6

1563 Words
รุ่งเช้าเป็นวันที่แสนอิดโรยของตุลยาเริ่มจากการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน แถมยังไม่กล้าอาบน้ำเพราะกลัวว่าวิญญาณของเขาจะตามเข้าไปด้วยหลังจากนั้นเธอต้องทนขับรถออกจากบ้านโดยมีวิญญาณของเขาคอยยั่วโมโหเป็นระยะ ๆ “เป็นอะไรตุ๊ก ทำไมตาบวมจังเมื่อคืนอยู่เวรหรือจ๊ะ” อุมาพรเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนสาว “เปล่าจะ พรทำอะไรหรือ” “กำลังจะไปตรวจคนไข้ ตุ๊กไปด้วยกันไหม” หญิงสาวเดินตามอุมาพรไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลซึ่งเป็นตึกสูงประมาณยี่สิบชั้นสองหลัง โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลค่อนข้างใหญ่สามารถรับคนไข้ได้สองร้อยเตียง มีแพทย์เฉพาะทางทุกแผนกแค่แผนกเด็กก็มีหมอถึงห้าคน “อาการคุณปฏิภาณเป็นยังไงมั่ง” คนถูกเอ่ยถึงส่งยิ้มกวาง แถมยื่นหน้ามากระซิบข้างหูคุณหมอสาว “เพื่อนคุณคนนี้น่ารักจัง รู้จักถามถึงผมด้วย” “ไม่รู้สิ ตุ๊กยังไม่ได้ไปดูอีกเลย” “น่าสงสารนะตุ๊ก น้องจ๋ายิ่งน่าสงสาร เพิ่งจะเสียคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้อาก็มาเป็นแบบนี้ คงตกใจแย่” “ใช่ วันนี้ตุ๊กเลยให้คุณธีรพันธ์ช่วยพาแกมาที่โอพีดีอยากจะคุยกับแกสักหน่อย เห็นว่าไม่ยอมกินไม่ยอมนอน” “ตุ๊กต้องดูแลแกดีๆ นะ ช่วงนี้น่าจะให้ทางบ้านเขาพามาหาตึกบ่อย ๆ แกจะได้ไม่เหงา พรว่าแกชอบตุ๊กนะ มีแต่ตุ๊กคนเดียวที่เอาแกอยู่” “ไม่หรอกวันก่อนมันฟลุกน่ะถ้าตุ๊กไม่บังเอิญจับถูกจุดด่าแกชอบของเล่นแปลกๆ ก็คงไม่ยอมให้ทำแผล แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” ร่างโปร่งแสงที่ชอบพูดแทรกกลับฟังนิ่ง “ถึงตึกแล้วตุ๊กไปก่อนนะ ไว้สาย ๆ เจอกัน” หญิงสาวเดินแยกไปยังหอผู้ป่วยคนละแห่งกับเพื่อนสนิท โดยมีร่างของปฏิภาณตามไปติดๆ “น้องจ๋าน่าสงสารแกคงเหงา” “รู้เหมือนกันหรือ ที่เมื่อก่อนทำไม่ไม่รู้จักดูแลหลานให้ดีกว่านี้ แกเป็นเด็กผู้หญิงนะ ไม่ใช่เด็กผู้ชายที่ชอบทำอะไรแผงๆ เหมือนเด็กผู้ชาย”“เอ๊ะคุณ หาเรื่องผมอีกแล้ว ถ้าคุณอยากให้ผมดูแลแกดีกว่านี้ก็ช่วยผมสิช่วยให้ผมกลับไปอยู่ในสภาพเดิม”หญิงสาวส่ายหน้า เธอเดินไปหยิบหูฟังและชาร์ตของคนไข้เด็กเตียงแรกขึ้นมาตรวจอาการ “วันนี้น้องพลอยเป็นยังไงบ้างคะคนเก่ง ยังเจ็บคออยู่หรือเปล่าลูก” พยาบาลสาวผู้ช่วยเดินตามมาอย่างรู้หน้าที่ยื่นไฟฉายพร้อมกับไม้กดลิ้นให้ “อ้าปากนิดหนึ่งนะคะขอหมอดูหน่อยว่าวันนี้จะกลับบ้านได้หรือยัง” เธอกดหูฟังลงบนอกของคนไข้เด็กและฟังเสียงหายใจสองสามครั้งก่อนยิ้มให้คุณแม่ “น้องพลอยดีขึ้นมากนะคะ ไข้ลดลงแล้ว วันนี้คงกลับบ้านได้หมอจะจัดยากลับไปให้ทานที่บ้านนะคะ แต่ต้องระวังอย่าให้โดนอากาศเย็น ๆ อีกเดี๋ยวไข้จะกลับซ้ำอีก” “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ปฏิภาณเดินตรวจคนไข้จากเตียงนั้นไปเตียงนี้กับหญิงสาวไปเงียบๆรู้ว่าหากเผลอก่อกวนเธอ ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย เขาเดินสำรวจห้องโน้นห้องนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเตียงสุดท้ายรถยุโรปคุ้นตาจอดเทียบด้านหน้า อาจารีลงมาพร้อมพี่เลี้ยง ส่วนคนขับต้องเอารถไปจอดที่ลานจอดรถ ธีรพันธ์ติดธุระที่บริษัทถึงวานให้มะลิพาเด็กหญิงมาส่ง “ถึงแล้วลงมาซิ นี่จะบ่ายโมงแล้วนะ” พี่เลี้ยงคนใหม่เอ่ยเสียงห้วน “โอ๊ย...จ๋าเจ็บนะ” เด็กหญิงตัวน้อยร้องโอดโอย คลำแขนตัวเองปอย ๆเมื่อมะลิพี่เลี้ยงจากศูนย์หยิกเนื้อต้นแขนแล้วบิดอย่างแรง “เจ็บก็เดินเร็ว ๆ สิ เด็กบ้าอะไรเอาแต่ใจตัวเอง ไปเร็วเข้า” “ก็จ๋าหิวนี่ อยากกินข้าว ทำไมต้องมาเร่งด้วย” มะลิปั้นหน้ายักษ์ จ้องหน้าและตะคอกใส่เด็กหญิง “หน็อย ช่างพูดดีนักนะ ก็ให้กินแล้วทำไมไม่กินโอ้เอ้ อยู่ได้ แล้วอย่าปากมากนะแก ขืนแกฟ้องคุณธี ฉันจะหยิกให้เขียวกว่านี้ อย่าลืมนะว่าตอนกลางวันแกอยู่กับฉัน”เด็กหญิงตัวน้อยจ้องหน้านิ่งไม่มีใครรู้ว่าลับหลังคนอื่นแล้วมะลิจะทำหน้ายักษ์ใส่และเมื่อไม่ได้ดังใจก็จะหยิกน้องจ๋าประจำ อาจารีไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวถูกหยิกอีกจึงปิดปากเงียบ “หน็อย ทำมอง มีปัญหาหรือ” ว่าแล้วก็หยิกที่ต้นแขนเด็กน้อยอีกครั้ง “หยุดนะ แกทำบ้าอะไรน่ะ” ปฏิภาณในสภาพของวิญญาณตะโกน เขาเห็นแววตาปวดร้าวของหลานรักหัวใจผู้เป็นอาเจ็บหนึบ ถึงจะตะโกนดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินเขาตวัดฝ่ามือเพื่อจะตอบมะลิแต่ทุกอย่างกลับเหมือนเพียงลมพัดผ่าน “ไป เดินดีๆ สิเด็กเวรนี่” มือนั้นกระชากข้อมือเล็กให้เดินตาม “อาโป้งขา อาโป้งอยู่ไหน ทำไม” ร่างสูงยืนนิ่งอย่างเจ็บปวด เขายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ แล้วตามหลานสาวกับพี่เลี้ยงไปในตึกผู้ป่วยอีกครั้งมะลิพาเด็กหญิงไปนั่งรอตุลยาคุณหมอสาวสวยเพิ่งจะกินข้าวที่ฝากเพื่อนซื้อมาเสร็จเขาเดินเร็วๆ มานั่งข้างเธอ “เป็นไงบ้างจ๊ะน้องจ๋า” หญิงสาวทัก “เบื่อ เซ็ง” เด็กหญิงตอบสั้นๆ “ทำไมพูดกับคุณหมอแบบนั้นล่ะคะน้องจ๋า พูดไม่เพราะเลยนะคะ ต้องพูดว่าคะ ขาสิจ๊ะ” มะลิเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็จะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นผู้ใหญ่ใจดีทันที “ไม่” เด็กหญิงตะคอก “ใจเย็น ๆ ค่ะ เชิญพี่เลี้ยงออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ ขอหมอคุยกับน้องจ๋าเอง” มะลิหน้าเจื่อนๆ จำต้องออกไปยืนข้างนอกตามคำสั่งตุลยาดึงเด็กหญิงมานั่งใกล้ๆ ยื่นถุงมือใส่น้ำ เด็กหญิงยื่นมือไปรับอย่างดีใจ “น้องจ๋าอยู่บ้านเหงาไหมคะ? “เหงามากค่ะ คิดถึงอาโป้ง” เด็กหญิงตอบ “แล้ววันนี้ไปเยี่ยมคุณอามาหรือยังจ๊ะ” “ยัง พี่มะลิไม่ให้ไป บอกว่าไปเยี่ยมก็เท่านั้น” “ยายมะลินี้มันชั่วร้ายมากผมเห็นมันหยิกหลานผม”เสียงหนึ่งโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวหันไปเห็นวิญญาณชายหนุ่มยืนหน้าเครียดเขาคงบังเอิญไปเห็นอะไรมาถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับ “อยากไปไหมคะ อาหมอจะพาไป เห็นคุณหมอบอกว่าวันนี้คุณอาดีขึ้นเยอะแล้ว" “อาโป้งจะตายไหมคะ” “ไม่หรอกจ๊ะ อาของหนูต้องดีขึ้น เชื่อหมอนะ” อาจารีโผเข้ากอดหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น “น้องจ๋ารักอาโป้ง ไม่อยากให้อาโป้งไปเหมือนพ่อกับแม่” ตุลยากอดร่างนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ “ไม่จริงหรอกค่ะ อาของหนูจะต้องดีขึ้นทุกๆ คนรักหนูเชื่ออาหมอนะอย่างน้อยอาหมอก็รักน้องจ๋าคนหนึ่งล่ะ”เด็กหญิงส่ายหน้าดิก “ไม่จริง” “จริงสิจ๊ะ อาหมอรักน้องจ๋า อาหมอจะเอาใจช่วยเราสองคนช่วยภาวนาให้อาของหนูหายเร็ว ๆ ดีไหมจ๊ะ”เด็กหญิงพยักหน้าหงึก ๆ คลี่ยิ้มทั้งน้ำตา มือบางบีบที่หัวไหล่โดยบังเอิญทำให้เด็กหญิงร้องโอดโอย “เป็นอะไรคะ” “จ๋าเจ็บ พี่มะลิหยิกจ๋า” หญิงสาวมองหน้าเด็กหญิงตัวน้อยอย่างประหลาดใจ แล้วหันไปสบตากับปฏิภาณเธอค่อย ๆ เลิกแขนเสื้อขึ้น ก็พบรอยสีม่วงปืนใหญ่อยู่บนต้นแขนและเมื่อถอดเสื้อออกทั้งคู่ก็อุทานพร้อมกัน “บัดซบ ผมจะฆ่ามัน มันทำกับเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ได้ยังไง” ชายหนุ่มตะโกนก้อง ร่องรอยมากมายตามตัวของพี่เลี้ยงจอมปลอม “ใจเย็นๆ สิคะ” หญิงสาวหันไปทางเขา “เราไม่ควรโวยวาย น้องจ๋ายังต้องอยู่กับพี่เลี้ยงคนนี้ขึ้นทำอะไรทุ่มบ่ามแกจะลำบาก” “แล้วคุณจะปล่อยให้หลานผมโดนทำร้ายอย่างนี้นะหรือ” “อาหมอพูดกับใครคะ” “เอ่อ....ปละ...เปล่าค่ะ อาหมอพูดคนเดียว น้องจ๋าเจ็บมากไหมคะ อาหมอจะให้หนูนอนโรงพยาบาลอีกดีไหมคะอาหมอจะได้ช่วยทำแผลให้” “มะ...ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวพี่มะลิ” “ไม่ต้องกลัวค่ะ ต่อไปอาหมอจะไม่ยอมให้ใครรังแกน้องจ๋าอีก เชื่ออาหมอไหมคะ” “จริงนะ อย่าหลอกนะ จ๋ากลัว” “จริงๆ ค่ะ มาสัญญากัน” คุณหมอสาวกับคนไข้เด็กเกี่ยวก้อยสัญญา “จ๋าจะไม่ดื้อ จ๋าสัญญา” หญิงสาวจำต้องโกหกเธอโทร.บอกธีรพันธ์ว่าเด็กน้อยจำต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากตรวจพบสิ่งผิดปกติโดยปกปิดเรื่องการทำร้ายร่างกายไว้ - “คุณจะเอายังไงต่อคะ” “ไม่รู้ระหว่างนี้คุณต้องถ่วงเวลาให้แกอยู่โรงพยาบาล
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD