ฮ่องเต้เยว่ชิงอวิ้น เจ้าผู้ครองแคว้นฉู่องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระบิดาฮ่องเต้เยว่อู๋หมิน ที่เสด็จสวรรคตกลางสนามรบในสงครามเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน และนับตั้งแต่นั้นมาแคว้นฉู่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเทียนโจวมาโดยตลอดด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างยับเยิน
อีกทั้งตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาแคว้นเทียนโจวแผ่ขยายอำนาจอย่างเกรียงไกรไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยทางแคว้นเทียนโจวปรากฏมีนักรบลือนามเปรียบประดุจเทพสงคราม ไม่ว่าจะออกรบตีแคว้นใดหรือนำกองทัพออกต้านทัพจากแคว้นอื่นๆ ที่เข้ามารุกรานเป็นอันต้องถูกตีแตกพ่ายอย่างยับเยินถอยร่นไม่เป็นกระบวนเลยทีเดียว
ทำสงครามคราใดชนะทุกครั้งไม่เคยมีคำว่าแพ้ องค์ชายสี่พระนามโจวชินซาง หรือชินอ๋อง จึงได้รับการเทิดทูนจากผู้คนทั่วหล้าและทั่วทุกแคว้นว่าทรงเป็นเทพสงครามลงมาจุติ พระองค์ทรงมีอำนาจและมีอิทธิพลแข็งแกร่งจากพสกนิกรที่ให้ความเคารพและเลื่อมใส อีกทั้งกุมอำนาจทางทหารทั่วทั้งแคว้นอยู่กับพระองค์ทั้งหมด
ในขณะเดียวกันเสียงร่ำลือต่างแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน หากแม้นแคว้นใดปรากฏพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของชินอ๋องสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยาย พระหัตถ์ถือดาบยาวคู่พระวรกาย แคว้นนั้นเป็นอันต้องพังพินาศย่อยยับไปชั่วพริบตา
หากแม้นชินอ๋องปรากฏพระวรกายด้วยอาภรณ์สีนิลกาฬ แต่เกศาสีเงินยวงถูกเกล้าขึ้นสูงมิได้ปล่อยยาวสยายและมิได้ถือดาบยาวซึ่งเป็นอาวุธคู่พระวรกาย แคว้นนั้นจะรอดพ้นจากภัยพิบัติที่กำลังประสบอยู่ไปชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ชินอ๋อง หรือองค์ชายโจวชินซางจึงได้รับการยกย่องจากพสกนิกรของพระองค์รวมไปถึงต่างแคว้นที่เป็นพันธมิตรเปรียบประหนึ่งเทพเจ้า ประชาชนพากันสักการบูชากราบไหว้ภาพเหมือนของชินอ๋องกันอย่างถ้วนหน้าเพื่อเป็นสิริมงคล
และด้วยความเชี่ยวชาญในการทำสงครามของชินอ๋อง จึงทำให้แคว้นเทียนโจวแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงแค่ห้าปี จากแคว้นที่กำลังค่อยๆ เติบโตและมีชื่อเสียงในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์เป็นอู่ข่าวอู่น้ำ และอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกได้กลับกลายเป็นแคว้นยิ่งใหญ่ที่ครอบครองแคว้นใต้อาณัติไม่ต่ำกว่าร้อยแคว้นเลยทีเดียว
และด้วยความยิ่งใหญ่ของแคว้นเทียนโจว ทำให้เยว่ชิงอวิ้นฮ่องเต้ จำต้องกล้ำกลืนเก็บความแค้นอันยิ่งใหญ่เพื่อแก้แค้นแทนพระบิดาของพระองค์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือเทียนโจวมีชินอ๋อง คอยคุ้มครองปกป้องอยู่ตลอดเวลา พสกนิกรรักและเทิดทูนมากกว่าโจวฟางหยางฮ่องเต้ ซึ่งขึ้นครองราชย์แทนโจวเฉินกงฮ่องเต้ที่เสด็จสวรรคตลงหลังจากเสร็จศึกเหิงไห่
และก่อนจะเสด็จสวรรคตเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการลับพร้อมมอบตราประทับฮ่องเต้ให้องค์ชายสี่ขึ้นครองแคว้น แทนที่จะเป็นองค์รัชทายาท ทว่าจอมมารชินซางทรงไม่ประสงค์ที่จะขึ้นครองแคว้นเทียนโจวแต่อย่างใด ด้วยตำแหน่งฮ่องเต้จะทำให้มิสามารถตามหาเจ้าสาวในชุดขาวของพระองค์ได้
จอมมารทรงทำลายพระบรมราชโองการลับและมอบตราประทับฮ่องเต้ให้โจวฟางหยางขึ้นครองแคว้นตามเดิม ทรงยินดีที่จะดำรงตำแหน่งเป็นเพียงชินอ๋อง หากแต่กุมอำนาจของกองทัพเอาไว้ทั้งหมดและประทับอยู่แต่ชายแดนเพื่อนำกองทัพออกปกป้องแคว้นอื่นๆ ที่มารุกราน และเข้าตีแคว้นที่คิดจะครอบครองเทียนโจวมาอยู่ใต้การปกครองตามสัตย์สัญญาที่ส่งให้ไว้กับเฉินกงฮ่องเต้ก่อนจะเสด็จสวรรคต
ด้วยเหตุนี้ตราบใดที่เทียนโจวยังมีชินอ๋อง ตราบนั้นเทียนโจวก็มิอาจถูกทำลายลงได้โดยเฉพาะผู้ที่ลงมือสังหารพระบิดาของพระองค์ก็คือโจวชินซางนั่นเอง ช่างเป็นบุคคลที่ทำให้เยว่ชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงคำนึงถึงคราใด เพลิงแค้นลุกโชนแทบจะกระอักพระโลหิตออกมาเสียให้ได้
ฮ่องเต้หนุ่มพระดำเนินไปตามทางเดินแนวชายป่าพร้อมราชองค์รักษ์ติดตามถวายอารักขา ตลอดเส้นทางทรงครุ่นคิดหาหนทางที่จะหาทางออกให้เป็นไปได้ด้วยดี
“ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยเรื่องขององค์หญิงอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์คนสนิทกราบทูลถาม
พระพักตร์พยักขึ้นลงติดต่อกันพลางทอดถอนพระทัยออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม
“หรงเอ๋อร์เป็นแบบนี้ก็เพราะนางคิดมากที่จะต้องไปถวายตัวให้กับฮ่องเต้เทียนโจว เหตุการณ์สวรรคตของอดีตฮ่องเต้ทำให้ข้าและนางไม่มีวันที่จะลืมความแค้นที่เทียนโจวกระทำไว้ แม้ว่านางจะไม่อยากไปถวายตัวแต่เพื่อแผนการที่วางเอาไว้จึงรับอาสาที่จะไปทำงานใหญ่ครั้งนี้...แต่ดูรึ จู่ๆ ก็มาเป็นโรคบ้าบอขึ้นมาอย่างกะทันหัน” รับสั่งอย่างกลัดกลุ้ม
“ในเมื่อองค์หญิงทรงเกิดป่วยกะทันหันเช่นนี้ แผนที่วางเอาไว้ก็มิอาจไปต่อได้ โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่ฝ่าบาททรงมีพระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียว หากแม้นมีหลายพระองค์ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ยังสามารถมอบหมายให้พระขนิษฐาองค์อื่นๆ สานงานต่อได้” ราชองครักษ์คนสนิทเอ่ยแสดงความคิดเห็น ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของคนสวมอาภรณ์สีขาวส่องประกายวาววับท่ามกลางแสงตะวัน
“ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร! รู้สึกตรงนั้นจะมีคนนอนอยู่พ่ะย่ะค่ะ!” ราชองค์รักษ์กล่าวพร้อมชี้ให้ฮ่องเต้ของตนทอดพระเนตรไปยังจุดดังกล่าว
พระเนตรสีดำสนิททอดพระเนตรตามนิ้วของราชองครักษ์ไปเบื้องหน้าทันที พระขนงขมวดเข้าหากันทันใด
“พวกเจ้าไปดูสิว่าผู้ใดมานอนกลางป่าเช่นนี้ได้ อีกทั้งอยู่ใกล้กระโจมที่พักของหรงเอ๋อร์เสียด้วย” ทรงมีพระบัญชาออกไปโดยพลัน
หนึ่งในราชองครักษ์รับพระบัญชาพร้อมรีบวิ่งตรงดิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ครั้นวิ่งมาถึงร่างที่กำลังนอนหมดสติคว่ำหน้าอยู่ในเวลานั้น ก็ล่วงรู้โดยพลันว่าเป็นอิสตรี
“อิสตรีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ราชองครักษ์คนดังกล่าวตะโกนก้องกลับมา
และนั่นทำให้พระขนงเข้มขมวดเข้าหากันทันใด
“สตรีอย่างนั้นหรอกรึ! เหตุใดจึงมานอนกลางป่าเช่นนี้” รับสั่งพร้อมพระดำเนินตรงไปยังบริเวณดังกล่าวทันที
ครั้นพระดำเนินมาถึงชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงหยุดยืนนิ่งโดยพลัน เมื่อทอดพระเนตรอาภรณ์บนกายสตรีผู้นั้นเป็นชุดเจ้าสาวสูงค่าสำหรับเชื้อพระวงศ์ใส่เข้าทำพิธีอภิเษกสมรสเท่านั้น
“อาภรณ์ที่สตรีผู้นี้สวมอยู่เป็นฉลองพระองค์สำหรับเข้าพิธีอภิเษกสมรสสำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น มงกุฎหงส์ของนางบอกได้ทันทีว่าเป็นพระชายาเอก นางเป็นองค์หญิงจากแคว้นใดเล่าจึงมาหมดสติบริเวณนี้ได้” รับสั่งพร้อมทรุดพระวรกายลงประทับนั่งยองๆ พลางพลิกร่างงามให้กลับมานอนอยู่ในท่านอนหงาย
“เหวอ!” เสียงอุทานดังออกมาพร้อมกันเมื่อพลิกร่างของสตรีนางนั้นกลับมาในท่านอนหงาย
ราชองครักษ์ทั้งสองต่างรีบกันฮ่องเต้ของตนให้ห่างจากสตรีตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นรูปโฉมของนางที่เต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีทั้งใบหน้าและร่างกายบางส่วน
“ช่างเป็นสตรีที่มีใบหน้าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร! รูปโฉมดั่งปีศาจเช่นนี้บุรุษใดเล่าช่างโชคร้ายยิ่งนัก” หนึ่งในราชองครักษ์รำพึงออกมาทันทีก่อนจะเบือนหน้าหน้าด้วยมิอยากเพ่งพิศรูปโฉมของนางไปมากกว่านี้
ทว่าตรงกันข้ามกับชิงอวิ้นฮ่องเต้ ครั้นทรงหายจากอาการตกพระทัยเมื่อคราแรกเห็น ฮ่องเต้หนุ่มทรงตั้งพระสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พร้อมทรงทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าพระพักตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง เพียงครู่ทรงเบิกพระเนตรกว้างเมื่อครุ่นคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาในพระทัยได้ทันใด
“ในที่สุดข้าก็มีหนทางแล้ว!” ฮ่องเต้หนุ่มรำพึงอยู่ภายในพระทัยพร้อมมีรับสั่ง
“แม้นางจะมีรูปโฉมน่าสะพรึงกลัวแต่ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ คาดว่าจะต้องเกิดเหตุร้ายกับขบวนเจ้าสาวของนางเป็นแน่จึงได้พลัดหลงหรืออาจจะรอดชีวิตมาได้เพียงผู้เดียว เจ้ามิสังเกตนางหรอกรึอาภรณ์รวมไปถึงเครื่องประดับ มิใช่สามัญชนแม้แต่น้อยที่กำลังแต่งงานออกเรือน ตรงกันข้ามนางมีฐานันดรเป็นถึงองค์หญิงเลยทีเดียว นำนางกลับไปที่กระโจม!” ทรงมีพระบัญชาออกไปทันที พร้อมมีรับสั่งสำทับตามติดมา
“ลู่เหอ! เจ้าจงกลับไปเมืองหลวงให้ช่างทองของราชสำนักตีหน้ากากทองคำฉลุลายดอกจวี๋ฮวามาเป็นกรณีพิเศษ ให้ครอบใบหน้าซีกขวาของสตรีและจะต้องทำให้เสร็จภายในสามวัน! เข้าใจหรือไม่”
ครั้นราชองครักษ์คนสนิทได้ยินพระบัญชาขององค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ลู่เหอหันกลับไปมองสตรีปริศนาทันทีด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้น ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ราชองค์รักษ์ขานรับพระบัญชาพร้อมรีบตรงเข้าช้อนร่างสตรีที่นอนมิได้สติขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วนำกลับกระโจมที่ประทับ โดยมีสายพระเนตรชิงอวิ้นฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามหลัง
“ข้ามีทางออกให้เจ้าแล้วชิวหรง!” รับสั่งรำพึงถึงพระน้องนาง ก่อนจะเหลือบสายพระเนตรกระทบเข้ากับบางสิ่งที่ตกอยู่บนพื้นดิน พระหัตถ์เอื้อมหยิบออกจากพงหญ้าขึ้นมาทอดพระเนตรทันใด
ป้ายหยกสีเขียวมรกตจากยุคปัจจุบัน ซึ่งทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้นางร้ายหน้าสวยเฉินวาวาใช้ในการถ่ายทำฉากแรกสลักชื่อตัวละครเอก เยว่วาวา เอาไว้ตามท้องเรื่องที่หญิงสาวต้องถ่ายทำ บัดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของชิงอวิ้นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉู่ในยุคโบราณ
“เยว่วาวา!นางมาจากตระกูลเยว่อย่างนั้นรึ! เป็นไปได้อย่างไรกัน” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยอย่างยิ่งยวดพระพักตร์เงยขึ้นทอดพระเนตรตามหลังราชองค์รักษ์ที่กำลังอุ้มสตรีนางนั้นกลับกระโจม ท่ามกลางความสงสัยและเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
[1] ในสมัยโบราณยุคต้นราชวงศ์แรกเริ่มของจีนตั้งแต่ ราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ซาง ประเพณีในการสมรสกำหนดอายุที่จะถึงเกณฑ์เอาไว้ 20 ปี
ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (*******– 771 ปี ก่อนค.ศ. ) ประเทศจีนในยุคนั้นได้มีการใช้กฎกำหนดอายุแต่งงานที่ให้ชายแต่งหญิงเมื่ออายุ 30 ปี และหญิงแต่งเข้าบ้านฝ่ายชายเมื่ออายุ 20 ปี คนสมัยโบราณเห็นว่า ชายที่อายุ 30 ปี มีกล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง สามารถทำหน้าที่พ่อได้ ส่วนหญิงที่มีอายุ 20 ปี ก็ถือเป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ สามารถทำหน้าที่แม่ได้ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึง ความรู้ทางด้านกายภาพของคนสมัยนั้นอยู่ในระดับสูง