ผู้หญิงกลางคืน(SEX STORRY 20+)
Ep.10(วันหยุดของศรี)
•สมศรี•
ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องคอยวิ่งหนีตำรวจ ไม่ต้องไปนั่งถ่างตาอดหลับอดนอนเรียกแขกเหมือนเมื่อก่อน สบายขึ้นนิดหน่อย ค่าตัวที่ได้ก็ถือว่าโอเค
วันนี้เรางดรับแขก เพราะมีวันนั้นของเดือน และเป็นเรื่องปรกติที่เราจะกลับไปหาแม่ที่บ้าน วันนั้นของเดือนเลยเป็นเหมือนวันหยุดประจำเดือนของเราไปแล้ว
"อ้าวอีศรี!"
ทันทีที่เราก้าวเท้าลงจากพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งมาจากในตัวอำเภอ เสียงของเจ๊เก๋แม่ค้าขายกล้วยแขกหน้าวัดก็ดังขึ้นทันที
"หวัดดีเจ๊เก๋....แม่หวัดดี..."
เรายกมือไหว้เจ๊เก๋แบบขอไปที ก่อนจะหันไปยกมือไหว้แม่ของเราที่ขายส้มตำไก่ย่างอยู่ข้างๆร้านเจ๊เก๋นั่นแหล่ะ
"มาคราวนี้มึงสวยขึ้นผิดหูผิดตาเลยนะอีศรี ไปทำอะไรมาวะ!?"
เจ๊เก๋มันถามและมองมาที่เราอย่างจับผิด
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ๊เก๋มันคิดอะไรอยู่ มันคิดว่าเราไปขายตัวอยู่ที่พัทยาแน่ๆ มันคิดถูก แต่เรื่องอะไรจะยอมรับล่ะ...
เรื่องที่เราไปขายตัวอยู่พัทยาไม่มีใครรู้หรอก เราไม่ได้บอกใครแม้แต่แม่ เราบอกแม่ว่าเราไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเหล้าเท่านั้น ที่ต้องโกหกก็เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ
"ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟมันก็ต้องสวยสิเจ๊ จะให้มอมแมมเหมือนตอนอยู่บ้านนอกได้ยังไง"
เราบอก
"แล้วไอ้อาชีพเด็กเสิร์ฟเนี่ยมันรายได้ดีขนาดเปลี่ยนผีให้เป็นคนเลยเหรอวะ กูอยากรู้เผื่อกูจะเลิกขายกล้วยแขกแล้วไปทำมั่ง"
เจ๊เก๋มันจังสงสัยไม่เลิกรา กะจะล้วงความลับอีศรีล่ะสิ
แล้วไอ้ที่บอกว่าเปลี่ยนผีให้เป็นคนนี่มันหมายความว่ายังไง เมื่อก่อนกูขี้เหร่เหม่อรผีอย่างนั้นเหรอ
ชิส์!
"โถ่วว..เจ๊ก็พูดไม่คิด ดูสภาพหน้าตารูปร่างของตัวเองก่อนไหม? อย่างกับไม้เสียบผี ผอมเหมือนเขียดตากแห้งแบบนี้ อยู่ขายกล้วยแขกเป็นเพื่อนแม่น่ะดีแล้ว"
เราจิกกัดเจ๊แกเล็กน้อย ในขณะที่เจ๊เก๋มองเราตาแทบหลุด ถ้าไม่ติดว่าอาศัยพึ่งพาให้ดูแลแม่ตอนเราไม่อยู่ เจ๊แกจะโดนอึศรีด่าเยอะกว่านี้
ช่วยไม่ได้อยากแส่ทำไมล่ะ...
"มาแม่หนูช่วย"
เราเลิกสนใจเจ๊เก๋ แล้วหันไปช่วยแม่ขูดมะละกอแทน
กลับมาคราวนี้ดูเหมือนแม่จะซูบไปเยอะ บางทีเราก็เคยคิดที่จะเลิกขายตัวแล้วกลับมาช่วยแม่ขายส้มตำอยู่เหมือนกัน แต่พอกลับมาเห็นสภาพบ้านที่เป็นกระต๊อบสังกะสีผุๆพังๆก็ทำให้เราเปลี่ยนใจ
อย่างน้อยก็ขอเก็บเงินสร้างบ้านเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆให้ได้ก่อนเถอะ ถึงวันนั้นแล้วค่อยกลับมาขายของอยู่บ้าน(ถ้าอีศรีไม่เป็นเอดส์ตายไปซะก่อนนะ)
หลังจากนั้นเราก็อยู่ช่วยแม่ขายส้มตำจนเย็นแล้วก็พากันไสรถเข็นกลับบ้าน
ระหว่างทาง...
"เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่บ้านล่ะศรี?"
อยู่ๆแม่ก็ถามขึ้นมา
"จะกลับมาได้ยังไงล่ะแม่ หนูยังเก็บตังค์ปลูกบ้านให้แม่ไม่ได้เลย"
เราบอก
นึกแล้วก็ลำไยตัวเอง เมื่อไหร่ชีวิตอีศรีจะมีเสี่ยรวยๆ หรือฝรั่งสักคนมารับเลี้ยง เปย์ทั้งบ้าน เปย์ทั้งรถให้เหมือนอีตัวคนอื่นๆเขาบ้าง ไอ้ที่เจอทุกวันนี้ก็มีแต่อะไรไม่รู้ อีศรีปวดตับเหลือทน
"จะต้องปลูกทำไมบ้าน แม่แก่แล้วจะอยู่ได้อีกสักกี่ปี"
"แม่!"
เราเรียกแม่เสียงดังพร้อมกับหันไปมองหน้าแม่ทันที ไม่ชอบเลยที่แม่พูดแบบนี้
"แม่พูดอะไร ทำไมชอบพูดแบบนี้นัก ทุกวันนี้ที่หนูทำก็เพื่อแม่ทั้งนั้น ถ้าไม่มีแม่แล้วหนูจะทำไปทำไม?"
"แม่ก็พูดเผื่อไปอย่างนั้นแหล่ะ ชีวิตคนมันไม่แน่ไม่นอนหรอกนังศรีเอ๊ย จะตายวันตายพรุ่งใครจะไปรู้"
"แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้...หนูไม่พูดกับแม่ละ คนอะไรชอบแช่งตัวเอง"
เราพูดตัดบท แล้วรีบไสรถเข็นเข้าไปจอดหน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่สบอารมณ์
ทำไมแม่ชอบขัดใจศรี...
สามวันผ่านไป...
เรากลับมาอยู่และช่วยแม่ขายส้มตำจนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่สามเจ๊เฮี้ยงก็โทรศัพท์มาหาเรา
อีศรีกลัวว่าแม่จะได้ยินเลยต้องเดินไปคุยตรงป่ากล้วยข้างบ้าน
"ว่าไงเจ๊..."
เรารับโทรศัพท์พร้อมกับส่งเสียงกระซิบกระซาบไปตามสาย
"หนูยังไม่รับแขกนะเจ๊ หนูยังไม่หายดี(หมายถึงวันนั้นของเดือน)"
(กูไม่ได้จะให้มึงรับแขก แต่กูจะให้มึงมาดูตัว)
"หาา...ดูตัว?"
อีศรีงงในงง ดูตัวอะไร...
อย่าบอกนะว่าเจ๊เฮี้ยงมันจะจับอีศรีแต่งงาน?(มีความมโนไปอีกกู)
(คืออย่างนี้..มีเสี่ยคนหนึ่งเขาอยากได้ผู้หญิงสักคนมาเป็นเมียเช่า เขาเลยติดต่อกูมา กูก็เลยต้องเรียกมึงและทุกคนมารวมกันเพื่อให้เสี่ยเขาดูตัวน่ะสิ)
ฟังคำบอกเล่าของเจ๊แกอีศรีก็ถึงบางอ้อทันที แต่มันยังสงสัยและตะขิดตะขวงใจหน่อยๆอยู่ดี
"ทำไมต้องเรียกไปดูตัวด้วยเจ๊ แค่ส่งรูปไปให้ดูก็ได้มั้ง"
เราบอก เรื่องของเรื่องก็ขี้เกียจไปด้วยนั่นแหล่ะ
(ก็ถ้ามันใช่รูปแทนได้กูจะโทรมาตามมึงทำไมล่ะอีศรี กูน่ะฉลาดพอ กูเสนอไปแล้ว แต่ทางนั้นเขาไม่เอา เขาบอกว่ารูปน่ะมันแต่งเติมกันได้ เขากลัวว่าจะได้ผีไปทำเมียแทนโว้ย!)
เรื่องมาก!
(มึงด่ากูเรื่องมากเหรออีศรี!?)
เฮ้ย! กูคิดในใจดันเสือกได้ยินอีก!
"เปล๊าา!..."
เสียงสูงเลยกู
"หนูไม่ไปได้ไหมเจ๊?"
เราถาม ฟังจากที่เจ๊เฮี้ยงแกพูดมา ไอ้เสี่ยคนนี้มันต้องมีนิสัยที่เรื่องมากแน่ๆ
ไม่เอาอ่ะ...ศรีไม่ชอบคนเรื่องมาก สวยๆแบบศรีหาเสี่ยมาเลี้ยงตอนไหน เมื่อไหร่ก็ได้...(จ้าาาาอีศรี เมื่อไหร่ก็ได้จ้าาาา...มีความเสียงแมท)
(มึงแน่ใจเหรออีศรี? เสี่ยคนนี้ยังหนุ่มอยู่นะ แถมหน้าตาก็หล่ออย่างกับดาราเกาหลีเลยนะมึง ถ้ามึงไม่ไปแล้วมาคิดเสียดายตอนหลัง โทษกูไม่ได้นะ)
หืมมม...
ดาราเกาหลีเหรอ?.... (หน้ากงยู โซจีซบ ฮยอนบิน ลอยมาเลยจ้าา ...อีศรีแพ้ทางคนหล่อ โดยเฉพาะหล่อแบบเกาหลี)
"เออๆ ก็ได้เจ๊..."
มีความเสียงเปลี่ยนนิดนึง
"วันไหนล่ะเจ๊ แล้วให้ไปเจอที่ไหน กี่โมง?"
(ไหนมึงบอกไม่ไปไงอีศรี?)
"เอ๊า! ก็เจ๊บรรยายมาซะขนาดนี้ หนูก็แค่อยากเห็นว่าจะหล่ออย่างที่เจ๊พูดรึเปล่าก็เท่านั้นเอง..."
แถไปสิรออะไร... คนอย่างอีศรีไมีเคยจนมุมหรอก...
"แล้วว่าไงล่ะเจ๊ ที่ไหน เมื่อไหร่?"
(บ่อนxxxx บ่ายโมงตรง)
"โอเครเจ๊ เเล้วเจอกัน"
พูดจบเราก็วางสายทันที จากนั้นก็เดินไปหาแม่ที่กำลังทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน
โครม!
เสียงดังโครมครามที่ดังมาจากหลังบ้าน ทำให้เรานึกถึงแม่เป็นคนแรก เรารีบวิ่งไปหลังบ้านทันทีเพราะกลัวว่าเเม่จะเป็นอะไรไป
"แม่!"
แล้วก็จริงๆอย่างที่คิด พอเรามาถึงหลังบ้านก็เห็นแม่ลงไปนั่งที่พื้นแล้ว ข้างตัวแม่มีผักที่เตรียมจะทำกับข้าวหล่นกระจายเต็มพื้น
"แม่เป็นอะไรไหม?"
เราถามพร้อมกับค่อยๆประคองตัวแม่ขึ้นมาจากพื้น
"ทำอีท่าไหนเนี่ยแม่ถึงได้เป็นแบบนี้ เจ็บตรงไหนไหม?"
"แม่เดินชนโต๊ะน่ะ คนแก่ก็แบบนี้แหล่ะหูตาฝ้าฟาง ไม่เป็นอะไรมากหรอกล้มไม่แรงเท่าไหร่"
"ระวังหน่อยสิแม่ เป็นแบบนี้แล้วหนูจะไปทำงานยังไง"
เราบอก ค่อยๆประคองแม่มานั่งในบ้าน
"เอ็งจะกลับไปทำงานแล้วเรอะ?"
แม่ถาม
"อือ...เขาโทรมาตามแล้ว แม่นั่งรออยู่นี่แหล่ะเดี๋ยวหนูทำกับข้าวเอง"
เราออกไปทำกับข้าว เสร็จแล้วก็ยกเข้ามาในบ้านและนั่งกินข้าวกันจนอิ่ม จากนั้นก็เรากับแม่ก็แยกย้ายกันเข้านอน
ตัดมาวันนัดดูตัว...
เราก็ไปยังบ่อนxxxxตามที่เจ๊เฮี้ยงบอก แต่พอไปถึงทางเข้าอีศรีก็มีอาการหัวร้อนเมื่อการ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ยอมให้เข้าไปข้างใน
ลำไยทั้งสวน อีห่า!
แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรใดๆ พออีศรีเอ่ยชื่เจ๊เฮี้ยงไปเท่านั้น การ์ดก็ยอมให้เข้าไปแต่โดยดี
พอมาถึงชั้นสองที่การ์ดบอกไว้ มันมีห้องอยู่ห้องหนึ่งติดป้ายหน้าห้องไว้ว่าห้องประชุม ด้วยความมั่นอีศรีก็ผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่เคาะประตูก่อนด้วย
เราเข้าไปนั่งข้างๆอีแอ๋มทันที เพราะก่อนหน้านั้นเราโทรมาบอกให้มันเว้นที่นั่งไว้ให้เรา
เราหันมองไปรอบห้องที่มีบรรดาเพื่อนร่วมอาชีพนั่งกันหน้าสลอน บางคนแต่งองค์ทรงเครื่องมาซะเต็มยศ บางคนก็พอกหน้ามาซะหนาจนแทบจำไม่ได้เลยเหอะ
แล้วเราก็เลื่อนสายตาไปตรงหัวโต๊ะที่ตอนนี้มีผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดสูทสีขาวสวมแว่นตาดำนั่งเป็นประทานอยู่ มีผู้ชายใส่สูทสีดำสองคนยืนขนาบข้างเหมือนบอดี้การ์ด
แต่ที่ทำให้ศรีตะลึงจนแทบช็อค!ก็ผู้ชายใสีสูทสีขาวที่นั่งหัวโต๊ะนี่แหล่ะ!
งื้อออออออ! ทำไมคุ้นหน้า ทำไมคุ้นจัง!
ชิบหายอีกแล้วอีศรี!
ซวยอีกแล้วกู!
•สมศรี•
********************