เริ่มดึกแล้วก็ยังไร้เงาของชานป๋อหลินในห้องนอนกว้างขวางที่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและต้องจัดการในวันนี้ทำให้อลินนอนไม่หลับ ท้องรู้สึกหิวอีกครั้งและรู้สึกว่าการสั่งอาหารแบบรูมเซอร์วิสมาที่ห้องนั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อ โกลด์สตาร์ครูซน่าจะมีอะไรให้ทำมากกว่าการนั่งแกร่วรอเป็นนกน้อยในกรงทอง อย่างน้อยได้ออกไปทานข้าวหรือนั่งฟังเพลงข้างนอกก็คงดีกว่านี้
คว้ากระเป๋าสตางค์ออกมาจากห้องหรูหราแต่แสนเงียบเหงาไร้เงาคนอื่นได้มองเห็นแต่ท้องทะเลอันมืดมิดเดียวดายแล้วก็เดินเรื่อยตามทางเดิน ไม่มีใครเฝ้าหน้าห้องเพราะหล่อนไม่มีทางหนีไปไหนได้ ทอดสายตามองไปยังทางยาวและกว้างขวางของทางเดินในเรือ เพียงแค่ทางเดินก็ยังสวยงามอย่างกับอยู่บนสรวงสวรรค์แต่มันคงจะดีกว่านี้หรอกถ้าไม่ได้ถูกบังคับมา...
เพราะดูแผ่นพับเกี่ยวกับรายละเอียดเรือมาบ้างแล้วที่ห้อง หล่อนจึงเลือกไปที่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมของห้องอาหารและบาร์เลาจน์ต่างๆ โกลด์สตาร์ครูซเป็นที่เลื่องลือเรื่องความหรูหราอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับเรือสำราญ นอกนั้นยังเป็นกิจการของกลุ่มเพื่อนๆ ที่มีอิทธิพลของชานป๋อหลินและเควิน พวกเขาจึงมักใช้ที่นี่พักผ่อนและคุยงานกันโดยสามารถจำกัดวงกว้างของคนบนเรือได้รวมทั้งมีความปลอดภัยมากกว่าไปที่อื่น
มีคนพูดกันอย่างลับๆ ว่าบนเรือนั้นสามารถกำจัดคนที่ไม่ต้องการที่พวกเขาพาตัวมาได้ง่ายๆ พ้นหูพ้นตาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พวกเขาจึงมักทำอะไรหลายอย่างที่นี่ แม้จะเป็นข่าวลือน่ากลัวที่ได้ยินเสมอๆ ยามได้ยินชื่อพวกเขาจนไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง แต่อลินก็ขยาดตามและคิดว่าจะไม่ทำตัวให้เขาโกรธจนจับหล่อนถ่วงน้ำแน่ๆ
“คุณผู้หญิงครับ ห้องอาหารใช้บริการได้เพียงห้าห้องจากหกห้องนะครับ... ห้องอาหารญี่ปุ่นยังไม่พร้อมเปิดใช้บริการเพราะว่ามีการจองแบบเหมาไว้แล้ว” พนักงานบริการเดินเข้ามาแจ้งหลังจากที่หล่อนเล็งว่าอาจจะเข้าไปหาซุปมิโซะอุ่นๆ และสลัดจากร้านอาหารญี่ปุ่น จากร้านอาหารหลายๆ ชาติที่เลือกเอาไว้
“อ้อ หรือคะ” อาจจะต้องเบนเข็มไปเลือกทานซุปครีมเห็ด กับซีซาร์สลัดที่ห้องอาหารอิตาลีแทน
เดินพ้นออกมาได้ไม่มากเท่าไหร่ หญิงสาวก็เห็นกลุ่มคนเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นในรัศมีสายตา อดหันไปมองไม่ได้ว่าใครกันหนอที่ปิดร้านอาหารดินเนอร์กัน พอมองชัดก็นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นคนของชานป๋อหลินเดินออกมาจากร้านเหมือนเปิดทางให้เขา แล้วกลุ่มคนแปลกหน้าที่ไม่เห็นมาก่อนก็เดินนำออกมาเหมือนเปิดทางให้ไม่แพ้กัน ก้อนแข็งจุกที่ลำคอเมื่อเห็นชานป๋อหลินเดินควงหลินเพ่ยอิงออกมา ละสายตาจากสองคนนั้นแล้วก็เดินเข้าห้องอาหารอิตาลีไปเหมือนคนไม่มีตัวตน
บางครั้งหล่อนก็แปลกใจว่าเขาให้หล่อนมาอยู่ตรงนี้ทำไมในเมื่อเขาก็มีผู้หญิงของเขาที่สวยและเพียบพร้อมทุกอย่างซ้ำเขาก็ยังดูใส่ใจผู้หญิงของเขามากมายขนาดนั้น การที่หล่อนอยู่ตรงนี้นอกจากจะเจ็บปวดแล้วหล่อนก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเอาเสียเลย แม้เขาจะดูเหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรแต่หล่อนก็รู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยมในใจ แต่เมื่อกำหนดอะไรเองไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแค่นับวันรอให้มันสิ้นสุด...
เพียงไม่นานนักอาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ละเลียดทานไปได้นิดเดียวเหมือนสั่งมาเขี่ยเล่นเสียมากกว่าเพราะไม่มีแก่จิตแก่ใจทานแล้ว
จนเวลาผ่านไปมือที่ตักซุปอย่างเชื่องช้าก็ชะงักเมื่อเห็นเงาดำทะมึนที่หางตา...
“คุณป๋อหลินให้ผมมาเชิญกลับขึ้นไปที่ห้องครับ”
ลูกน้องคนสนิทของเขาผู้เป็นเจ้าของเงาดำทะมึนบอกด้วยเสียงเรียบ เพราะแจ้งหมายเลขห้องกับพนักงานไปก่อนหน้าแล้วจึงไม่ต้องรอบิลหรืออะไรเพราะทุกค่าใช้จ่ายจะถูกเรียกเก็บในนามของชานป๋อหลินอยู่แล้ว อลินถอนหายใจน้อยๆ แล้วก็พยักหน้าลุกเดินกลับไปที่ห้อง
ไม่แปลกใจหรอกที่คนของเขาจะหาหล่อนเจอหากเขาสั่ง ไม่แปลกใจด้วยที่ขาหล่อนเหมือนหนักขึ้นทุกทีที่จะได้ไปอยู่เพียงลำพังกับเขา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเมื่อก่อนนั้นแค่ได้ยินชื่อเขาหัวใจก็เต้นแรง ยามได้เห็นหน้าได้ใกล้ชิดเหมือนร่างกายจะหลอมละลายเสียให้ได้กับเสน่ห์ของเขา แม้ว่าตอนนี้ความรู้สึกดีต่อเขายังมีเต็มเปี่ยมหากแต่มันก็คละเคล้าด้วยความเจ็บปวดจนยากจะแบกรับเอาไว้ได้ทั้งหมด จนตอนนี้อยากจะถอยทั้งที่รักไปแล้วหมดหัวใจ แต่ทำไม่ได้ ขาจึงเหมือนโดนหินหนาหนักถ่วงเอาไว้อย่างเสียไม่ได้...
อลินกลั้นใจแล้วเคาะห้องและเดินเข้าไปจนได้ เจ้าของร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องหายใจติดขัดเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาอารมณ์ไหนกันแน่
“ฉันออกไปทานข้าวข้างนอกมาน่ะค่ะ อยู่ในห้องเบื่อๆ นิดหน่อย”
“อืม รู้แล้ว” เขาไม่ได้ว่าอะไร คงรู้หากอยากตามหาหล่อนก็แค่ดูจากกล้องวงจรปิดที่ติดพรึบพรับอยู่แทบทุกมุม แปลกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าเขาไม่ได้อารมณ์เสียที่หล่อนไปไหนโดยไม่บอก เมื่อกลางวันหล่อนสงบเสงี่ยมไม่ปริปากอะไรเขาก็ยังพาลใส่อยู่บ้าง ตกดึกมาดูเหมือนเขาจะอารมณ์เย็นขึ้น ที่กังวลอยู่จึงเริ่มผ่อนคลายและมองเขาเต็มตาขึ้น
“เข้ามานี่สิ” คนที่ยืนหัวหูเปียก ยืนโชว์แผงอกเรียกหล่อนเข้าไปหา... ผ้าเช็ดตัวถูกยื่นให้หล่อน
“เช็ดผมให้ที”
ไม่ปริปากพูดอะไร ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีกว่าเมื่อบ่ายเอามากจากที่เคยสั่งหล่อนห้ามปริปากหรือมีตัวตน เขาก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายมองหาและเรียกหล่อนเอง มือจับผ้าขนหนูนิ่มเช็ดกลุ่มผมสีดำให้เขาอย่างอ่อนโยน หัวใจสั่นเล็กน้อยเพราะไม่ได้ใกล้ชิดและดูแลเขาอย่างนี้มาก่อน หล่อนต้องอยู่กับเขาทุกวันเป็นอาทิตย์จากที่ก่อนนี้เพียงแค่เจอกันแล้วแยกไปเท่านั้น แน่นอนล่ะว่าไม่เคยได้เห็นเขาในมุมนี้มาก่อน ไม่ได้นึกถึงว่าตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์จะได้หลับและตื่นขึ้นมาพร้อมเขา...
เพราะมัวแต่คิดสาระตะเลยหยุดมือ รู้ตัวก็เผลอจ้องตาเขาในกระจกก่อนจะเอ่ยบอก
“ขอโทษค่ะ” จะลงมือเช็ดผมต่อแล้ว แต่เขาก็จับมือหล่อนไว้แล้วลุกขึ้นยืน ผ้าขนหนูในมือถูกเขาดึงไปวางที่อื่น เป็นตัวหล่อนที่ถูกดึงไปแนบใกล้ๆ ร่างเขาแทน พวงแก้มติดสีระเรื่อเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจอบอุ่นของเขาใกล้ๆ
“ตอนที่คนของฉันบอกว่าเธอเอาเงินมาวางคืนแล้วขอยกเลิกงานที่เคยตกลงกันไว้ ฉันโกรธมากที่ต้องเสียเวลาไปทวงสิ่งที่เธอรับปากเอาไว้ในขณะที่เธอกำลังจะหนี เรื่องของเธอทำให้หัวเสียมาทั้งวัน แต่มาตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เพราะเธออยู่ที่นี่แล้ว”
คำพูดเรียบๆ พร้อมกับอ้อมแขนที่รัดแน่นจนตัวหล่อนแนบชิดกับกายเขาโดยปราศจากช่องว่าง
หัวใจของหล่อนคงจะไหวยวบและพองโตได้มากกว่านี้ ถ้าเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นเขาอยู่กับคู่หมั้นของเขา...
อย่าหลงรักเขาให้มากไปกว่านี้จนทำให้ตัวเองเจ็บปวดเลยนะอลิน อย่าเลย...
ได้แต่เฝ้าบอกกับตัวเอง ในยามที่ใบหน้าหล่อคมค่อยๆ ลดลงมาใกล้ดวงหน้าหล่อน เพื่อประกบริมฝีปากจูบอย่างดูดดื่มเร่าร้อนบอกความต้องการอันมากมายของเขา...
อ้อมกอดที่สัมผัสได้ในยามรุ่งอรุณเป็นเสียยิ่งกว่าความฝัน แผ่นอกหนาที่ไหวกระเพื่อมใกล้ดวงหน้าอลินนั้นมีจริง และนี่คือชานป๋อหลิน
แม้พยายามบอกตัวเองไม่ให้หวั่นไหวแค่ไหน ความใกล้ชิดก็ทำให้ดวงใจเผลอไผลกับสิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่
คงจะดีกว่านี้ถ้าเพียงแต่เขากับหล่อนรักกัน ไม่ได้มาเจอกันในสถานการณ์และสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่นั่นมันคือฝันที่ไม่มีวันไปได้ หล่อนตื่นแล้วและรับรู้ว่าแม้เขาจะอยู่เคียงข้างจริง แต่ก็คงไม่นานไปกว่านี้...