“เคยเหงาไหมคะเวลาที่ต้องทานคนเดียว” อาทิตาอดถามไม่ได้ พลางมองอาหารสลับกับมองหน้าเขา
“ก็มีบ้าง” เบนจามินตอบและแสร้งไม่สนใจต่อสีหน้าของเธอ แล้วก้มหน้าทานอาหารตรงหน้า รู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นไม่แคร์ ทั้งที่รู้ว่าเขาเหงามากแค่ไหน
“แล้วเพื่อน ๆ ของคุณบี๋ไม่ชวนออกไปทานอะไรข้างนอกเหรอคะ จะได้คลายเหงาไง”
“หมายถึงไปเที่ยวถูกไหม ขี้เกียจแล้ว” ความจริงไม่ได้ขี้เกียจเพียงแต่ไม่ใช่นิสัยที่ชอบเที่ยวอยู่ตลอด อีกอย่างเขาไม่ใช่ผู้ชายเพลย์บอย
“เหงาแบบนี้กี่ปีแล้วคะ เห็นว่าอยู่บ้านแบบนี้คนเดียวมาตั้งแต่สมัยเรียน” อาทิตยาถามไปด้วยทานไปด้วยเช่นกัน
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เริ่มต้นอยู่คนเดียวตอนที่เข้ามาดูแลบริษัทน่ะ”
“งั้นก็ต้องเหงาต่อไป” พูดจบเธอก็ก้มหน้าทานข้าวเสียอย่างนั้น
“หือ นึกว่าจะใจดีมาทานเป็นเพื่อนทุกวันซะอีก” เขาถามกลับพลางหรี่ตามองเธอแปลก ๆ ทว่าเธอไม่เห็นเท่านั้นเอง
“แหม แค่นี้คนเขาก็หมั่นไส้จะแย่อยู่แล้วค่ะ” หมั่นไส้ที่เธอกับเจ้านายรูปหล่อสนิทกันสินะ อย่างว่าเธอสวยครบเครื่อง เก่งและรู้ใจไปเสียทุกอย่างจนเขาเมตตาและเอ็นดู อีกอย่างเธอเองก็อยู่ตัวคนเดียวเช่นกัน จากเจ้านายลูกน้องมันเลยเพิ่มสถานะเป็นเหมือนพี่น้องเข้าไปอีก
“หมั่นไส้ที่เจ้านายรูปหล่อให้ความเอ็นดูน่ะสิ ใช่ไหม” เขากล่าวยิ้ม ๆ พร้อมกับตักอาหารเข้าปาก
“แหม ๆ ไม่เคยเห็นใครชื่นชมตัวเองได้อย่างหน้าเฉยขนาดนี้เลยนะคะเนี่ย”
“ฮ่า ๆ รีบทานดีกว่าจะได้ไม่ต้องกลับดึก” เขาหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีไปด้วยเพราะก่อนหน้านี้เขาดูเศร้าเหลือเกิน
“ค่ะเจ้านาย” พอรับปากเสร็จ ทั้งสองจึงได้พากันลงมือรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว เพื่อว่าเบนจามินจะได้เป็นคนไปส่งอาทิตยาด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งคนขับรถ
แต่ระหว่างทานไปเขาก็ลอบสังเกตเธอเป็นระยะ อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอคิดอะไรบ้างหรือไม่ ที่ต้องมาทานข้าวกับเจ้านายเป็นบางครั้ง แต่ก็ภายในระยะเวลาสองปี แถมเจ้านายยังเป็นหนุ่มโสดอีกต่างหาก แต่เขากลับคิดว่าดีแล้วเพราะไม่อยากให้เธอสนใจใคร ต่างคนต่างดูแลกันไปแบบนี้น่าจะดี
“จริง ๆ แล้วไม่เห็นต้องลำบากมาส่งด้วยตัวเองเลยนะคะคุณบี๋ ให้คนขับรถมาส่งก็ได้” อาทิตยาเอ่ยขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งรถมากับเบนจามิน
“ไม่เป็นไรเลย อย่าคิดมาก เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอแล้ว ถามจริงอยู่คนเดียวที่คอนโดไม่เหงาหรือไง”
“ก็ มีบ้างค่ะ แต่ซันชินแล้ว”
“ไม่คิดอยากจะตามครอบครัวไปอยู่เมืองนอกบ้างเหรอจ้ะ”
“ซันแฮ้ปปี้นะคะ อยู่คนเดียวก็ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาอะไร มันจะเหงาแค่ตอนเลิกงาน ตอนทานข้าวหรือไม่ก็เดินห้าง”
“หึ ๆ ไม่เหงาก็ตอนมาทำงานใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ เพราะไม่มีเวลาให้เหงา เอาแต่ทำงานแล้วก็เอาใจเจ้านายไง” อาทิตยาตอบโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ทว่าเขากลับคิดไปไกลเลยเชียว นั่นเพราะสาเหตุเกิดจากเขาสินะ มันดีหรือไม่ดีเล่าที่เธอเอาใจเนี่ย
“แล้วเต็มใจหรือเปล่าเนี่ย”
“เต็มใจสิคะ มีเจ้านายดี รักและเอ็นดูขนาดนี้เป็นบุญของซันมาก”
“บางทีเจ้านายคนนี้ ก็ทำให้ลูกน้องเสียใจบ่อยครั้ง”
“อืม ช่างเถอะค่ะไม่เป็นไรหรอก เป็นเจ้านายก็ต้องมีดุบ้างเป็นธรรมดา ส่วนซันก็เถียงบ้างเป็นบางครั้ง เจ้านายเองก็คงไม่ถือสาซันใช่ไหม บางทีซันก็ดูจะก้าวร้าวไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรจ้ะอย่าคิดมาก พี่รู้ว่าทุกครั้งที่เถียงกันซันจะมีเหตุผลเสมอ” พอเขาพูดจบ เธอก็หันมายิ้มให้กับเขาเล็กน้อย ส่วนเขาก็ยิ้มรับก่อนจะตั้งใจขับรถต่อไป เพราะว๊อกแว๊กไม่ได้เกรงจะเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นบรรยากาศภายในรถก็เงียบกริบ อาทิตยาปล่อยให้เบนจามินขับรถต่อไปโดยไม่ได้ชวนคุย ทว่ารู้สึกได้เลยว่ามีความรู้สึกบางอย่างมันก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ จนต้องรีบสลัดความคิดบ้า ๆ นั่นทิ้งไปเสีย เพราะมันเป็นไปไม่ได้และไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาที เบนจามินก็ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของคอนโดอาทิตยา เป็นคอนโดที่มีระดับพอสมควร ผู้คนพลุกพล่านไม่น่ากลัว เพราะมันอยู่ในย่านท่องเที่ยว ภายในคอนโดนั้นมีหน้า ฟร้อนและพนักงานคอยดูแลคล้ายกับโรงแรม พร้อมทั้งมีลิฟต์สองตัว แม้ผู้คนจะขวักไขว่ไม่น่ากลัวแต่ด้วยความเป็นห่วง เบนจามินถือโอกาสขึ้นไปส่งอาทิตยาจนถึงบนห้อง
“ส่งเท่านี้พอแล้วค่ะเจ้านาย” อาทิตยาบอกเมื่อเขาก้าวออกจากลิฟต์ เพราะห้องของเธอไม่ได้อยู่ห่างจากลิฟต์สักเท่าไหร่
“ไหน ๆ ก็มาถึงชั้นนี้แล้ว เดี๋ยวส่งถึงหน้าห้องเลย พี่จะได้กลับไปอย่างสบายใจ”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ” ด้วยความที่เป็นเจ้านายกับลูกน้องจึงมีความบริสุทธิ์ใจที่จะทำ อาทิตยาจึงเดินนำมาจนถึงหน้าห้องของตัวเอง
“ขอบคุณนะคะคุณบี๋ อุตสาห์เดินขึ้นมาส่งถึงห้องเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พรุ่งนี้พี่จะให้คนขับรถมารับก็แล้วกัน ส่วนรถนะจะให้คนไปเอาให้ แล้วเอาไปจอดไว้ที่บริษัท”
“ขอบคุณค่ะ แต่อันที่จริงแล้วซันว่าให้ซันนั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้นะคะ ไม่เห็นต้องวุ่นวายหรอก”
“เราก็วุ่นวายกันอยู่แบบนี้มาสองปีแล้วนะ ยังไม่ชินอีกเหรอ”
“หึ ๆ ชินแล้วค่ะ แค่เกรงใจเท่านั้นเอง เอ่อ ซันเข้าห้องก่อนนะคะ” เธอบอกและตัดบทยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปเปิดประตูห้อง เสร็จแล้วก็หันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“ฝันดีนะจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกัน” เบนจามินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและยิ้มหวานให้กับเธอ
“ฝันดีค่ะคุณบี๋แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ”
“จ้ะ เรื่องเพื่อนพี่ฝากเอาไปคิดก็ดีนะ” เบนจามินยังจะมาหยอดเรื่องเพื่อนอีกหรือเนี่ย ให้ตายสิ
“ซันยังยืนยันคำเดิมค่ะ” พูดจบเธอก็โบกมือให้ เขาจึงได้แต่ยิ้มแล้วเป็นคนเอื้อมมือปิดประตูให้กับเธอเสียเอง เรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปที่ลิฟต์ ขณะเดียวกันอาทิตยายังคงยืนยิ้มกับคำพูดของเจ้านายหนุ่ม หวังจะยุเธอกับเพื่อนให้เป็นแฟนกันอย่างนั้นหรือ คงเป็นไปได้ยาก ไม่มีทางที่เธอจะรับพิจารณาคนเจ้าชู้แบบโดมินิคแน่
“คุณบี๋นะคุณบี๋ ก็รู้ว่าอยู่ว่าซันไม่ชอบคนเจ้าชู้ ยังไม่อยากคบใคร คุณบี๋ก็ยังจะยุให้ซันยอมใจอ่อน คนแบบนั้น ไม่ใช่สเปกซะหน่อย” อาทิตยาออกปากบ่นอยู่เพียงลำพัง พลางเดินตรงไปยังโซฟารับแขกก่อนจะหย่อนกายลงนั่ง ทอดสายตามองออกไปนอกกระจก ภายนอกมีแต่แสงไฟดวงเล็ก ๆ ทั่วเมืองราวกับดวงดาวเลยทีเดียว มันดูเพลินตาก็จริงทว่าเธอกลับฉุกคิดถึงคำถามของเบนจามินซึ่งถามขณะที่นั่งรถมา นั่นคือความเหงา
ความจริงแล้วอาทิตยาก็เหงา ทว่ามันชินจึงทำให้ไม่จำเป็นต้องมีใครคอยดูแล หรือไม่ต้องตามครอบครัวไปอยู่เมืองนอก หกปีมาแล้วที่อาทิตยาอยู่คอนโดเช่นนี้เพียงคนเดียว เนื่องจากว่าบิดามารดาแยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก และมารดามีสามีใหม่เป็นชาวต่างชาติในตอนเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง พ่อเลี้ยงเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะร่ำรวยมาก หน้าที่การงานอยู่ที่อังกฤษ จึงขอให้เธอและมารดาไปอยู่ด้วย
แต่เพราะอาทิตยายังไม่คุ้นชินกับพ่อเลี้ยงนัก กอปรกับอยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองจึงขออยู่เมืองไทย และรับปากจะไปเยี่ยมมารดาปีละสองครั้ง เมื่อมารดากับพ่อเลี้ยงบังคับเธอไม่ได้ จึงต้องซื้อคอนโดหรูให้พร้อมกับรถหนึ่งคันเพื่อความสะดวก จนกระทั่งเธอเรียนจบและทำงานได้สองปี และสองปีนี้มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก แต่ถึงกระนั้นมารดาก็ยังอยากจะให้ไปอยู่เมืองนอกด้วยอยู่ดี
หากอาทิตยายังไม่ได้ทำงานก็ไม่แน่ว่าอาจจะไปก็ได้ ทว่าตอนนี้ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าอยากไปหรือเปล่า นั่นก็เพราะว่าถ้าหากเธอไม่อยู่ ใครจะดูแลเบนจามิน ใครจะเป็นเลขาได้ดีไปกว่าเธอ ที่สำคัญไปกว่านั้นมันกลายเป็นความผูกพันและความห่วงใยที่มีต่อกันเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้ที่เบนจามินขับรถกลับบ้าน ความเป็นห่วงก็ทำให้เธอต้องโทรศัพท์ไปหา เพื่อถามว่าถึงบ้านหรือยัง
กริ้ง!!! กริ้ง!!! กริ้ง!!! เสียงโทรศัพท์ของเบนจามินดังขึ้น ขณะที่เขากำลังเดินเข้าบ้านพอดี เขารีบหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางมองที่เบอร์ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วกดรับสาย
“ถึงบ้านแล้วครับคุณเลขา” เบนจามินตอบโดยไม่ได้ทักทายแต่อย่างใด นั่นก็เพราะรู้ว่าเธอต้องเป็นห่วง
“ดีมากค่ะเจ้านาย ยิ่งกลัวว่าจะเถลไถลเสียอีก”
“คืนนี้เพื่อน ๆ พี่ไม่มีใครว่างสักคน เลยอดเถลไถล”
“เหรอคะ ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเมากลับบ้าน อีกอย่างพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า”
“หึ ๆ หน้าที่แทนคุณแม่พี่เลยนะเนี่ย”
“ถ้าให้เกียรติซันขนาดนั้นก็ยินดีเลยค่ะ แต่ไม่เอาดีกว่ากลัวปวดหัว งั้นแค่นี้นะคะรีบอาบน้ำเข้านอน เขาว่าคนแก่ไม่ให้นอนดึกรู้ไหมคะ” ให้ตายเถอะเธอช่างปากร้ายเสียจริง
“ยอมรับก็ได้ว่าแก่ แต่คิดว่าตัวเองจะแก่ไม่ทันพี่หรือไง”
“ไม่ค่ะ ซันจะเป็นสาวสองพันปี”
“หึ ๆ ครับแม่สาวสองพันปี นอนได้แล้วไม่ใช่เที่ยวโทรหาแต่หนุ่ม ๆ”
“บ้า แค่นี้นะคะ ไม่คุยด้วยแล้ว ฝันดีอีกครั้งคะเจ้านาย”
“ฝันดีจ้ะ” เมื่อล่ำลากันเสร็จทั้งคู่จึงกดวางสาย จากนั้นเบนจามินก็ยิ้มกับโทรศัพท์มือถือพลางส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู
“จะมีใครเป็นห่วงพี่เท่าเราอีกนะ” เบนจามินถามตัวเองก่อนจะเดินขึ้นบ้าน เพื่อจะได้พักผ่อนตามที่เลขาส่วนตัวสั่งเอาไว้ เพื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานแต่เช้า