นิกรหันมามองหน้าลูกสาว เรื่องหมั้นหมายเอมก็ไม่ได้รับรู้ พ่อแม่ก็ไม่ได้ถามความรู้สึก บ้านนี้กำลังจะจัดงานหมั้นให้ คนเป็นพ่ออย่างเขาไม่รู้จะตอบแบบไหนไป จนกระทั่ง
“เอม หนูจะว่ายังไง หากป้ากับลุงจะจัดพิธีหมั้นขึ้น”
“คือหนู…” คราวนี้เธอหันไปมองหน้าของขุนเขา แต่มันแปลกตรงที่พี่ขุนเขานิ่งไม่มีความเห็น ดูเหมือนเขาไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแถมยังนั่งทานอย่างสบายใจ
“หนูเอมเราเป็นผู้หญิง ป้ารู้ว่าอย่างน้อยๆ ต้องทำให้ถูกต้องเวลาไปไหนมาไหนกับพี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจไงจ๊ะ”
เธอใช้ความนิ่งเพื่อครุ่นคิด จากนั้นก็หันมามองหน้าพ่ออีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจพูดอะไรบ้างอย่าง
“หนูแล้วแต่พ่อ”
“เหอะ!” เสียงที่แทรกขึ้นเป็นเสียงของขุนเขา ไม่รู้ว่าที่กลั้วขำในลำคอนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่อย่างนั้นกิ่งก็ไม่ได้ให้ความสนใจลูกชาย แต่กับหันมาคุยกับลูกสะใภ้แทน
“งั้น ก็ตามนี้แหละ เพราะยังไงพ่อหนูก็ต้องแล้วแต่ป้ากับลุงอยู่แล้ว เดี๋ยวป้าจะไปหาฤกษ์ดีไหม เอาวันที่หนูกับขุนเขาหยุดเรียนเป็นไง สะดวกดี” ดูเหมือนแม่ของชายหนุ่มจะมีความสุขมากกว่าทุกวัน กิ่งทั้งพูดทั้งยิ้มอวยว่าที่ลูกสะใภ้ จนทำให้ขุนเขายิ่งรู้สึกหมั่นไส้ เขาทั้งเบ้ปากทั้งเบือนหน้านี้ สุดท้าย
“ผมอิ่มแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ” คำพูดนั้นมันทำให้เฌอเอมรู้ดีว่าขุนเขาไม่ได้ร่วมยินดีกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น แต่ที่แปลกคือเขาก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดอีก
นั่งทานกันอยู่พักใหญ่ก็อิ่ม แต่คราวนี้ทุกคนเปลี่ยนมุมเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนเอมเธอไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับผู้ใหญ่จึงขอเดินเล่นที่หน้าบ้าน พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาเพื่อนในกลุ่ม ส่วนเรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายมา ทว่า…
พรึบ
มือถือที่เธอยืนกดอยู่นั่นถูกใครอีกคนแย่งไปอย่างหน้าตาเฉย พร้อมคำอ่านที่เปล่งเสียงออกมาชัด
“พรุ่งนี้เราไปเอารถแล้ว เดี๋ยวเราไปส่งนะ” ขุนเขายืนอ่านพร้อมเบ้หน้าทำท่าทางเลี่ยน เพราะเรื่องที่เจตส่งมาในแชตไม่ใช่งานแต่เป็นเรื่องส่วนตัว
“พี่ขุนเขา! พี่ถือดีอะไรมาแย่งมือถือคนอื่นคะ”
“เธอหูหนวกหรือเปล่า เมื่อกี้แม่ฉันพึ่งบอกว่าจะจัดงานหมั้น ดังนั้นเรื่องของเธอทุกเรื่องฉันต้องรู้”
“แต่นี้มันเรื่องส่วนตัว”
“แล้ว?”
“เอามือถือเอมคืนมา”
“อยากได้ก็เอาเองสิ” พูดพร้อมยกมือถือชูขึ้นสูง ประกอบกับตัวเองก็สูงอยู่แล้วยิ่งทำให้เฌอเอมมีปัญหากับการเอื้อมมือหยิบ
“เอามานะ นิสัยไม่ดีเลย” เหมือนจะชุลมุนกันอยู่สักนิด เฌอเอมทั้งโมโหทั้งต่อว่า แต่ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเล่นกับอารมณ์เธอตอนนี้ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่น่าจะสู้ขุนเขาได้เฌอเอมก็ทำในสิ่งที่สมองสั่ง อ้าปากงับที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างจัง จนขุนเขาเผลอร้องเสียงหลงไป
“โอ้ยย” และนั่นมันทำให้เฌอเอมแย่งโทรศัพท์คืนมาได้ พร้อมทั้งเตรียมวิ่งเข้าบ้าน ทว่า…
“ยายตัวดีมานี้เลย”
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ขุนเขากระชากแขนของสาวน้อยไปอีกทางให้พ้นบริเวณหน้าบ้านที่ไฟส่องเห็น จากนั้นก็เหวี่ยงร่างของเฌอเอมไปชิดผนัง พร้อมทั้งตัวของขุนเขาก็คร่อมร่างนั้นไว้ จับมือทั้งสองข้างตรึงไว้สูงจนเหนือหัว
“พี่จะทำอะไร หากพี่ทำอะไรเอมจะร้องให้ป้ามาช่วย”
“ร้องสิ”
“ปะ...ฮืม! เสียงนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อริมฝีปากของขุนเขาบดขยี้ลงไปอย่างหนัก แม้ว่าเฌอเอมจะดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผลด้วยความที่ตัวเล็กกว่า แถมยังถูกตรึงไว้แน่นอีก
ขุนเขาถอนจูบออกจากนั้นก็จ้องนัยน์ตาคู่สวยที่มันเป็นประกายเหมือนจะมีน้ำตาคลออยู่
“เป็นอะไร ก็แค่จูบ ตอนนั่งกินข้าวไม่เห็นจะปฏิเสธเรื่องหมั้นนิ พ่อเธอก็เหมือนกัน คงอยากให้ลูกสาวได้ผัวเต็มที่” น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นมันฟังแทบไม่ได้ เพราะขุนเขาดูเหมือนคนไร้จิตใจ ไร้หัวใจที่จะรู้สึกผิดชอบชั่วดี ส่วนเฌอเอม
“ทำไมพี่ชอบทำแบบนี้ด้วย หากพี่ไม่ได้รู้สึกอะไร เราก็แค่ทำตามที่ผู้ใหญ่บอกเพื่อความสบายใจของท่านก็ได้”
“ไม่ได้! เพราะทุกอย่างเธอกับพ่อวางแผนกันมาแล้วนิ หากอยากมาเป็นคู่หมั้นฉันก็ต้องทน ถ้าทนไม่ได้ก็ถอนหมั้นไปสิ”
“พี่คิดว่าเอมไม่กล้าหรือยังไง”
“กล้าก็ไม่ซะสิ!”
แน่นอนแหละว่าเฌอเอมเธอไม่กล้าที่จะบอกป้ากิ่ง เพราะป้ากิ่งดีกับเธอ อีกทั้งพ่อเธอเคยบอกว่าครอบครัวป้าช่วยเหลือทุกอย่างจนทำให้พ่อของเธอเปิดร้านอาหารได้ถึงทุกวันนี้
“เงียบทำไม อย่ามาทำสำออยร้องไห้นะ ฉันไม่สงสาร”
เฌอเอมเธอเม้มปากแน่น ดวงตากลมจ้องมองที่ใบหน้าของขุนเขาด้วยความโกรธ จากนั้นเธอจึงพูดขึ้น
“ปล่อยสิ ปล่อยเอมสิ” เชื่อไหมว่าขุนเขาไม่ยอมปล่อยแถมทำเหมือนจะก้มลงไปจูบน้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้
“หนูเอมอยู่ไหนจ๊ะ!!”
ใจร้ายยยย ?