"สวัสดีค่ะแม่ คิดถึงแม่ที่สุดในโลกเลยจุ๊บ!"
"คิดถึงแม่แล้วทำไมหนูไม่โทรมา รู้ไหมแม่รอหนูโทรมาทุกวันเลยรอแล้วรอเล่าก็ไม่โทร จนแม่ต้องโทรหา"
"นาราขอโทษค่ะแม่ พอดีหนูยุ่งๆ อยู่กับการสมัครงานค่ะแม่" ฉันพูดไปพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่มันไหลเล็ดออกมา เพราะความคิดถึงผู้เป็นมารดา แต่ฉันก็พยายามกลั้นเอาไว้ พร้อมกับทำเสียงให้เป็นปกติ เพราะกลัวว่าแม่จะเป็นห่วง
"แล้วหนูได้งานทำหรือยัง ถ้ามันหายากก็กลับมาบ้านเรานะนารา มาช่วยแม่ขายของก็ได้" ที่บ้านของฉันเปิดร้านขายของชำ ร้านไม่เล็กไม่ใหญ่มากกลางๆ มีลูกจ้างหนึ่งคน คอยช่วยแม่ขายของ เพราะตอนที่ฉันกับน้องไปเรียน แม่ไม่มีคนช่วยหลังจากนั้นก็จ้างเขามาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้
"ไม่เป็นไรค่ะแม่ งานที่นาราไปสมัครเขาเรียกแล้วค่ะพรุ่งนี้ก็จะได้ไปทำงานแล้ว โรงงานก็อยู่ใกล้ๆ กับบ้านป้าสาด้วยนะคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนารานะคะ"
"นาราถ้าไม่ไหวหนูกลับมาเรียนต่อเถอะนะลูก ส่วนนาทีแม่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ไม่ต้องห่วงหรอก แม่อยากให้หนูได้เรียนสูงๆ"
"แม่ค่ะ ถึงนาราจะจบแค่ปอวอสอ แต่สมองของหนูระดับด็อกเตอร์เชียวนะคะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนาราหรอกค่ะ แม่เก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมให้กับนาทีเถอะนะคะ น้องต้องใช้เงินเยอะ ส่วนค่าอยู่ค่ากินเดี๋ยวนาราจะเป็นคนจ่ายให้นาทีเองนะคะแม่"
ผมแอบฟังเธอคุยโทรศัพท์ แล้วยังแอบตลกกับคำพูดของเธอ นาราคิดได้ยังไงจบปอวอสอสมองด็อกเตอร์ ยัยเนี่ยมักจะพูดหรือทำอะไรให้ผมเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา
"แม่ไม่อยากให้ใครเขามองว่าแม่ไม่มีปัญญาส่งเสียลูกเรียนจบสูงๆ เหมือนคนอื่นเขา"
"ใครคนนั้นของแม่หมายถึงพ่อใช่ไหมคะ”
"ใครก็ช่างเถอะแค่นี้นะ ลูกค้าเข้าร้านแม่ต้องไปดูลูกค้าก่อน ยังไงก็ติดต่อมาหาแม่บ้าง แม่รักหนูนะ อย่าเงียบไปแบบนี้ ติดต่อกลับมาบ้างนะนารา”
"ค่ะแม่สวัสดีค่ะ นาราก็รักแม่นะคะ จุ๊บ!"
แม่ของฉันก็เป็นแบบนี้ ถ้าพูดถึงพ่อ แม่ก็จะตัดบทการสนทนาทันทีจะไม่มีการพูดต่อ เมื่อวางสายจากมารดาแล้ว ทำให้ฉันนึกถึงคนที่กำลังพูดถึง ผู้ชายผู้ที่ไม่เคยแยแสต่อพวกเราเลย ครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวพ่อจากป้าสา ป้าบอกว่าพ่อทำธุรกิจส่วนตัวกับภรรยาใหม่ของเขาอยู่แถวกรุงเทพฯ นี่แหละ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะทำอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่เคยสนใจพวกเราเลยแม้สักนิดเดียว
ผมมาคิดดูแล้วพอจะเดาได้ในคำพูดที่นาราละเมอออกมา เมื่อคืนนั้นคนที่ทิ้งเธอไปคือใคร เธอคงเจ็บปวดมากมันคงเป็นแผลในใจ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไปชั่วชีวิตของเธอ แต่ผมจะเป็นคนรักษามันเองด้วยวิธีของผม
วันนี้เป็นวันแรกในการทำงานของฉัน และครั้งแรกในชีวิต แต่ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกราวกับว่ากำลังจะออกรบก็ไม่ปาน ฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี วันที่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หกใส่ ฉันแพ้มันเกือบเอาชีวิตไม่รอด เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผู้เป็นมารดา ห้ามฉันออกไปสังสรรค์ตามงานในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงงานแต่งงานอะไรก็ตาม ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม่ไม่ให้ฉันไปเหยียบเลย
ตอนนี้ฉันกำลังเข้าคิว เพื่อรอสแกนนิ้วมือเข้างานที่ไลน์ผลิต แต่ทำไมใจฉันมันยิ่งเต้นแรง ราวกับว่ามันกำลังจะกระเด็นออกมาเต้นข้างนอกยังไงอย่างนั้น ไม่รู้มันจะคุ้มกันไหม ถ้าฉันจะต้องตายตั้งแต่เข้างานวันแรก แต่อีกใจก็อยากลองเสี่ยงดู เผื่ออาการแพ้ของฉันมันหายไปแล้ว เพราะงานสมัยนี้หายากยิ่งกว่าอะไร หากฉันไม่คว้าเอาไว้ มีหวังได้กลับบ้านแน่ ยังไงก็มาไกลแล้วเดินหน้าก็แล้วกัน
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดปนลุ้นกับชีวิตตัวเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของฉันมันก็ดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดูเป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาเบอร์ของใครแปลกๆ หรือว่าแม่ฉันจะยืมโทรศัพท์ใครโทรมา ฉันจึงตัดสินใจกดรับสาย เพราะคนที่ต่อแถวข้างหน้ายังเหลืออีกประมาณสี่สิบคนจึงจะถึงคิวชั้น
"ฮัลโหล สวัสดีค่ะไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ"
"ฉันเอง"
"เสียงคุ้นหูจัง เฮ้ยลุง! ลุงได้เบอร์ฉันมาจากไหนเนี่ย" ฉันไม่เคยให้เบอร์เขาเลยนะ แล้วเขาเอาเบอร์ของฉันไปได้ยังไง
"เอามายังไงก็ช่างเถอะ ฉันอยากอวยพรให้เธอทำงานวันแรกขอให้เธอสนุกกับมันนะและก็ขอให้มีความสุขกับงานที่ทำ"
"ความสุขกับผีสิลุง ถ้าเย็นนี้ฉันยังไม่กลับบ้าน ช่วยส่งรถมาเก็บศพฉันด้วยนะ”
"ยัยเด็กบ้า! ปากปีจอจังเลยนะ ทำไมต้องแช่งตัวเองด้วย"
"คืองานที่ฉันได้ทำ มันเป็นโรงงานผลิตไวน์น่ะ และฉันก็อยู่ไลน์ผลิตด้วย คือว่าฉันเคยแพ้แอลกอฮอล์เกือบตาย ซึ่งฉันก็แพ้แม้กระทั่งกลิ่นของมันด้วย แต่มันอาจจะหายแล้วก็ได้นะฉันก็เลยลองเสี่ยงดู"
"เด็กบ้าเอ๊ย! ทำไมเธอไม่บอกฉัน เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่เคยเล่าให้ฉันฟังบ้างเลย" ผมพูดแค่นั้นก็ตัดสายจากนาราทันที ผมยอมรับว่าโกรธเธอ อาจเป็นเพราะว่าผมห่วงเธอมาก ที่ยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับงานแบบนั้น
"อ้าวลุง! ฮัลโหล! ฮัลโหล! ลุง! ..อะไรของเขาเนี่ย คิดจะโทรก็โทรคิดจะตัดสายทิ้งก็ตัด เป็นไบโพล่าหรือไง" ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า อีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวฉันแล้ว