ชายแดนแคว้นฉู่
“พรึ่บ!” ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
หญิงสาวนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บริเวณชายป่าเขตแดนแคว้นฉู่ ซึ่งเดิมทีเป็นของแคว้นฉู่ทั้งหมด ภายหลังต้องแบ่งสิทธิในการดูแลและครอบครองเมืองแถบชายแดนของแคว้นฉู่ทั้งหมดให้กับแคว้นเทียนโจวคนละครึ่งช่วยกันปกครอง เพื่อทางเทียนโจวสามารถสอดส่องและส่งกองทหารมาตรึงตามชายแดน มิให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นมาได้อีก
ด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามในศึกเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน ทำให้แคว้นฉู่จำต้องยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งดีกว่าจะต้องเสียแคว้นให้อยู่ใต้การปกครองของเทียนโจวตลอดไป และการก้าวเดินถอยหลังของวาวาถึงห้าก้าวในเขตแดนปีศาจเข้าสู่ภพมนุษย์ทำให้เธอกลับมาในยุคอดีตภายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างแคว้นเทียนโจวและแคว้นฉู่เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลานานถึงห้าปี
ในขณะที่จอมมารชินซางทรงสวมกอดนางเอาไว้แนบอกตลอดเวลาจึงทำให้พระองค์หวนกลับคืนสู่อดีตกาลเช่นเดียวกัน แต่ทรงกลับมาเพียงลำพังโดยไร้สิ้นนางในอ้อมกอด ด้วยเพราะเฉินวาวาก้าวถอยหลังถึงห้าก้าวทำให้กลับมาช้ากว่าพระองค์ห้าปี
ร่างงามที่กำลังนอนคว่ำหน้าหมดสติเต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีลามเลียไปทั่วร่าง มีลักษณะเป็นเส้นเลือดสีแดงเข้ม แผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย กำลังเริ่มค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย คงเหลือเพียงบริเวณใบหน้าซีกขวายาวไปถึงลำคอและร่างกายซีกขวาทั้งหมดของหญิงสาวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หญิงสาวสลบไสลยังไม่ได้สติและมิรู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด
ในขณะเดียวกันขบวนเสด็จขององค์หญิงจากแคว้นฉู่ ได้ตั้งกระโจมที่ประทับพักแรมอยู่แถบบริเวณดังกล่าวเช่นเดียวกันไม่ไกลจากจุดที่เฉินวาวานอนหมดสติอยู่ในขณะนี้ ขบวนเสด็จดังกล่าวกำลังเดินทางไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้นฉู่และแคว้นเทียนโจว
เนื่องจากอดีตฮ่องเต้แคว้นฉู่ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือองค์หญิงเยว่ชิงหรงเท่านั้น ในขณะที่เสด็จสวรรคตกลางสนามรบในครั้งนั้น พระราชธิดาทรงมีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษา ซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสมรสตามจารีตประเพณี[1]
ด้วยเหตุที่ยังเยาว์ชันษาแคว้นฉู่จึงเลื่อนกำหนดไปอีกห้าปีข้างหน้า เมื่อองค์หญิงเยว่ชิวหรงมีพระชนม์มายุครบยี่สิบชันษา จึงจะนำพระราชธิดาของแคว้นฉู่เดินทางมาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นเทียนโจวตามสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างสองแคว้น และระยะเวลาดังกล่าวก็ครบกำหนดในปีนี้ ซึ่งขบวนเสด็จขององค์หญิงแคว้นฉู่ก็คือขบวนเจ้าสาวนั่นเอง
ทว่าในเวลานี้ทั่วทั้งกระโจมที่ประทับต่างวุ่นวายกันถ้วนหน้า หมอหลวงเดินเข้าเดินออกกระโจมกันจ้าละหวั่นเมื่อองค์หญิงชิวหรงทรงประชวรอย่างกะทันหัน มีพระอาการชักอยู่ตลอดเวลา จนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นฉู่ซึ่งเป็นพระเชษฐาต้องเสด็จจากวังหลวงมาทอดพระเนตรพระอาการของพระขนิษฐาด้วยพระองค์เอง
“องค์หญิงเป็นเช่นไร! เหตุใดจึงมีอาการชักไม่หยุดเช่นนี้!” รับสั่งถามหมอหลวงด้วยความกังวลพระทัย
หัวหน้าหมอหลวงที่เดินทางมาพร้อมกับองค์ฮ่องเต้ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เมื่อตรวจพระอาการพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้อย่างละเอียด
“องค์หญิงทรงพระประชวรเป็นโรคลมชักพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท และที่น่าหนักใจก็คือทรงมีพระอาการรุนแรงมากเพราะชักติดต่อกันทุกๆ หนึ่งชั่วธูป พระอาการเช่นนี้สามารถสิ้นพระชนม์ได้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำกราบทูลของหัวหน้าหมอหลวง องค์ฮ่องเต้ทรงยืนนิ่งไปโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“น้องหญิงของข้ามีอาการหนักถึงเพียงนี้เชียวรึ! ไอ้โรคบ้านี่มาได้เยี่ยงไร แต่ไหนแต่ไรมานางก็มิเคยมีอาการปรากฏเฉกเช่นนี้มาก่อน จู่ๆ ก็เป็นขึ้นมามันต้องมีสาเหตุ! เจ้าจงตอบข้ามา!” รับสั่งสุรเสียงดังเอ็ดอึง
หัวหน้าหมอหลวงได้แต่ก้มหน้านิ่งมองพื้นมิรู้จะกราบทูลเช่นไรดี ได้แต่ตอบความจริงกลับไป
“กราบทูลฝ่าบาท โรคนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็มิปรากฏให้เห็นเท่าใดนัก เวลาจะเกิดขึ้นมักจะมาโดยมิทันได้ตั้งตัวทุกราย ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในเด็กเล็กแล้วไซร้ มิเคยมีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่รายเดียว หากปรากฏโรคนี้กับผู้เจริญวัยกว่าอาการจะรุนแรงมากน้อยเพียงใดอยู่ที่สุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าหรงเอ๋อร์มีสุขภาพอ่อนแออย่างนั้นรึ!” รับสั่งถามกลับไปทันที ก่อนจะได้ยินหัวหน้าหมอหลวงกราบทูลตอบกลับมา
“ช่วงสามปีหลังองค์หญิงทรงบรรทมมิค่อยได้ด้วยเพราะความกังวลและทรงคิดมาก ประกอบกับภายในพระวรกายทรงมีไอเย็นอยู่มาก ความเป็นหยินในพระวรกายมีมากกว่าหยาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดโรคนี้แทรกซ้อนขึ้นมา และที่สำคัญโรคนี้ผู้ใดเป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แม้แต่น้อย ทำได้แต่เพียงให้บรรเทาลงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยกราบทูลของหมอหลวงทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ทรงยืนนิ่งงันไปทันใด พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรพระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวด้วยความรักและห่วงใยยิ่งนัก ด้วยทรงมีกันเพียงแค่สองพระองค์เท่านั้น
“น้องหญิงของข้ากลัดกลุ้มเป็นกังวลจนมิอาจหลับได้เป็นเพราะต้องเข้าถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้แคว้นเทียนโจว ทั้งๆ ที่ข้ารู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังดึงดันที่จะส่งนางไปให้ได้” รับสั่งพึมพำก่อนจะทรุดพระวรกายประทับลงนั่งบนแท่นพระบรรทม
พระหัตถ์ยกขึ้นลูบไล้พระพักตร์พระน้องนางด้วยความรักและเป็นห่วง แต่ในขณะเดียวกันข้อตกลงในฐานะผู้พ่ายแพ้สงครามก็ยังต้องทรงปฏิบัติ ห่วงบ้านเมืองก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยิ่งพระขนิษฐามาเป็นเสียแบบนี้ทำเอาฮ่องเต้หนุ่มทรงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ข้าจะทำเช่นไรดีเล่าจึงจะแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี จะส่งสาสน์เพื่อเลื่อนการแต่งงานของสองแคว้นออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนดแน่ชัดก็ช่างกระไร เทียนโจวอาจจะต้องคิดว่าข้ากำลังวางแผนก่อกบฏอย่างแน่นอน สงครามครั้งก่อนทำให้แคว้นฉู่บอบช้ำและเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง ระยะเวลายังไม่สุกงอมที่จะตลบหลังเทียนโจวในเวลานี้ได้ ตราบใดที่ยังมิล่วงรู้ทางหนีที่ไล่ภายในวังหลวง” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยก่อนจะปิดพระเนตรลง เมื่อทรงเริ่มมีพระอาการปวดพระเศียร
“ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องใช้ความคิดและตัดสินใจ พวกเจ้าอยู่ทางนี้ดูแลองค์หญิงให้ดี” รับสั่งกำชับบรรดาหมอหลวง
“พ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเหล่าหมอหลวงขานรับอย่างพร้อมเพรียง
พระวรกายสูงโปร่งทรงลุกยืนจากแท่นพระบรรทมเสด็จพระดำเนินออกจากกระโจมที่ประทับพร้อมโดยมีราชองค์รักษ์คอยติดตามอารักขาสองนาย