“หวงไท่จื่อประทานโสมชั้นดีจากเขาเทียนซานให้ว่าที่พระชายาฉางอวี้เม่ย หวงไท่จื่อประทานสร้อยไข่มุก ปิ่นปักผม เครื่องประดับอัญมณีสิบชุดให้ว่าที่พระชายาฉางอวี้เม่ย หวงไท่จื่อประทานผ้าแพรยี่สิบผืน เครื่องเงินสี่ชุด และนางกำนัลคอยรับใช้สิบสองคน ขันทีสี่คน ให้ว่าที่พระชายาฉางอวี้เม่ย”
อวี้เม่ยกับฮุยอินยืนมองบรรดาข้าวของมากมายที่ถูกยกเข้ามาวางไว้ในตำหนักจินเยว่ อีกทั้งเหล่านางในและขันทีที่พร้อมใจกันถวายพระพรแก่อวี้เม่ยอย่างพร้อมเพรียง
นี่มันอะไรกันเนี่ย… ในฝัน ข้าได้แค่นางกำนัลคอยรับใช้แค่สี่คนนี่? และยังเป็นนางในที่ฮองไทเฮาประทานแก่ข้า ไม่ใช่ไท่จื่อเสียหน่อย
“คารวะว่าที่พระชายาฉางอวี้เม่ย พวกเราได้รับคำสั่งจากหวงไท่จื่อให้มาคอยรับใช้ท่าน หากมีเรื่องอันใดที่ต้องการสามารถสั่งมาได้เลยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เม่ยยิ้มรับพลางหันไปกระซิบกับฮุยอิน “ข้าควรรับไว้ใช่ไหม”
“รับสิเจ้าค่ะ ของประทานจากไท่จื่อ ไม่รับได้อย่างไร”
“แต่มันมากเกินไป อาจจะเป็นแผนลวง”
“แผนลวง? คุณหนูคิดมากไปรึเปล่า ทำไมไท่จื่อต้องมีแผนลวงด้วย?”
“ลวงให้ข้าตายใจ จากนั้นก็ทำเหมือนเดิม เย็นชา ทำเหมือนข้าไม่มีตัวตน”
“ไม่หรอกคุณหนู เห็นอยู่ว่าไท่จื่อทรงพยายามเอาใจคุณหนู ไม่งั้นคงไม่ส่งของมาให้ขนาดนี้หรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่รู้อะไร ไท่จื่อน่ะร้ายนัก”
ยืดเยื้อไม่ยอมสมรส ทำให้คนทั่วทั้งวังหลวงครหาดูแคลนข้า อีกทั้งยังเอาสตรีอื่นเข้ามาอยู่ร่วมตำหนัก ให้มาอยู่ทัดเทียมข้า และท้ายที่สุดก็เป็นไท่จื่อเองที่บีบคั้นให้ข้าต้องฆ่าตัวตาย
“เอ่อ…แล้วคุณหนูไปรู้เรื่องนี้…”
“ก็จาก…”
“ในฝันใช่ไหมเจ้าคะ” ฮุยอินพูดพลางนึกขันในความไร้เดียงสาของอวี้เม่ย “ข้าเคยบอกคุณหนูแล้วไง ฝันก็คือฝันอย่าเก็บมาใส่ใจ เราต้องอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ”
อวี้เม่ยฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พยายามพูดพยายามอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ จนปัญญาแล้วล่ะ นางจึงหันไปให้ความสนใจกับบรรดาหญิงรับใช้ตรงหน้าแทน และมีสองคนในนั้นที่รู้สึกคุ้นตาฉางอวี้เม่ยเป็นพิเศษ
จินฝู… จิ้นอิ๋ง… บุตรสาวขุนนางลำดับล่าง ที่ได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ เชิญเข้ามาเป็นนางกำนัลตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะบอกว่าเป็นราชโองการแต่เป็นที่รู้กันว่าคล้ายจะเป็นคำสั่งมากกว่าคำเชิญ
“เจ้าสองคนนั้น จินฝูกับจิ้นอิ๋งใช่ไหม”
“เอ่อ…ชะ…ใช่เพคะ”
“พวกเจ้าสองคนมารับใช้ข้างข้า ส่วนที่เหลือเเยกย้ายกันไปทำหน้าที่ส่วนอื่น ให้ฮุยอินเป็นหัวหน้า คอยแจกงานให้พวกเจ้า”
สตรีทั้งหมดน้อมรับคำสั่ง
“ส่วนพวกเจ้า ขันทีน้อยทั้งสี่”
“เอ้ ว่าที่พระชายาหมายถึงพวกข้าน้อยหรือ”
“ใช่สิ พวกเจ้ามีหน้าที่ดูแลความสงบของตำหนักจินเยว่ ถ้าพบอะไรหรือใครน่าสงสัยให้มารายงานข้าทันทีเข้าใจไหม”
ถึงจะยังไม่เข้าใจอยู่บ้างว่านายหญิงของพวกเขาพูดเรื่องอะไร แต่เหล่าขันทีทั้งสี่ก็ตอบรับอย่างแข็งขัน “พ่ะย่ะค่ะ!! พวกข้าน้อยจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
ทั่วทั้งวังต่างก็รู้ว่าตำหนักจินเยว่เป็นตำหนักที่อยู่ภายใต้การดูแลของหวงไท่จื่อจอมโหด ใครจะกล้ามาทำอะไรไม่ดีได้กัน ว่าที่พระชายากังวลเกินไปแล้วละ
ห่างออกไปสองถึงสามตำหนักแต่ยังคงอยู่ภายในเขตปกครองฝ่ายในของวังตะวันออก หวงไท่จื่อที่ตื่นแต่เช้าตรู่ได้แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นการทำงานทำการ จนอาฟงนึกสงสัยจึงกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไท่จื่อทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“หือ เปล่านี่ ข้าสบายดี”
“โล่งอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะวันนี้หลังอาหารเช้าทรงต้องเข้าร่วมประชุมกับเหล่าขุนนางจอมจับผิดพวกนั้น ถ้าทรงป่วยไปจะแย่”
“เจ้าว่านางจะได้รับของรึยัง”
“พ่ะย่ะค่ะ? ของ?”
“ก็ที่ข้าส่งไปให้อวี้เม่ยไง เจ้าบอกว่าสตรีทุกนางแพ้ผู้ชายทุ่มเท ข้าอุตส่าห์ส่งของไปให้ตั้งเยอะ ไม่เห็นนางจะมาขอบคุณข้าเลย”
อาฟงเข้าใจในทันทีว่าที่ทรงผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นการทำงานนี่เพราะอะไร “ไท่จื่ออยากให้ว่าที่พระชายามาขอบคุณ?”
“มันก็สมควรมิใช่หรือ”
ไม่เถียงว่าการเข้ามาขอบคุณผู้ใหญ่หลังจากที่ได้รับของเป็นการสมควรตามมารยาท หากแต่พวกท่านทั้งสองเป็นว่าที่สามีภรรยาในอนาคตของกันและกัน ฉะนั้นการที่อวี้เม่ยจะไม่เข้ามาขอบคุณก็อาจจะเป็นสิทธิ์ของนาง…รึเปล่า
แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง นี่ก็เป็นโอกาสอันดีในการเข้าหาหวงไท่จื่อ เพราะโดยปกติจะทรงไม่เอาใจหรือโอนอ่อนให้ใครง่ายๆ หากอวี้เม่ยเป็นสตรีที่มองการณ์ไกลหรือมักใหญ่ใฝ่สูงแล้วละก็... นางไม่น่าจะพลาดโอกาสนี้เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ และกลายเป็นสตรีคนโปรดในอนาคต
“ไท่จื่ออย่าทรงกังวล กระหม่อมว่าบางทีว่าที่พระชายาอาจจะกำลังยุ่ง”
“ยุ่ง?”
“ก็งานเลี้ยงน้ำชาไงพ่ะย่ะค่ะ อะไรกัน ทรงลืมแล้วหรือ”
งานเลี้ยงน้ำชา…งานที่พวกสตรีในวังจะมารวมกันที่ตำหนักกลางของฮองไทเฮา เพื่อพูดคุยสังสรรค์กันตามประสาสังคมผู้หญิงสินะ ใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์เสียจริง
“กระหม่อมเคยได้ยินมาว่างานเลี้ยงน้ำชาเปรียบดั่งสนามรบของอิสตรี ต้องเชือดเฉือนกันด้วยอารมณ์และคำพูด อีกทั้งยังต้องแสดงความสามารถต่อโครง อ่านบทกวีหรือขับร้องด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มตอบอย่างชำนาญ หากเป็นเรื่องในวังไม่มีสิ่งใดเลยที่บุรุษนามอาฟงจะไม่รู้ เขาผู้ได้รับสมอาญานาม เหยี่ยวข่าวแห่งวังหลวง
“รู้แต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
อาฟงยิ้มรับ คิดเสียว่าเป็นคำชม
“เพราะฉะนั้นแล้ว หลังจากงานเลี้ยงน้ำชา ว่าที่พระชายาจะต้องมาหาพระองค์อย่างแน่นอน ทรงวางพระทัยเถิด”
“ดี!!! ข้าจะรอวันนั้น”
แม้หวงไท่จื่อจะรู้สึกอารมณ์เย็นลงไปบ้าง แต่กระนั้นภายในพระทัยก็ยังคงว้าวุ่นไม่หาย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ประทานให้ นางจะชอบหรือไม่ นางจะพอใจ หายเศร้าหรือคลายความกังวลลงมากน้อยเพียงใด
ทำไมข้าต้องมาคิดมากเรื่องพวกนี้ด้วยนะ ทำให้ขนาดนั้นก็ต้องพอใจสิ!!!
ทางด้านอวี้เม่ยก็กำลังง่วนอยู่กับการท่องบทกลอนและกวีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงน้ำชา
“ข้าเบื่อ”
“อะไรกันเพิ่งจะเริ่มท่องเองนะเจ้าคะ”
“กลอนพวกนี้ ข้าจำได้หมดแล้ว เคยท่องมาแล้วทั้งนั้น”
“ท่องเมื่อไรเจ้าคะ? ข้าเพิ่งจะนำมา…”
อวี้เม่ยยกมือห้ามฮุยอินพูดต่อ นางลุกขึ้นบิดแขนขา โยกเอวบางไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อคลายเส้นที่เมื่อยล้าของตน เป็นภาพที่ชวนให้ขบขัน ทั้งจินฝูเเละจิ้นอิ๋ง นางกำนัลคนใหม่ยังอดที่จะยิ้มให้กับท่าทางของอวี้เม่ยไม่ได้
“พวกเจ้าห้ามหัวเราะคุณหนูนะ”
ฮุยอินเตือน แต่อวี้เม่ยก็ร้องบอก “ไม่เห็นเป็นไร ตำหนักนี้ไม่มีใครสักหน่อย หัวเราะกันให้เต็มที่”
อย่างน้อยก็ก่อนที่ข้าจะตาย…
“ว่าที่พระชายาไม่เหมือนกับที่พวกหม่อมฉันคิดไว้เลยเพคะ” จินฝูกล่าว
“งั้นหรือ”
“เพคะ ผู้คนทั้งวังหลวงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ว่าที่พระชายาเป็นคนสุขุม เงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงหรือเสวนากับใคร”
จริงอยู่เพราะอวี้เม่ยได้รับการสอนที่ว่า สตรีที่ดีต้องพูดน้อย ยิ้มเยอะๆ เป็นผู้ตามที่ดี ผู้ใหญ่ว่าอะไรก็ให้รับฟัง ผู้ชายกล่าวสิ่งไหนก็ให้ยอมรับ เป็นกุลสตรีตามแบบฉบับดั้งเดิม
แต่ตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป เหมือนกับว่านางได้เกิดใหม่ ไม่ใช่ว่าที่พระชายาคนเดิม หากแต่เป็นฉางอวี้เม่ย หญิงสาวที่ชอบการเล่นสนุกและเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าเองก็ดีใจที่คุณหนูกลับมาร่าเริงเหมือนครั้นยังเด็ก แต่…ข้าก็อดหวั่นใจไม่ได้”
ที่ฮุยอินบอกก็น่าคิด การทำตัวเองให้แปลกแยก ไม่รู้จักมารยาทหรือฐานะของตนจะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งจากบรรดาผู้อาวุโสในวัง ทั้งเรื่องที่อวี้เม่ยมีข่าวไม่ดีกับองค์ชายห้า ทั้งเรื่องที่ขึ้นเสียงใส่เหล่าองค์ชายในอุทยานหลวง เรื่องที่ทะเลาะกับหวงไท่จื่อ ไม่เเน่ว่าปานนี้เรื่องทั้งหมดอาจรู้ไปถึงหูของบรรดาซื่อฟูเหริน*ทั้งสี่แล้วก็เป็นได้
“ข้าจะระวังตัวให้มากขึ้นนะฮุยอิน ถึงแม้ทุกครั้งที่เห็นหน้าพวกเขาข้าจะโมโหถึงขั้นที่ว่า…” อวี้เม่ยสูดลมหายใจลึก “ข้าจะสะกดอารมณ์ให้มากขึ้นเพราะข้าเองก็อยากอยู่อย่างสงบๆ เหมือนกัน”
ถึงจะหนีชะตาของตัวเองไม่พ้น แต่ข้าก็จะไม่ยอมถูกรังแกอีกเด็ดขาด!!!
............................................................................................................
ซื่อฟูเหริน = สี่พระชายาขั้นหนึ่ง ชั้นเอก ซึ่งมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งด้วยกัน ได้แก่ กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย