อพระหัตถ์ใหญ่ของจอมมารทันที เธอลืมตัวแตะต้องกายบุรุษในยุคโบราณในคราบผู้ชายแบบเนียนๆ อีกแล้ว “กะ... ก็ข้าเห็นพี่ชายนั่งใจลอยอยู่เป็นนาน นึกว่าคงถอดวิญญาณไปถึงพระจันทร์แล้วกระมัง กลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปก็เลยเขย่าข้อมือพี่ชายให้รู้สึกตัวก็เท่านั้นเอง... แหะๆ” หญิงสาวกล่าวพร้อมส่งยิ้มแหยๆ “เช่นนั้นรึ!”รับสั่งกลับมาสั้นๆ พลางทอดพระเนตรสหายใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะได้ยินเสียงของเสี่ยววาวาถามพระองค์กลับมา “นะ... นี่ท่านสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเหมือนกันด้วยอย่างนั้นเหรอ... พี่ชายถูกพิษมาใช่ไหม” หญิงสาวถามออกไปทันทีด้วยความสงสัย พระเศียรส่ายไปมาติดๆ กันเป็นการปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ถูกพิษอะไรมาหรือเจ็บป่วยดั่งเช่นเจ้าหรอก” รับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริง “เอ้า! ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วท่านสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ทำไมเหรอ… หรือว่าพี่ชายมีใบหน้าอัปลักษณ์ตั้งแต่กำเนิดใช่ไหม” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ และนั่นทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหาทันใดด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น “อันนั้นก็ไม่ใช่! อันนี้ก็ไม่ใช่! แล้วมันเป็นเพราะอะไรเหรอพี่ชาย” เฉินวาวาไม่วายที่จะถามด้วยความอยากรู้ จอมมารทรงทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์ที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะทรงตอบกลับไป “ก็เพราะข้าหล่อเหลาจนเกินไป” รับสั่งตอบตามความเป็นจริง “พรืดดด!!!” เฉินวาวาสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้นต่อหน้าพระพักตร์ของจอมมาร พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อย มือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว “แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น “อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป “ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไปค่อนข้างยากที่บุรุษรูปงามจะซ่อนเร้นมิให้สตรีพานพบซึ่งผิดวิสัยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะมีเหตุผลส่วนตัว แต่แท้จริงแล้วเหตุผลหลักคือต้องการซ่อนเร้นอำพรางตัวตนที่แท้จริงมิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด ตรรกะง่ายๆ แค่นี้เองไม่เห็นจะยากอะไรเลย” เฉินวาวากล่าวพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอกพร้อมยืดตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ พระพักตร์ค่อยๆ ก้มขึ้นลงครั้นทรงได้ยินหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น “นับได้ว่าเจ้ามีไหวพริบใช้ได้” จอมมารรับสั่งชมเชยความเฉลียวฉลาดของหนุ่มน้อยที่เพิ่งรู้จัก นางร้ายหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อสิ่งที่เธอคาดเดาเป็นไปดั่งที่คิด “เห็นไหม! ข้าคาดการณ์อะไรไม่เคยผิดพี่ชายใช้หน้ากากปิดบังตัวตนจริงๆ เอาไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้… เรื่องนี้ข้าเข้าใจท่านดีเลยเชียวละว่าความรู้สึกที่จะต้องปิดบังตัวเองมันเป็นอย่างไร” หญิงสาวเผลอเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นพระองค์ทรงได้ยินเช่นนั้นพระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงหน้าอยู่เพียงครู่พร้อมมีรับสั่ง “เจ้าทำราวกับว่านอกจากใบหน้าอัปลักษณ์ที่จะต้องอำพรางจากสายตาของผู้คนแล้ว ยังต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองด้วยกระนั้นสิ!” รับสั่งถามดักคอ เฉินวาวานั่งนิ่งไปชั่วขณะเมื่อถูกผู้มีพระคุณถามกลับมาเช่นนั้น “อั้ยยะ! ใครบอกพี่ชายว่าข้าต้องปกปิดตัวตนของตัวเอง ข้าเป็นเพียงคนต่างแค้วนที่ฐานะทางบ้านดีแล้วก็มาเดินเที่ยวชมงานเทศกาลอันลือชื่อของเมืองเทียนจิ้นก็แค่นั้นเอง สิ่งที่ข้าต้องปิดบังก็แค่หน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น วันใดที่พิษในตัวเลือนหายไปข้าก็ไม่ต้องใช้หน้ากากปิดบังอำพรางหน้าต่อไปอีกแล้ว” “เช่นนั้นรึ!” รับสั่งถามกลับไป “อือ... ก็ต้องเช่นนั้นสิ!” เฉินวาวาตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ “แล้วท่านล่ะ ทำไมต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง” หญิงสาวย้อนถามพระองค์กลับไปเช่นกัน ถ้วยชาที่อยู่ในพระหัตถ์ยกขึ้นจิบช้าๆ อย่างสบายใจ พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อนึกถึงคำตอบของพระองค์ “ก็เพราะข้าหล่อเหลาจนเกินไปหากสตรีใดมาพานพบจะทำให้นางหลงใหลจนอยากแต่งงานกับข้าทุกราย” รับสั่งตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทว่ารับสั่งของพระองค์ทำให้เฉินวาวาถึงกับส่งเสียงหัวเราะร่วนออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “พี่ชาย! นี่ท่านนอกจากมีอารมณ์ขันมากแล้ว ยังเข้าใจพูดอีกนะ! ถามจริงเถอะสตรีทุกรายที่ได้เห็นหน้าท่านอยากแต่งงานด้วยทุกรายเลยเหรอ ทำไมข้าเห็นท่านแล้วถึงเฉยๆ ล่ะ ไม่เห็นจะอยากแต่งงานกับท่านเลย” หญิงสาวเผลอตัวเอ่ยออกมาอีกแล้วและนั่นทำให้พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรเสี่ยววาวาแปรเปลี่ยนไปทันที “เจ้าเป็นสตรีหรือไรจึงกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาเสี่ยววาวา” รับสั่งถามกลับไปทันที เฉินวาวารีบปรับสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเผลอหลุดคำพูดออกมาอีกแล้ว หญิงสาวรีบกลบรอยพิรุธของตนเองพร้อมสมองวิ่งสับเป็นกลไกสั่งงานออกมาทันทีเพื่อหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วสมเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทเสียนี่กระไร “หมายถึงถ้าหากข้าเป็นสตรี ข้าคนหนึ่งละที่ไม่ได้เห็นความหล่อเหลาของบุรุษใดแล้วอยากแต่งงานด้วยเพียงเพราะความหลงใหลที่เกิดขึ้น แต่ข้าเป็นประเภทที่ต่อให้รวยล้นฟ้าหรือหล่อเหลาปานเทพเจ้าลงมาจุติ ถ้าไม่ได้รักแล้วละก็จะไม่มีวันยอมแต่งงานด้วยเด็ดขาด” หญิงสาวกล่าวออกมาตามความรู้สึกของเธอ จอมมารชินซางทรงทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ถ้อยคำเมื่อครู่ที่ทรงได้ยินนั้นช่างตรงกับความรู้สึกของพระองค์เป็นยิ่งนัก “เจ้ากับข้าต่างมีความคิดตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวข้าเองรอคอยรักแท้และคู่ชะตาของข้ามาตลอดระยะเวลาอันยาวนานและทุกวันนี้ยังเฝ้ารอคอยนางมาโดยตลอด” สุรเสียงรับสั่งแฝงเร้นความเศร้า สุรเสียงรับสั่งของจอมมารที่แฝงเร้นความเศร้าทำให้เฉินวาวารู้สึกโศกเศร้าไปด้วย พร้อมกัน น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ โดยที่เธอนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะปานไฟอัคคีของจอมมารย้ายมาสถิตอยู่ที่กายนางนั่นเอง จึงทำให้หญิงสาวรับรู้ความรู้สึกทุกอย่างที่จอมมารชินซางทรงผูกพันกับคู่ชะตาของพระองค์ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนเมื่ออาหารทุกอย่างถูกนำมาวางจนเต็มโต๊ะ “พี่ชายกินบะหมี่เถอะ เสร็จแล้วเราไปปล่อยโคมประทีปกัน” พระพักตร์หล่อเหลาหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “เราอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งรำพึงออกมาเบาๆ เฉินวาวาพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของผู้มีพระคุณ “อือ... ใช่! ข้ากับพี่ชายรีบกินเถอะจะได้ไปกัน” หญิงสาวกล่าวพร้อมหยิบตะเกียบคู่จับยัดใส่ในพระหัตถ์ ดวงตากลมโตส่งสายตาเว้าวอนให้ผู้มีพระคุณของเธอกินบะหมี่ด้วยกัน พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ครั้นทรงทอดพระเนตรสายตาเว้าวอนที่ส่งมาให้เช่นนั้น พระพักตร์ส่ายไปมาด้วยทรงเริ่มมีความรู้สึกเอ็นดูหนุ่มน้อยที่เพิ่งพานพบด้วยความบังเอิญ “เจ้าช่างเข้าใจประจบข้าเสียงจริงนะเสี่ยววาวา” จอมมารรับสั่งพร้อมหยิบตะเกียบคีบเส้นบะหมี่เสวยไปพร้อมกับสหายน้อย จอมมารชินซางทรงเกิดความผูกพันกับเด็กหนุ่มตรงหน้าพระพักตร์อย่างน่าประหลาด หลายครั้งที่ทรงแอบทอดพระเนตรเสี่ยววาวาในขณะที่กำลังจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย และท่าทางแปลกประหลาดและคำพูดสุดพิลึกพิลั่นที่หลุดออกมาบ่อยๆ แม้จะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่กลับทำให้พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์และเปล่งเสียงพระสรวลออกมาได้หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD