หลังจากพลายแก้วเล่นพิเรนทร์ไปเมื่อช่วงเย็น ขุนช้างจึงตีตัวตัวออกห่างและไม่ยอมคุยกับอีกฝ่ายเลย แม้พลายแก้วจะพยายามง้อพยายามขอคืนดีด้วยเท่าไหร่ ขุนช้างก็ไม่ยอมพูดด้วย
ล่าสุดก็สะบัดหน้าหนีเดินขึ้นเรือนแบบไม่หันมาเหลียวแล ทำเอาขุนแผนหงอยเป็นหมา หูตกหางตกกะว่าจะรอให้ขุนช้างลดโทสะในใจสักครู่ถึงจะค่อยกลับไปหาใหม่
ส่วนขุนช้างเอาจริงๆก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเจ้าแผนมากนักหรอก เพียงแต่อยากให้เจ้าหมาเด็กนั่นสำนึกซะบ้าง จะได้ไม่เล่นอะไรเสี่ยงๆต่อชีวิตคนอื่นแบบนี้อีก
ถึงตอนกินข้าวจะได้ร่วมโต๊ะกัน แต่ขุนช้างก็นิ่งเงียบใส่อย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังรีบกินรีบลุก อาบน้ำเสร็จก็ปิดประตูเข้าห้องนอนโดยไม่ยอมพูดจา
เจ้าตัวกะว่าพรุ่งนี้จะให้พลายแก้วง้ออีกสักหน่อยแล้วค่อยหาย ปล่อยให้เจ้าตัวรู้สึกผิดงั้นไปก่อน ในตอนนี้ขุนช้างจึงได้มานั่งทำงานข้าราชการต่อแบบแทบจะลืมอีกคนไปแล้ว
ทว่ากับคนโดนโกรธจนกลายเป็นหมาหงิ๋งไม่ได้ลืมเลือน เนื่องจากพลายแก้วเองก็พึ่งเคยถูกคนโกรธแล้วนิ่งใส่แบบนี้ ยิ่งเป็นกับขุนช้างที่มักจะยิ้มแย้ม พออีกคนนิ่งไม่ยอมคุยมันก็ทวีคูณความน่ากลัวเป็นสิบเท่า
"ไอ่ช้างๆ เปิดประตูให้ข้าหน่อย"
ขุนแผนที่ไม่อยากให้ความบาดหมางของเราสองข้ามวันข้ามคืน ในช่วงกลางดึกร่างสูงก็มาเคาะห้องชุนช้างเพื่อจะง้อให้อีกคนคืนดี
แต่กับคนที่อยากดัดนิสัยพลายแก้วมีหรอจะยอมง่ายๆ ขุนช้างที่นั่งเขียนงานอยู่ก็เขียนต่อโดยไม่สนใจ ปล่อยให้ขุนแผนเคาะห้องอยู่แบบนั้น
เสียงเคาะเองก็ดังไปที่ห้องอื่นใกล้ๆด้วย แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะนางเทพทองหรือบ่าวบ้านนี้ต่างก็รู้ดีว่าขุนช้างตอนโกรธไม่พอใจจะเป็นยังไง เพราะงั้นจึงไม่มีใครกล้าสอดมือ ปล่อยให้ทั้งคู่เคลียร์กันเอง
เสียงเคาะประตูจากตอนแรกที่ดังติดต่อกันหายไปแล้ว ขุนช้างคิดว่าเจ้าพลายแก้วคงจะยอมแพ้ เลิกล้มความคิดที่จะคืนดีกับเขาในคืนนี้ไปแล้วจึงได้หันมาโฟกัสงานตรงหน้าต่อ
ทว่าสิ่งที่เจ้าตัวคิดนั้นผิดมหันต์ พลายแก้วน่ะเป็นคนที่ดื้อดึงกว่าที่คิดไว้มาก
"ไอ่ช้าง"
เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นในห้อง ขุนช้างที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งตัวโยนหันตามเสียงที่คาดไม่ถึงไป
เป็นพลายแก้วที่มายืนอยู่ต่อหน้าเขาพร้อมกับเอามือไขว้หลังพลางทำหน้าสำนึกผิด ทีแรกก็สงสัยอยู่หรอกว่าเด็กนี่เข้ามาได้ยังไง แต่พอหันไปมองทางหน้าต่างที่เปิดอ้าซ่าอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกคนก็คงปีนเข้ามาเหมือนที่เคยทำ
ล่าสุดขุนช้างแบบเขาถูกขุนแผนปีนห้องมา2รอบแล้วนะ!
"มีอะไร"
น้ำเสียงที่ขุนช้างตอบกลับทั้งสั้นทั้งห้วน ขุนแผนเลยย่อตัวลงข้างๆคนผิวขาวพร้อมกับยื่นบางอย่างมาให้
"อะไร?"
"เม็ดบัวพร้อมฝัก"
"ห๊ะ?"
ของที่อยู่ตรงหน้าเขาคือสิ่งที่รูปร่างคล้ายดอกไม้ ทว่าตรงดอกของมันกลับเป็นเมล็ดบางอย่างขนาดเท่าเม็ดถัวลิสงฝังเต็มไปหมด
"นี่เอ็งไปเด็ดมาจากบ่อน้ำบ้านข้ารึ?"
"เอ่อ..ชะ..ใช่"
ตายห่า จะง้อข้าก็ดันไปสอยของในบ้านข้ามานี่นะ
ขุนช้างได้แต่เอาตีนก่ายหน้าผากในใจ แต่พอเห็นแววตาอันมุ่งมั่นของพลายแก้วที่บอกว่าข้าเลือกอันที่ดีที่สุดมาให้ก็อดใจแข็งไม่ไหว รับของจากอีกคนมาจนได้
"เอ็งรับของข้าแล้ว เช่นนั้นต้องหายโกรธข้าได้แล้วหนา"
ร่างโปร่งถึงกับหันมองคอแทบเคล็ด เมื่อครู่เขาคงได้ยินไม่ผิดใช่ไหม นี่เขาหลงกลสายตาลูกหมาหงิ๋งๆของพลายแก้วหรอ
"เอ็งนี่มัน.."
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมรอยยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ของพลายแก้ว จริงๆเขาก็คิดว่าพลายแก้วคงรู้อยู่แล้วแหละว่าทางนี้ก็ไม่ได้โกรธอะไรมากเจ้าตัวเลยยังกล้าแหย่เขาอยู่แบบนี้
"อย่าโกรธข้านานเลย อย่างไรเราก็เป็นสหายกันอีกอย่าง วันรุ่งเรามีนัดหากเจ้าเอาแต่หน้าบูดมันคงไม่เป็นการดีนัก"
"นัดอันใด?"
"นัดคนออกแบบปลูกเรือนของข้าอย่างไรเล่า"
พอพลายแก้วบอกเขาก็ถึงบางอ้อขึ้นมาทันที อย่างที่ว่า พรุ่งนี้เขานัดกับคนรู้จักที่เป็นพวกคนรับเหมาก่อสร้างออกแบบบ้านเอาไว้ เพื่อที่จะมาปลูกบ้านให้พลายแก้ว
"เอ็งแน่ใจแล้วหรือว่าจะเอาที่ตรงนั้น"
ที่ตรงนั้นที่ว่าก็คือที่ข้างเรือนของขุนช้าง ซึ่งเขาก็แปลกใจไม่น้องที่ขุนแผนเลือกที่ใกล้เขาแทนที่จะเป็นที่ของวันทอง
แต่ก็อาจจะด้วยความว่าพลายแก้วไม่ค่อยได้คุยกับวันทอง อีกทั้งแม่นางคนงามเองก็ไม่ได้คิดจะคุยกับพ่อพระเอกคนนี้ ความสัมพันธ์ของพระนางจึงยังไม่เริ่มขึ้น
เขาคิดว่าเอฟเฟคผีเสื้อขยับปีกในครั้งนี้อาจจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปจนหมดเลยก็ได้ อันที่จริงแค่ตอนนี้ขุนช้างแบบเขาไม่ใช่ขุนช้างต้นฉบับมันก็เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องทุกอย่างไปเยอะแล้ว
ลาหลังจากที่ขุนแผนกลับห้องไปเขาจึงได้มาคิดวิเคราะห์อะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองและพวกตัวเอก อย่างเช่นอีเว้นที่พลายแก้วควรจะแต่งงานกับพิมพิลาไลย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งและก็ไม่มีท่าทีจะแต่ง หรือกระทั่งการที่ขุนช้างอย่างเขาไม่ยอมจีบพิมพิลาไลยก็เช่นกัน
ไทม์ไลน์ขุนช้างขุนแผนแบบเดิมเปลี่ยนไปจนหมด ตอนนี้เองก็ได้แต่ภาวนาให้อีกเส้นทางที่เราเลือกเดินเป็นไปได้ด้วยดี
"เฮียฮง วันนี้ว่างไหม"
"โอ้! อาช้างนี่เอง วันนี้มีอะไรให้อั้วช่วยรึ?"
เช้าวันต่อมาขุนช้างก็พาพลายแก้วไปหาช่างฝีมือดีที่พูดถึงเมื่อคราวก่อน และเฮียฮงคนนี้แหละคือผู้รับเหมาก่อนสร้างรายใหญ่ที่สุดในตอนนี้
เฮียแกเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่ติดภาษาจีนบางคำมาจากญาติๆบางทีจึงพูดไทยคำจีนคำบ้าง
"คือว่านะเฮีย เพื่อนข้าจะปลูกเรือนใหม่ข้าเลยมาให้เฮียช่วยจัดการให้หน่อย"
"ลื้อมาหาถูกคนแล้วอาช้าง แล้วเพื่อนอีชื่ออะไรอั้วจะได้เรียกถูก"
ชายวัยกลางคนตาตี่ผมหงอกไว้เคราทรงแหลมยาวว่าพลางมองพลายแก้วอย่างพินิจ คนถูกถามจึงได้ตอบกลับไป
"ข้าชื่อพลายแก้วขอรับ"
"โอ้! เช่นนั้นข้าเรียกอาแก้วนะน้อ"
"ไม่มีปัญหาขอรับ"
"ลื้อนี่เป็นคนดูภูมิฐานดีนา หน้าตาก็หล่อ ตัวก็สูง"
เฮียฮงว่าตามตรง หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงได้คุยสารทุกข์สุกดิบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวนกลับมาเรื่องงานต่อ
เรือนที่พลายแก้วต้องการมันก็เหมือนกับเรือนทรงไทยธรรมดาๆของสมัยนี้ ขุนช้างแบบเขาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรจึงปล่อยเจ้าของบ้านกับผู้จัดการแกคุยกันไปสองคน
ในระหว่างที่ขุนช้างกำลังนั่งรอทั้งคู่คุยกันอย่างจริงจังได้สักพัก ไกลออกไปก็มีเสียงเรียกชื่อขุนช้างดังขึ้นมา จนพวกเขาต้องหันไปมอง
"ช้างเกอเกอ! มาหาลี่ลี่หรือเจ้าคะ!"
เสียงของเด็กสาวหวานใสดังมาแต่ไกลก่อนที่ในม่านสายตาคนทั้งสามจะปรากฏร่างของเด็กสาวเชื้อสายจีนกับชายหนุ่มเชื้อสายจีนอีกคน
ชายหนุ่มข้างกายเด็กสาวถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ เขามองมาทางขุนช้างครู่นึ่งด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาของที่ตัวเองถือมาเก็บไว้แถวๆชานบ้านซะก่อน
"มิได้พบกันเสียนานเลยหนา อาลี่ พี่ฟ่ง"
อาลี่กับอาฟ่งที่ว่าคือลูกสาวลูกชายของเฮียฮง เด็กหญิงอายุน้อยกว่าขุนช้าง2ปีได้ เขาจึงถูกอีกคนเรียกว่าเกอเกอที่แปลว่าพี่ชาย เจ้าน้องเป็นผู้หญิงน่ารักผิวขาวตาตี่ ทรงอาหมวยน่ารักแบบพิมพ์นิยม
ส่วนอาฟ่งที่เป็นพี่ชายมีอายุมากกว่าขุนช้าง1ปี รู้จักกันตอนอยู่อยุธยา เพราะขุนช้างทำงานราชการส่วนอาฟ่งเป็นทหารชั้นผู้น้อย รายนั้นเป็นคนผิวแทนตัวสูงโปร่ง แต่ก็ยังมีกล้ามเนื้อแข็งแรงและใบหน้าหล่อเหลา
"ช้างเกอเกอ ข้าคิดถึงท่านจังเลย"
อาลี่คนน่ารักว่าพลางขยับมานั่งข้างขุนช้าง ในตอนแรกเธอก็เพ่งความสนใจมองแค่ขุนช้างนั่นแหละ จนกระทั่งเธอเลื่อนสายตาไปที่ขุนแผน
"ไอหยา..หล่อชิหายเลอ นั่นใครหรือเกอเกอ สหายท่านหรือ"
"ใช่แล้วอาลี่ นั่นสหายข้าเองชื่อพลายแก้ว"
เด็กสาวถึงกับมองคนหล่อตาค้าง ตอนแรกก็นึกว่าในสุพรรณขุนช้างกับพี่ชายเขาคงหล่อไม่มีใครเทียบแล้ว แต่พอมาเจอพลายแก้วเข้า ความคิดก่อนหน้าของเธอก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
"อาลี่ เก็บสายตาของอีไป มันยังไม่ถึงเวลาของอี"
"เฮียฟ่งอ่า อั้วไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย"
หลังจากน้องสาวทำท่าทีเหมือนอยากจะมีความรัก คนเป็นพี่ชายจึงได้พูดดักน้องสาวก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรไปไกลขนาดนี้
พอว่าจบอาฟ่งก็เดินมาหาน้องสาวซึ่งนั่งข้างขุนช้าง พร้อมกับส่งสายตาประมาณว่าให้เจ้าหล่อนขยับตัวออกไป แน่นอนว่าน้องสาวคนนี้ขัดอะไรไม่ได้เจ้าหล่อนจึงขยับออกจากพี่สุดหล่อของเธอ
"เอ็งมาตั้งแต่เมื่อใดกัน"
หลังจากที่นั่งข้างขุนช้างว่าง อาฟ่งจึงเลือกที่จะนั่งข้างคนตัวขาวแทนที่ว่างที่อื่นๆ โดยปกติแล้วอาฟ่งมักจะพูดภาษาจีนเฉพาะกับคนที่บ้าน แต่ด้วยความที่เจ้าตัวต้องคลุกคลีกับคนไทยเวลาพูดกับชาวสยามคนอื่นๆจึงถึงจะใช้ภาษาที่คนประเทศนี้ใช้กัน
"ข้ามาได้สักพักแล้ว มาส่งสหายคุยเรื่องการปลูกเรือนกับพ่อพี่นั่นแล"
ขุนช้างตอบกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร ส่วนทางอาฟ่งก็คุยกับอีกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนลงไม่แข็งทื่ออย่างคนอื่นๆ ทั้งเฮียฮงและอาลี่ที่ตอนนี้เหมือนอยู่นอกเฟรมก็ได้แต่อมยิ้มกริ่มมองทั้งคู่คุยกัน
ทว่ากับพลายแก้วที่มองสหายตัวเองคุยกับใครก็ไม่รู้อย่างสนิทสนมก็รู้สึกคุกรุ่นในใจยุบยิบ จนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
"ไอ่ช้าง ข้าว่าข้าลืมตากผ้าเรากลับเรือนของเรากันเถอะ"
"ห๋า??"
ขุนช้างไม่เข้าใจว่าขุนแผนไปลืมตากผ้าตอนไหน แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าอีกฝ่ายต้องตากผ้าด้วยหรือ ทว่ายังไม่ทันปริปากพูดหรือถามอะไร เขาก็โดนคนแรงควายดึงตัวออกไปก่อนซะแล้ว
"เดี๋ยวสิแก้ว เอ็งยังคุยเรื่องเรือนไม่จบเลยมิใช่หรือ"
"ไว้คุยวันหลัง"
"วันหลัง? วันหลังของเอ็งคือวันไหน?"
"วันไหนก็ได้ที่เจ้าฟ่งฟ่งอะไรนั่นไม่อยู่"
"..."
อ่าวพ่อ พ่อมีอาการนะพ่อ
ไหนพ่อเป็นรายยย
อ้อ เป็นแค่เพื่อน
(เรื่องนี้ค่อนข้างเน้นความสัมพันธ์ แบบว่า เน้นการจิกหมอนทุบโต๊ะ?✨️)
แจ้งเรื่องการปลดเหรียญของวันที่10/08/65 เวลา18:00น นะคะ
ขออภัยรีทหลายคนจริงๆที่ไรท์ไม่ได้ไปปลดให้ตามเวลานะคะ คือ ไรท์วูบค่ะ วูบแบบไหลยาวเลย
ก่อนหน้านี้ไรท์ไม่ค่อยได้นอน เห็นได้จากเวลาอัพนิยายที่มักจะมาลงติดๆกันช่วงกลางคืน เพราะด้วยความว่านิยายอีกเรื่องใกล้จบ ไรท์เลยอยากรีบพาน้องลง
ปกติไรท์เขียน1ตอนใช้เวลาเฉลี่ย2ชม. บางทีหัวตันเขียนไม่ออกตอนนึงก็ปาไป4ชม.
วันก่อนเขียนไป6ตอน12ชม.+ เกือบขิต คือเพื่อพานิยายจบ แต่ดูเหมือนจะฝืนตัวเองไปหน่อย วันนี้เลยวูบไป อีกทั้งไม่มีนิยายตอนใหม่มาอัพด้วย
ขออภัยจริงๆนะคะ