เป็นที่รู้กันดีว่ากฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติภายในวังหลวงนั่นเข้มงวดเพียงใด ผู้ใดฝ่าฝืนหรือทำผิดข้อบัญญัติมิถูกทรมานจนสิ้นใจก็ล้วนแต่ถูกขังลืมในคุกมืด ไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีก หรือถ้าโชคดีก็อาจถูกเนรเทศไปสุดขอบทวีป ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างอเนจอนาถและตายไปอย่างเดียวดาย
ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งของการถูกขับไล่คือการได้รู้จักกับคำว่าอิสรภาพ มันอาจจะดีกว่าการที่ต้องถูกบังคับให้ใช้แรงงาน โดนตบตี ทำร้าย อดอาหาร ไม่ต่างอะไรไปกับสัตว์ตัวหนึ่ง
แต่กับเชื้อพระวงศ์ บทลงโทษอาจมีการลดหลั่นไปตามยศฐานบรรดาศักดิ์หรือกระทั่งได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ ก็สามารถรอดพ้นจากความเลวที่ตนได้กระทำไว้ได้
โทษของการติฉินนินทาใส่ความผู้อื่น มีบทลงโทษอยู่สองประการ ไม่โดนโบย ก็ต้องตัดลิ้น แต่กับองค์หญิงหลิงเซียง ดูจะเป็นการใจดีเกินไป เพราะเต๋อเฟยมีรับสั่งให้ลูกเลี้ยงของตนออกไปอยู่นอกวังสักพัก ให้จิตใจสงบแล้วค่อยกลับมา
ยอมรับตามตรงว่าข้าไม่พอใจอย่างมาก!!!
มันไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการช่วยเสียมากกว่า ให้นางออกไปอยู่ข้างนอก ใช่ว่าต้องไปลำบากปลูกผักตกปลาเสียเมื่อไร นางไปพร้อมกับเกี้ยว นางกำนัล และองครักษ์ ดูคล้ายกับว่าองค์หญิงหลิงเซียงได้ไปเที่ยวพักผ่อนนอกวังมากกว่าถูกลงโทษ
อวี้เม่ยที่เพิ่งถวายการดูแลฮองไทเฮาเสร็จ เดินคอพับคอตกกลับตำหนักของตน ข้างๆ กันนั้น ทั้งฮุยอิน จินฝู จิ้นอิ๋ง ต่างก็พูดให้กำลังใจนาง ไม่อยากให้อวี้เม่ยต้องคิดน้อยใจในความไม่ยุติธรรมของเต๋อเฟย
“ถึงจะไม่ใช่ธิดาที่ทรงให้กำเนิด แต่ความรักที่มีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์ชายห้าหรอกเพคะ” จินฝูเคยเป็นนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงหลิงเซียงมาก่อน รู้ดีกว่าใครว่าถึงแม้เต๋อเฟยจะทุ่มเทเลี้ยงดูสตรีนางนี้ดีขนาดไหน ก็ไม่เป็นผลให้นิสัยที่แข็งกระด้างดีขึ้นได้เลย
องค์หญิงหลิงเซียงผู้เอาแต่ใจและถือตนว่าตัวเองนั้นเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ จะว่าเป็นคนโปรด…เห็นทีจะไม่จริง เพราะขนาดชื่อของนาง ฮ่องเต้ยังแทบจะจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หลังจากที่ต้องสูญเสียแม่ตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก ได้รับความเอ็นดูจากเต๋อเฟยรับนางมาดูแล เมื่อเสด็จไปที่ไหนก็มักจะมีองค์หญิงหลิงเซียงติดสอยห้อยตามอยู่ร่ำไป
ฉะนั้นแล้วในบรรดาองค์หญิงหลายสิบ นางถือว่าเป็นธิดาที่โชคดีที่สุด มีโอกาสใกล้ชิด เข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองไทเฮามากกว่าใคร จนอุปโลกน์ไปเองว่าตนนั้นเป็นคนโปรด ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง นางทำได้เพียงถวายพระพรและยืนเฉยๆ ข้างเต๋อเฟยแต่เพียงเท่านั้น
“เอาเถอะ ในเมื่อนี่คือบทลงโทษของเต๋อเฟย ข้าก็คงพูดมากไม่ได้”
“องค์หญิงหลิงเซียงมีคนคอยหนุนหลังอยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่ากลับมาจะสร้างเรื่องอะไรอีก” ฮุยอินบ่นอุบ
“พี่ฮุยอินก็ว่าไปนั้น ความจริงองค์หญิงก็เพียงแค่หวงพี่ชายเท่านั้น คงไม่ได้คิดร้ายจริงๆ หรอก” จินฝูกระซิบบอก “ตั้งแต่ว่าที่พระชายาเข้าวัง ก็สนิทสนมกับองค์ชายห้ามากขึ้น องค์หญิงหลิงเซียงคง…น้อยใจ”
“น้อยใจหรือเอาแต่ใจกันแน่จินฝู”
ฮุยอินตอบกลับจินฝูจนหน้าชา หาคำแก้ตัวให้นายเก่าตัวเองไม่ถูก
“พวกเจ้าพอเถอะ จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้เราเป็นคนตำหนักจินเยว่ด้วยกัน ต้องรักและสามัคคีกันสิ” อวี้เม่ยหันมาบอกด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าสตรีทั้งสามต่างส่งยิ้มกลับมา โค้งคำนับต่อคำสอนของนาง
ทั้งหมดเดินกันมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงตำหนัก แต่อวี้เม่ยที่ดูเหมือนจะยังมีเรื่องค้างคาใจกลับหยุดชะงักเสียอย่างนั้น ทำให้สาวใช้ที่เดินตามมาทั้งสามคนหยุดไม่ทันจนเกือบจะชนนาง
“คุณหนู มีอะไรหรือเปล่า”
อวี้เม่ยส่ายหน้า “พวกเจ้ากลับตำหนักไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ”
“งั้นให้พวกหม่อมฉัน”
“ไม่ต้อง” อวี้เม่ยพูดตัดบท ก่อนหมุนตัวเดินไปอีกทาง “ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับไปให้ทันอาหารเย็น”
สามวันแล้วที่ไม่เจอกัน อยากรู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
อวี้เม่ยที่สวมบทนินจาสาวค่อยๆ ย่องไปตามทาง ลัดเลาะผ่านสวน แอบหลังต้นไม้ใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าอาฟง องครักษ์หนุ่มไม่ได้เฝ้าอยู่ที่ทางเข้าตำหนัก หญิงงามย่างกายจนใกล้ถึงแต่ไม่รู้เพราะแสงแดดแยงตาหรือมัวแต่ลีลา จึงไม่ทันสังเกตเห็นร่างใหญ่ที่นอนอยู่ ณ ตรงพื้นหญ้านั้น
ว้าย?!
สะดุดล้มกลิ้งไม่เป็นท่าอีกแล้ว
ว่าแต่…ไม่เจ็บแฮะ
“นี่ มันหนักนะ”
อวี้เม่ยที่เพิ่งรู้ตัวว่าที่ตนนอนอยู่นั้นหาใช่พื้นหญ้า แต่กลับเป็นแผงอกกำยำของใครบางคน ผู้ซึ่งกำลังนอนหลับตาอาบแสงแดดอย่างสบายอารมณ์อยู่
“ไท่จื่อ?!” อวี้เม่ยรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ก่อนแก้มทั้งสองจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย “มะ…หม่อมฉันขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่ทันมองเพคะ”
หวงไท่จื่อเงยหน้ามองนางครู่หนึ่งก่อนจะเอนศีรษะและหลับตาลงอีกครั้ง ทำทีไม่สนใจนาง จนอวี้เม่ยต้องกล่าวขอโทษอีกครั้ง “หม่อมฉันขออภัยที่ทำให้ทรงไม่พอพระทัย หม่อมฉันแค่เป็นห่วงเลย…”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ต้องการให้ใครมาห่วง”
อะไรนะ? เป็นอะไรของเขาเนี่ย ก่อนหน้านี้ยังเคยพูดดีกับข้าอยู่แท้ๆ หรืออาการป่วยกำเริบจนประสาทกลับหรือเปล่า
“งั้นหม่อมฉันขอทูลลา…”
“เจ้าทำแบบนั้นทำไม”
“เพคะ?!”
“พูดช่วยองค์ชายรองทำไม”
อย่าบอกนะว่าไม่พอใจเรื่องนี้
อวี้เม่ยสูดหายใจลึก ร่ายยาวถึงเหตุผลทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด “หม่อมฉันเปล่าช่วยองค์ชายรอง หม่อมฉันช่วยไท่จื่อต่างหาก ทรงเป็นคนลงมือก่อน อย่างไรเสียก็ผิด หม่อมฉันจึงพูดเพื่อไม่ให้พระองค์ต้องถูกฝ่าบาทลงโทษ”
หวงไท่จื่อลืมตาก่อนลุกขึ้นยืนมองหน้าอวี้เม่ย “ข้าเนี่ยนะลงมือก่อน เจ้าก็เห็นว่าใครกันแน่ที่เริ่ม”
“หม่อมฉันรู้แต่คนอื่นไม่ได้รู้กับเรา พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น”
ความไม่ยอมคน ยอมหักไม่ยอมงอก็เป็นจุดอ่อนหนึ่งที่องค์ชายรองมองเห็นในตัวหวงไท่จื่อ อารมณ์ที่รุ่มร้อนบางครั้งอาจเป็นพิษร้ายทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน
เมื่อเห็นคิ้วของหวงไท่จื่อเริ่มขมวดเข้าหากัน อวี้เม่ยที่เผลอตัวเดินเข้าไปใกล้ เขย่งเท้า ใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มของคนตรงหน้า
หวงไท่จื่อถอยหนีด้วยความตกใจ
“เจ้าทำอะไรของเจ้า?!”
อวี้เม่ยก้มหน้า ตกใจไม่ต่างกัน “ขออภัย!! หม่อมฉันเคยชินน่ะเพคะ เวลาท่านพ่อของหม่อมฉันทำหน้าแบบนั้น หม่อมฉันก็จะจิ้มไปที่แก้มของท่าน แล้วท่านพ่อก็จะหัวเราะ…”
อยากจะบ้า ข้าทำอะไรของข้าเนี่ย แต่…นั้นเขากำลังหัวเราะอยู่หรือเปล่านะ
ไม่รู้ว่าเรียกว่าหัวเราะได้ไหม แต่ริมฝีปากของหวงไท่จื่อกำลังเผยอขึ้นหน่อยๆ จะว่าไปก็น่ารักดีเหมือนกันนะ สงสัยข้าต้องทำแบบนี้บ่อยๆ เสียแล้ว
“ไท่จื่อเพคะ ที่ทรงสั่งห้ามไม่ให้มีใครเข้านอกออกในที่นี่ ก็เพราะไม่อยากให้มาเห็นว่าทรงชอบนอนบนพื้นหญ้าหรือเพคะ”
“ก็คงงั้น ข้าว่านอนตรงนี้สบายกว่านอนในตำหนักเป็นไหนๆ”
เหมือนว่าแววตาที่ดูดุดันคู่นั้นจะคลายลงเล็กน้อย หวงไท่จื่อกระแอมหนึ่งทีก่อนกล่าวขอบคุณเรื่องน้ำซุปกระดูกหมูเมื่อวันก่อน ซึ่งอวี้เม่ยก็ยิ้มรับด้วยความยินดี ในใจของนางนั้นพองโตเต็มไปด้วยความสุข อวี้เม่ยไม่เคยได้สัมผัสอะไรแบบนี้จากหวงไท่จื่อมาก่อน ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่มองมา
เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะพรากเราทั้งคู่ออกจากกัน ทั้งซูลี่และสนมคนอื่นๆ ที่จะเข้ามาแทรกความสัมพันธ์ ข้าอยากใช้เวลาร่วมกับไท่จื่อให้ได้มากกว่านี้ หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ข้าฝันเห็นอนาคต… หากข้ายังทำตัวเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอและยอมคน ข้าอาจจะไม่มีโอกาสอยู่กับคนที่รักและต้องตายโดยมีตราบาปติดตัว
หรืออาจจะไม่เกี่ยว ข้า…อาจเพ้อเจ้อไปเอง