ในขณะที่นับดาวกำลังร่ายยาว เสียงเพลงสายเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้น ผมเอานิ้วชี้ขึ้นมาจุปาก เพื่อให้น้องสาวเงียบไว้ เพราะเบอร์โทรเข้าเป็นของมารดา
"เงียบเลยนะน้อง คุณนายแม่โทรมาคงเป็นเรื่องเจสซี่แน่ๆ" แล้วผมก็หยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
"สวัสดีครับคุณหญิงลินดา มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ" ผมพูดเสียงหวานออดอ้อนไปตามสาย
"แกไม่ต้องมาพูดดีเลยนะตาภู แกรู้ไหมว่าตอนนี้หนูเจสซี่เขาเสียใจแค่ไหน ทำไมแกเป็นคนแบบนี้ ไม่มีความรับผิดชอบปล่อยผู้หญิงไว้แบบนั้นได้ยังไง ความเป็นสุภาพบุรุษของแกหายไปไหนหมด"
มารดาผมร่ายยาวราวกับพระเทศน์ ไม่รู้ว่านางไปหลงเสน่ห์อะไรของเจสซี่ ถึงได้เข้าข้างกันมากขนาดนี้
"แม่ครับพอดีผมมีนัดกับลูกค้ารายสำคัญ ก็เลยขอตัวออกมาก่อน"
"แกไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะ! ฉันโทรหาเลขาแกแล้ว แกไม่ได้ไปไหน ลูกค้าอะไรนั่นก็ไม่มี เย็นนี้แกไปรับหนูเจสซี่มาทานข้าวที่บ้านเลยนะ ตาภู แม่มีเรื่องจะคุยด้วย "
"เย็นนี้ผมไม่ว่างครับแม่"
"เย็นนี้แกก็ว่าง ฉันเช็คจากเลขาแกแล้ว แกว่างทั้งวันเลยนะวันนี้ ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นแม่อยู่ละก็ อย่าปฏิเสธความหวังดีของฉัน” ผมคงปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะแม่ยังไงก็เป็นแม่อยู่ดี ก็เลยจำใจต้องต้องตอบตกลงออกไป
“ตกลงครับแม่ แค่นี้นะครับ ผมรักแม่นะครับ" ผมรีบกดวางสายแล้วหันหน้ามาหาน้องสาวอันเป็นที่รัก และเธอก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับผมในเวลานี้
"พี่ก็ตามน้ำไปก่อนแล้วกัน พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอ แม่ก็คือแม่บวกกับคุณเจสซี่อะไรนั่น น้องบอกเลยว่างานนี้ อิฐ หิน ปูน ล้วนๆ ไม่มีทรายผสม งานหยาบก็มาค่ะพี่ชายสุดที่รัก"
"พี่ไม่ขำ"
"ก่อนหน้านี้ใครนะ น้องพูดอะไรก็ขำเอาขำเอา อิอิ"
"แต่ตอนนี้พี่ขำไม่ออกแล้ว ท่าทางนายแม่เอาจริง"
"ไปเก็บของ แล้วไปรับคุณเจสซี่ น้องจะไปด้วยเป็นไม้กันหมาให้ อย่าเครียดเดี๋ยวน้องช่วยเอง เชื่อสิฝีมือนับดาวซะอย่าง"
อย่างน้อยในยามนี้ เวลาที่ผมเครียดก็ได้น้องสาวที่น่ารักอย่างนับดาวคอยอยู่ข้างๆ แต่ผมอุตส่าห์จะรีบกลับบ้านซื้อของไปให้ยายจุ้นสักหน่อย วันนี้คงผิดแผนแล้วแถมยังมีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีก
ผมไปรับเจสซี่โดยมีนับดาวน้องสาวของผมนั่งไปด้วย พอเธอเห็นน้องสาวของผมเท่านั้นแหละ เจสซี่มีท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อนับดาวนั่งคู่กับผม เธอบอกให้นับดาวไปนั่งเบาะหลัง แต่น้องสาวผมก็ไม่ยอมทั้งคู่จึงชักสีหน้าใส่กันจนถึงบ้าน ไม่รู้สองคนนี้จะทำศึกกันอีกนานแค่ไหน
เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน มารดาของผมก็นั่งรอที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว โดยมีอาหารคาวหวานขึ้นไว้เต็มโต๊ะ ซึ่งมารดาของผมก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เวลาที่นางพาผู้หญิงมาแนะนำให้ผมได้รู้จักก็มักจะจัดเต็มเสมอ
"มาเลยจ้าหนูเจสซี่ วันนี้แม่ทำของโปรดไว้ให้หนูด้วยนะ ดูสิมีแต่ของโปรดของหนูทั้งนั้นเลย" คำพูดท่าทางของมารดาผม ดูจะเห่อเธอเอามากๆ
"สวัสดีค่ะคุณแม่ขอบคุณมากนะคะ คุณแม่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ"..เธอจีบปากจีบคอพูดพร้อมกับยกมือไหว้มารดาของภูตะวัน
"อ้าว! หนูก็ลูกสาวคุณแม่นะคะ ไม่มีของโปรดหนูเลยเหรอคะ”
"เราหน่ะ ทานได้หมดทุกอย่าง อะไรของโปรดแม่ยังไม่รู้เลย แล้วนี่มากับพี่เขาได้ยังไงล่ะ” ผู้เป็นมารดาถามออกไป พร้อมกับทำหน้าสงสัย
"เอ่อ..อ๋อพอดีรถนับดาวเสียค่ะ ก็เลยโทรให้พี่ภูไปรับ"
ผมมองท่าทางอ้ำอึ้งของคนโกหกแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ดีนะนับดาวเอารถไว้ที่โรงงาน ไม่อย่างนั้นคุณแม่คงสงสัยมากไปกว่านี้แน่นอน
ในเวลานี้เจสซี่กับคุณแม่ของผมดูท่าทางจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เธอพูดจีบปากจีบคอพูดเอาอกเอาใจมารดาผมใหญ่เลย ส่วนมารดาของผมก็น้อยหน้าซะที่ไหนเป็นไปกับเขาด้วย
"ตาภูตักอาหารให้น้องหน่อยสิ!! มีแต่ของโปรดหนูเจสซี่ทั้งนั้นเลย ทานให้อร่อยนะลูก"
ผมยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ส่งสายตาให้นับดาว เพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ ผมไม่ค่อยชอบกับการเอาใจผู้หญิงแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น แค่ตักอาหารกินเองทำไมถึงทำไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่ใช่คนถูกใจ ผมเลยไม่มีความรู้สึกพิเศษอยากจะเทคแคร์ก็ไม่รู้
"พี่เจสซี่นี่แกงมัสมั่น คุณแม่เป็นคนลงมือทำเองเลยนะคะ ลองชิมดูสิอร่อยมากเลย เห็นบอกว่าเป็นของโปรดของคุณพี่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ" "ขอบใจจ้ะ แต่พี่ภูไม่เห็นจะตักให้เจสซี่บ้างเลยล่ะคะ"
เธอปั้นหน้ายิ้มให้นับดาวก่อนจะทำท่าออดอ้อนใส่ผม..ผมยังคงทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่สายตาคุณแม่ที่มองมายังผม มันคือสายตาพิฆาต แน่นอนผมไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ ผมยอมตักอาหารใส่จานให้กับเจสซี่ เธอยิ้มรับอย่างพอใจ ผมยอมรับว่าอึดอัดมากกับบรรยากาศแบบนี้
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ แม่ของผมยังให้มาคุยโน่นนี่นั่นซึ่งมันเป็นการฝืนใจ แต่ผมก็ต้องทนกล้ำกลืน ยายนับดาวน้องสาวตัวแสบก็ปลีกตัวเดินขึ้นห้องหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ปล่อยให้ผมรับมืออยู่คนเดียว
กว่าผมจะชักแม่น้ำทั้งห้าได้สำเร็จ ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว เจสซี่ยอมให้ผมไปส่งเธอที่บ้าน ซึ่งผมต้องอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด แล้วเธอยังคะยั้นคะยอจะให้ผมพาเธอไปต่อที่ผับให้ได้ กว่าผมจะหาทางปฏิเสธเธอออกมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบยี่สิบสองนาฬิกา ผมรีบขับรถออกมาทันที พอไปถึงบ้าน หลังจากเอารถไปเก็บ ผมรีบเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อไฟชั้นล่างยังเปิดอยู่และเสียงทีวีก็ดังอีกด้วย ยายเด็กนั่นยังไม่นอนอีกเหรอ
ผมเดินมาที่โต๊ะอาหารแล้วเปิดฝาชีที่ครอบอยู่ อาหารยังไม่ถูกตัก ข้าง ๆ มีจานสองใบ พร้อมช้อนส้อมวางเรียบร้อย อย่าบอกนะว่ายัยเด็กนั่นยังไม่ได้ทานอะไรเลย ผมมองไปยังโซฟาตัวยาวตรงที่ทีวีเปิดอยู่ ซึ่งยัยเด็กนั่นหลับไปแล้วผมพยายามปลุกเธอ
"นี่เธอ! ทำไมมานอนตรงนี้ตื่นได้แล้ว ทานข้าวหรือยัง ลุกเร็ว ถ้าจะนอนก็ขึ้นไปนอนบนห้อง"
"อืม" เสียงของเธออู้อี้อยู่ในลำคอของคนตัวเล็กดังขึ้น ทั้งที่ตาของเธอยังหลับสนิท
"ตื่น! นี่เธอนอนหรือซ้อมตายกันเนี่ย ตื่นขึ้นไปนอนข้างบนได้แล้ว ทำไมถึงได้ขี้เซาอย่างนี้นะ! ฉันยอมเธอจริงๆ" ผมเขย่าตัวเธอหลายครั้งเบาๆ แต่เธอก็ยังคงหลับ สงสัยคงเหนื่อยจากการเดินไปสมัครงานมาทั้งวัน แล้วตอนเย็นยังมาทำงานบ้านอีก ผมจึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นไปบนห้อง
"อึ้บ! เห็นตัวผอมๆ แบบนี้หนักเหมือนกันนะเราเนี่ย"