“วันนี้เลย ผมจะเข้าไปที่บริษัทเพราะอยากคุยอะไรกับเจ้าบี๋หลาย ๆ อย่าง” โดมินิคตอบเสียงเรียบขณะที่สายตาจับจ้องที่อาทิตยาอย่างเป็นประกาย และมีเลศนัย ซึ่งเธอก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าเขาพยายามจะใช้สายตาทำให้เธอหวั่นไหวก็ตาม แต่ผู้ชายประเภทนี้เธอเกลียดด้วยซ้ำ
“จะเข้าไปตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ หรือจะไปทีหลัง เพราะฉันเห็นว่าคุณยังไม่ได้จัดการอะไรให้เรียบร้อย” อาทิตยาหมายถึงผู้หญิงที่อยู่ในห้องเขาสินะ
เธอหมายถึงผู้หญิงที่อยู่ในห้องเขาสินะ
เพราะฉันเห็นว่าคุณยังไม่ได้จัดการอะไรให้เรียบร้อย"นต์เท่านี้ก็ดีแล้ว"ต่ผมแหละจะไปโกงเพรา“ไปพร้อมกันนี่แหละครับ รอผมสักครู่เดียวเท่านั้น” พูดจบโดมินิคก็ลุกเดินกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง แล้วนี่ทำไมเธอต้องรอเขาด้วยนะ แถมยังเป็นการรอครั้งที่สองแล้วด้วย เธอคิด แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนของเจ้านาย และกำลังจะมาเป็นผู้บริหาร ขณะเดียวกันโดมินิคเข้ามาเคลียร์กับสาวสวยที่รออยู่ในห้อง เพื่อให้ค่าขนมตามที่ได้ตกลงเอาไว้
“ค่าขนมสำหรับคนเก่ง” โดมินิคยื่นเงินให้พร้อมกับเอ่ยปากชม
“ขอบคุณนะคะ ว่าแต่คุณจะออกไปไหนเหรอคะ” เธอรับเงินและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่จากไป
“ไปธุระจ้ะ ผมต้องเข้าไปบริษัทไปคุยกับเพื่อนน่ะ”
“แล้วฉันล่ะคะ ไปด้วยไม่ได้เหรอ” เธอถามราวกับเป็นแฟนเขาอย่างนั้นแหละ ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อคืนนี้เอง
“ก็ไหนบอกว่าอยากจะกลับแล้วไงครับ” เขาพูดเพื่อไล่ทางอ้อมเพราะอยากจะสานสัมพันธ์กับเลขานุการเพื่อนมากกว่า
“ก็นึกว่าคุณจะไปส่งนี่คะ”
“ผมไม่ว่างหรอก เอาไว้ผมจะโทรหาก็แล้วกัน” พูดจบโดมินิคก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเธออีกที แล้วรีบคว้าเสื้อนอกพร้อมกับคว้ามือเธอแล้วจูงเดินออกไปจากห้อง เท่านั้นยังไม่พอ เขายังส่งถึงหน้าประตูเลยทีเดียวเพื่อว่าเธอจะได้ไม่งอแง อาทิตยาเห็นแล้วได้แต่นั่งเฉยเท่านั้น แม้ปากจะคันยิบๆ อยากบ่น
“ไปกันหรือยังครับ” โดมินิคเดินกลับมาและถามพลางยิ้มให้กับเธอ
“ค่ะ” อาทิตยาตอบเสียงเรียบไม่ได้ยิ้มรับแต่อย่างใด
“ออ ถ้าจำไม่ผิดคุณเอารถมาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็จอดรถไว้ที่นี่นั่งไปกับผม” โดมินิคมัดมือชกเธออย่างนั้นหรือเนี่ย แล้วจะให้เธอกลับบ้านยังไง
“ฉันคงเอารถจอดไว้ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ เลิกงานแล้วจะกลับยังไง อีกอย่างฉันไม่อยากเสียเวลานั่งแท็กซี่มาเอารถที่นี่อีก” ความจริงแล้วก็ทำได้แต่เธอไม่อยากเสียเวลา
“ให้คนขับรถของเจ้าบี๋เอาให้ก็ได้นี่ครับ ส่วนคุณนั่งไปกับผม หรือจะต้องให้ผมโทรบอกเจ้านายคุณก่อนถึงจะยอม” ให้ตายสิ เขาเอาเจ้านายมาขู่แบบนี้ ทางนั้นก็ต้องยอมอยู่แล้วในเมื่อเป็นเพื่อนกัน เธอคิด
“เฮ้อ!!! ก็ได้ค่ะ” อาทิตยาตอบอย่างเสียมิได้ ทำให้เขายิ้มอย่างมีชัย
“งั้นไปครับ” จากนั้นโดมินิคก็เชิญให้เธอออกไปจากห้อง เพื่อจะได้ปิดห้องให้เรียบร้อย เวลานี้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำให้เธอไม่พอใจเล็ก ๆ รู้แต่เพียงว่าได้ทำตามที่ตัวเองต้องการเท่านั้นพอ
แต่สำหรับอาทิตยาอดแปลกใจไม่ได้ ที่เจ้านายของเธอคบกับคนแบบนี้เป็นเพื่อนสนิทได้อย่างไร เธอคิดขณะที่อยู่ในลิฟต์ด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่พูดไม่จากับเขา กระทั่งลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่งและเปิดออก เธอจึงก้าวออกไปก่อนแล้วตามด้วยเขา จากนั้นก็เดินเยื้องไปทางด้านหลังเขาเล็กน้อยเพื่อเป็นมารยาท จนเดินมาถึงรถซึ่งอยู่หน้าคอนโด แล้วเขาก็เปิดให้เธอขึ้นไปนั่งอย่างสุภาพ
“ปกติแล้วคุณเป็นคนร่าเริงหรือว่าเย็นชาครับ” โดมินิคถามด้วยความรู้เพราะเห็นว่าอาทิตยาเอาแต่นั่งนิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็เคลื่อนรถออกไปจากลานจอดรถ เพื่อตรงดิ่งไปยังบริษัทที่เธอทำงานอยู่
“ถามทำไมเหรอคะ” อาทิตยาถามกลับเสียงเรียบ พลางปรายตามองเขาเล็กน้อยเท่านั้น
“ก็ผมไม่เห็นคุณยิ้มเลย” โดมินิคถามเพราะอยากให้เธอยิ้มให้หรือยังไงนะ เธอไม่ชอบเขาจะให้ยิ้มได้อย่างไร
“มันเป็นปกติของฉันค่ะ ยิ้มบ้าง นิ่งบ้าง”
“แต่คุณไม่ยิ้มให้ผมเลย” โดมินิคต้องการอะไรจากเธอเนี่ย
“เอ่อ ถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดีก็ขอโทษด้วยค่ะ” พอพูดจบเท่านั้นแหละเธอก็ยิ้มอ่อนให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าตรง แล้วนั่งนิ่ง ๆ ต่อไป ทว่ารอยยิ้มเมื่อครู่มันทำให้เธอสวยกว่าเดิมเสียอีก
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณซีเรียสกับงานมากเกินไป หรือว่าเจ้าบี๋ดุ ใช้งานหนักหรือยังไง”
“ก็... ค่ะ ท่านเป็นคนดุ เวลาทำงานท่านจริงจังมาก”
“แต่ก็ไม่แปลกใจหรอกเพราะคนนิสัยเหมือนกัน มาทำงานด้วยกัน คุณเองก็ดูจริงจัง ได้ยินว่าบี๋มันก็ซีเรียสเวลาทำงาน”
“สำหรับฉันไม่เชื่อเลยว่าคุณสองคนจะเป็นเพื่อนกัน นิสัยไม่เหมือนกันเลย” เธออยากจะพูดมากกว่านี้แต่เกรงใจ
“หือ ไม่เหมือนกันตรงไหนครับ ผมว่าเหมือนกันออกจะตาย” เขายักคิ้วถามราวกับไม่รู้ว่าต่างกับเพื่อนรักแค่ไหน
“หึ ๆ คุณรู้ตัวดีว่าไม่เหมือนเขา เอาเป็นว่าไม่นินทาเจ้านายดีกว่านะคะ คุณขับรถไปเถอะค่ะ”
“แล้ว เจ้าบี๋มันจีบคุณบ้างหรือเปล่า” คิดว่าเขาจะหยุดพูดเสียอีก แต่กลับถามอีกเรื่องเสียอย่างนั้น
“อะไรนะคะ!!! คุณเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ขี้หลีค่ะ ไม่เจ้าชู้” เธอตกใจในคำถามเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นเลขาประสาอะไรครับไม่รู้จักเจ้านายตัวเอง นั่นน่ะพ่อเสือเชียวนะครับ คุณรอดเงื้อมมือเขาไปได้ยังไง สมัยเรียนในแก๊งค์เพื่อนเนี่ยเขาตัวใหญ่สุดแล้ว” นี่กำลังพูดเอาดีเข้าตัวเองสินะคนเรา
“ฉันคิดว่าเป็นคุณเสียอีก” อาทิตยาประชดเบา ๆ
“ผมก็แค่เสือตัวเล็ก เผลอ ๆ ถ้าเจอคนที่ใช่ก็อาจจะถอดเขี้ยวเล็บ” เสือตัวเล็กอย่างนั้นหรือ ใครจะเชื่อ
“ใครบ้างจะไม่พูดเอาดีเข้าตัว จริงไหมคะ” เธอว่ายิ้ม ๆ
“เดี๋ยวผมจะไปพิสูจน์ให้คุณดูว่าผมไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัว ทว่าบางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด”
“อย่างเช่นอะไรบ้างคะ” อาทิตยาถามกลับแกมเหน็บแนมอีกครั้ง
“อย่างเช่นสิ่งที่คุณเห็นก่อนหน้านี้ไง ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินว่าผมเลวร้ายซะหน่อย”
“อ๋อ... เหรอคะ แล้วบอกฉันทำไม” เธอตอบยิ้ม ๆ
“เอ่อ นั่นสิครับ” เขาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนจะขับรถต่อไป และหยุดการสนทนาโดยสิ้นเชิง เพราะขืนพูดมากไปกว่านี้มีหวังโดนเธอตอกกลับให้จุกอกแน่ ๆ