เหยียบย่างประดุจตีนแมวตัวจ้อยผู้อาจหาญ ลอบเข้าถ้ำเสือร้าย
ตำหนักต๋าเฉิงนับว่าเป็นตำหนักที่โอ่อ่าและเงียบสงบที่สุดในวังหลวง เหตุเพราะหวงไท่จื่อผู้รักสันโดษและหวงความเป็นส่วนตัว ทรงไม่อนุญาตให้เข้าออกหรือเดินป้วนเปี้ยนใกล้บริเวณตำหนักของพระองค์โดยไม่ได้อนุญาตอย่างเด็ดขาด นางกำนัลข้ารับใช้ทั้งหลายจะมีตารางเวลาเข้าออกที่แน่ชัด ไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจเสด็จมาที่นี่ได้ตามพระทัยต้องการ
เขตหวงห้ามหรือที่รู้จักกันในชื่อถ้ำเสือร้าย
กุ้ยเฟยที่มาถึงก่อนยืนชะเง้อคอยอวี้เม่ยอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นนางเดินตรงเข้ามาใกล้ ก็รีบปั้นหน้ายิ้มทันที
“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ”
“เจ้ามาถึงสักที รีบเข้าไปเถิด เดี๋ยวขนมที่เตรียมมาจะเย็นชืดเสียหมด”
คำพูดที่ดูเหมือนหวังดีแต่กลับแฝงไปด้วยจุดประสงค์ร้าย กุ้ยเฟยคะยั้นคะยอให้อวี้เม่ยรีบเดินเข้าไปในตำหนัก ส่วนตนกับแม่นมจางจะขอรออยู่ข้างนอก ไม่ไกลจากตำหนักแต่ก็ไม่ใกล้จนล่วงล้ำเข้าไปในเขตต้องห้าม แค่ให้มองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นพอ
หญิงสาวผู้แสร้งว่าใสซื่อรีบทำตามอย่างว่าง่าย ครั้นแอบเหลียวหลังมองกลับมาก็เห็นถึงรอยยิ้มสาแก่ใจของสตรีเจ้าสำอาง
เอาเถอะ โดนตวาดแค่นิดหน่อย ให้มันจบๆ ไป
อวี้เม่ยสูดหายใจลึก ตั้งสติเดินตรงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงประตูตำหนักก็ไร้ซึ่งวี่แววของขันทีที่คอยขานชื่อ ถ้าจะรักสงบขนาดนี้ ไท่จื่อน่าจะเหมาะอยู่บนเขามากกว่าในวังนะ
ชั่งใจอยู่ไม่นาน อวี้เม่ยก็ทำใจกล้าเดินเข้าไปภายในตำหนักทันที จะว่าข้าไร้มารยาทไม่ได้นะ ก็ทรงไล่ทุกคนไปเสียหมด ข้าก็จำต้องเข้ามาเองแบบนี้ล่ะ
นางกวาดสายตามองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเพียงหนังสือกองโตอยู่บนโต๊ะ ก่อนชายร่างสูงจะเดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง
บุรุษน่าเกรงขาม มากด้วยบารมีอำนาจ ใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายฮ่องเต้ไม่ผิดเพี้ยน เว้นเพียงดวงตาสงบเยือกเย็นคู่นั้นที่คล้ายจะมาจากมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
สงบเยือกเย็น แต่ก็ดูคล้ายกับคนที่มีบางสิ่งรบกวนจิตใจ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“หม่อมฉันถวายพระพรไท่จื่อ คือ...หม่อมฉันนำของว่างมาให้เพคะ เป็นขนมที่หม่อมฉันทำเอง”
“ขนม? คิดจะล้อข้าเล่นหรือไง”
“คือกุ้ยเฟยกับแม่นมจางสั่งให้หม่อมฉัน...”
“เรื่องแค่นี้คิดเองไม่เป็นหรือไง”
เริ่มแล้วไง... อวี้เม่ยได้แต่ก้มหน้ารอรับชะตากรรม
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร เข้ามาในวังเพราะเหตุผลใด ทำไมต้องให้คนนั้นคนนี้มาชี้นิ้วสั่งด้วย เจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธก็จงทำ อย่าได้เกรงใจใคร ยิ่งเจ้าอ่อนให้ ก็จะโดนพวกนางข่มเหงแบบนี้ไปตลอด”
นี่ข้ากำลังถูกไท่จื่อดุอยู่รึเปล่า ทำไม มันไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้
“ใครๆ ต่างรู้ว่าข้าเกลียดของหวาน แต่ยังอุตส่าห์สั่งให้เจ้าเอามาให้ ซึ่งเจ้าเองก็รู้ว่าข้าต้องไม่พอใจ แต่ก็ยังทำ ไม่อยากมีปัญหากับกุ้ยเฟย แต่อยากมีปัญหากับข้าแทนงั้นสิ”
เฉียบคมและถูกต้องทุกถ้อยคำ นอกจากจะจับทางแผนการของกุ้ยเฟยได้แล้ว ยังเดาใจอวี้เม่ยออกอีก คนๆ คนเป็นองค์ชายหรือหมอดูกันแน่นะ
อวี้เม่ยค่อยๆ เงยหน้ามองหวงไท่จื่อ จึงได้เห็นว่าทรงไม่ได้มีท่าทีฉุนเฉียวหรืออยากจะดุด่านางอย่างที่ควรจะเป็น
“จะจ้องข้าอีกนานไหม”
“เพคะ? เอ่อ...หม่อมฉันแค่แปลกใจที่ทรงรู้… ทรงปราดเปรื่องมากเลยเพคะ”
ถึงจะแค่พริบตาเดียว แต่อวี้เม่ยก็ทันที่จะสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เสือร้ายกำลังยิ้มงั้นเหรอ?! แม้จะเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้กับอวี้เม่ยไม่น้อย
ไม่ดุข้า ไม่ไล่ข้า แถใยังยิ้มอีก นี่มันอะไรกัน
แต่แล้วหวงไท่จื่อก็เดินเข้ามา พลางคว้าถาดขนมในมือของอวี้เม่ยไป หยิบขนมเฉียนกั่วขึ้นมาหนึ่งชิ้นและกัดเข้าไปคำโต ไม่ทันที่อวี้เม่ยจะร้องห้าม ไท่จื่อก็รีบคายมันออกมา
“อะไรเนี่ย?! เจ้าทำขนมอะไรของเจ้า”
“ขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่คิดว่าจะทรงหยิบไปเสวย... ไท่จื่อไม่ชอบของหวานไม่ใช่หรือเพคะ”
“เจ้าจงใจจะฆ่าข้ารึไง”
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ตั้งใจ หม่อมฉันแค่อยากแกล้งแม่นมจางกับหัวหน้าพ่อครัวเท่านั้น ความจริงไท่จื่อควรจะไล่ตะเพิดหม่อมฉันออกไปสิถึงจะถูก”
ดันมาหยิบขนมไปกินตามใจชอบได้ไง แต่จะว่าไป...ก็แอบสะใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เอาคืนเสียบ้าง
“หึ! อวี้เม่ย เจ้านี่ร้ายกว่าที่ข้าคิดนะ”
ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่ทรงจะกระทำกับหม่อมฉันหรอกเพคะ
อวี้เม่ยที่กำลังจะขอตัวกลับ ฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีใครกำลังรออยู่ด้านนอกนั้นก็พลันเปลี่ยนใจ ทำทีเดินไปรอบๆ ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย ถ่วงเวลาที่จะออกไปจากตำหนักต๋าเฉิง
ไม่ใช่แค่อยากแกล้งกุ้ยเฟยให้ยืนรอ แต่ความจริงแล้วอวี้เม่ยแทบจะไม่มีโอกาสมาเยือนที่นี่สักเท่าไหร่ ครั้งแรกตอนอายุสิบสอง และอีกครั้งคือตอนนี้ ในฝันอวี้เม่ยได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูด เพียงแค่บอกว่าตนนำขนมมาให้ก็ถูกตวาดเสียงดัง รีบเผ่นออกจากตำหนักแทบไม่ทัน แต่คราวนี้เวลาเดียวกันแต่คนละเหตุการณ์ อวี้เม่ยสามารถเดินสำรวจโดยรอบได้อย่างสบายใจ
สบายใจ...ทำไมข้าถึงสบายใจล่ะ เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของไท่จื่องั้นหรือ
ขณะไล่นิ้วมือไปตามชั้นที่วางโถ ไหและรูปปั้นสลักรอยจารึก สายตาก็เหลือบไปเห็นปิ่นปักผมที่ดูคุ้นตา ถูกเก็บไว้ในตู้กระจกชั้นบนสุด อวี้เม่ยหันกลับมองหวงไท่จื่อที่นั่งลงอ่านหนังสือต่อโดยไม่ได้หันมองหรือสนใจนาง
อวี้เม่ยที่สบโอกาสมองหาสิ่งของรอบตัว เอามาวางต่อกันเป็นแท่นเหยียบและปีนขึ้นไปดูปิ่นที่อยู่ด้านบน ปิ่นปักผมสีทองรูปผีเสื้อประดับด้วยอัญมณีสิบสองสีงดงาม ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก หากจำไม่ผิดต้องเป็นของฮองเฮา เสด็จแม่ของหวงไท่จื่อเป็นแน่
อวี้เม่ยจำได้ว่าครันยังเป็นเด็ก นางเคยเข้าเฝ้าฮองเฮาอยู่สองถึงสามครั้ง ความงาม จิตที่มีเมตตา และสติปัญญาของพระองค์เป็นที่ร่ำลือไปทั่วทั้งวังหลวง กระทั่งราษฎรน้อยใหญ่ต่างก็รักและสรรเสริญเยินยอพระองค์
พระนางจะปรากฏกายดั่งหงส์ขาวสวยสะพรั่งท่ามกลางหมู่มวลดอกเหมยสีชมพูและขาว ชุดที่ทรงสวมใส่ เครื่องประดับต่างๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้น ในรอบหนึ่งปีจะไม่ซ้ำกันเลย เว้นเพียงแต่ปิ่นปักผมอันนี้
"ข้าชอบปิ่นปักของฮองเฮามากเลยเพคะ"
"ถ้าเช่นนั้นเมื่อเจ้าโตขึ้น ข้าจะยกให้เจ้าละกันนะอวี้เม่ย"
"จริงหรือ ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ"
แต่รู้อะไรไหม ถึงเจ้าของปิ่นจะรับปากยกให้ข้า แต่ลูกชายของเขากลับยกมันให้คนอื่นเสียนี้ คิดแล้วก็น่าน้อยใจยิ่งนัก
อวี้เม่ยที่กำลังถอนหายใจ ไม่ทันระวังขณะก้าวเท้าลงมา ร่างบางทรงตัวไม่อยู่และทำท่าจะเซหงายหลัง หวงไท่จื่อรีบวิ่งเข้ามารับตัวนางไว้ได้ทัน อ้อมแขนโอบรัดกายของหญิงสาวเอาไว้ ใบหน้าของทั้งคู่แนบชิดจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“ละสายตาเป็นไม่ได้เลยนะ”
เสียงนุ่มลึกเอ่ย พลางพยุงตัวอวี้เม่ยให้ลุกขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะที่ทรงช่วย...”
อวี้เม่ยรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า รู้สึกได้ถึงใจที่เต้นเร็วขึ้น
ข้าเป็นอะไรไปเนี่ย
“ไม่บาดเจ็บนะ ให้ข้าตามหมอหลวงไหม”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“แต่หน้าเจ้าแดงนะ”
หน้าแดง?! ข้าหน้าแดงงั้นเหรอ
อวี้เม่ยจับไปที่ใบหน้าของตน พลางส่ายหน้าปฏิเสธ ยืนกรานว่าตนนั้นสบายดี แต่คำพูดที่ดูติดๆ ขัดๆ ทำให้หวงไท่จื่อไม่เชื่อในคำบอกของนาง เขาก้าวเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นทาบไปที่หน้าผากก่อนจะไล่ลงไปที่แก้มแดงทั้งสอง
“ตัวเจ้าร้อนๆ นะ ข้าจะสั่งให้คนต้มยาไปให้ละกัน”
สายตาห่วงหา คำพูดละมุนอ่อนโยน การกระทำที่ผิดแปลกไป อวี้เม่ยยังคงไม่เข้าใจและสับสนกับสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่
“หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ โชคดีที่ทรงช่วยรับตัวหม่อมฉันได้ทัน ทรงเก่งมากเลยเพคะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มองดูด้วยซ้ำ”
“พูดอะไรของเจ้า ข้ามองดูเจ้าอยู่ตลอดนั่นแหละ คิดไว้อยู่แล้วว่าปีนป่ายเป็นลิงแบบนั้นคงไม่พ้นต้องตกลงมาเป็นแน่”
อวี้เม่ยนิ่งเงียบ รู้สึกมวนแปลกๆ ที่ท้อง มือไม้พัลวันกันยุ่ง นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว โค้งศีรษะขอบพระทัยและขอตัวลากับตำหนักของตนทันที
หวงไท่จื่อมองตามหญิงสาวจนลับสายตา
แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ให้หมั้นหมายกับสตรีที่โตมาด้วยกัน ซึ่งทรงรักเฉกเช่นน้องสาวแท้ๆ ก็แย่พออยู่แล้ว ทางราชสำนักยังคิดจะขัดเกลานางให้เจริญรอยตามสตรีในวังหลวงอีก
ความร่าเริงสดใสไม่ปรากฏบนใบหน้าของอวี้เม่ยอีกเลยนับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ประกาศเรื่องงานหมั้น รู้สึกต่อต้านและขัดใจอยู่ไม่น้อยที่จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง หรือเห็นภาพนางไม่ต่างจากบรรดาสตรีที่เข้ามาถวายตัว บทสรุปสุดท้ายอวี้เม่ยคงไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นประดับ เหมือนเสด็จแม่...
แต่เพราะเห็นนางร้องไห้ในวันนั้น และพฤติกรรมซุกซนเหมือนตอนนางยังเด็กในวันนี้ หวงไท่จื่อก็รู้ได้ทันทีว่า เขาไม่อาจเฉยเมยกับนางได้อีก
ข้าไม่ได้เกลียดเจ้านะอวี้เม่ย แต่ข้าเกลียดสิ่งที่คนอื่นยัดเหยียดให้เจ้าเป็น ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาลงเอยเหมือนกับเสด็จแม่ หรือต้องเห็นเจ้ามีจิตใจที่ชั่วร้ายเฉกเช่นพระชายาทั้งสี่ของเสด็จพ่อ เพียงเพราะความต้องการจะเป็นที่หนึ่งเหนือใคร ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอย่างนั้นเลย…