เสียงของคนพวกนั้นดังก้องในหัวฉันขึ้นมาทันทีที่เห็นอีตาแว๊นแย่งตับฉันไปกินอย่างหลั่นล้าพร้อมทำหน้ากวนประสาทเคี้ยวตุ้ยๆ ในแก้มข้างใดข้างนึงขณะที่พวกเราหาที่นั่งได้แล้ว ฉันหรี่สายตามองหน้าเนียนฝั่งตรงข้าม
หงับ~
“ฮู้ว ตับก๊อยแม่งโคตรอร่อยเลย” อีตานั่นยักคิ้วสองที ยิ่งเขาทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันนึกถึง…
‘มันชอบพลอย’
โอ๊ยยย ไม่ๆ อย่าไปเชื่อพวกขี้แกล้งพวกนั้นเป็นอันขาด พวกเขาแค่อยากจะสปอยแกล้งให้ฉันคิดมากแน่ๆ จะเป็นไปได้ไงวะ แต่พอฉันคิดว่ามันไม่ใช่ไอ้คนตรงหน้าก็ดัน…
หงับ~
“^O^” เคี้ยวก๋วยเตี๋ยวด้วยท่าทางร่าเริงสดใสเสมือนโลกนี้เป็นสีชมพูยังไงยังงั้น ไม่เอาอ่ะ ต่อให้หมอนี่เกิดชอบฉันจริงๆ ฉันก็คงปฏิเสธ ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดมาดูแลคนอื่นหรอกนะ แค่เวลาเขียนนิยายเรื่องนึงก็กินชีวิตไปครึ่งนึงแล้วมั้ง T_T ตอนนี้ฉันยังแก้ต้นฉบับไม่ผ่านเลย
“ลดน้ำหนักเหรอก๊อย ทำไมไม่กินวะ?” เขาว่าด้วยใบหน้าเคลือบแฝงความตะกละเตรียมจะใช้ตะเกียบเป็นอาวุธในการฉกชิงเส้นเล็กหมูน้ำตกของฉันอย่างเต็มที่ ในขณะที่เขาขยับอาวุธนั่นเข้ามาใกล้จาน ฉันก็ต่อกรด้วยการใช้ช้อนกันเขาเอาไว้ทันที
นอกจากจะห้ามฉันกินข้าวแล้วยังจะมาแย่งก๋วยเตี๋ยวฉันอีก -_-^
“อย่าเนียน ไม่อิ่มก็ไปซื้อใหม่ดิ” ฉันเขม่น
“โหย กินอะไรเยอะแยะวะ ไอ้หมู เดี๋ยวไขมันอุดตันตายหรอก”
ดะ เดี๋ยวนะ!
“ใครหมูวะแว๊น เดี๋ยวเหอะ เรียกอีกที แม่โบกจริงๆ ด้วย!” ฉันแยกเขี้ยวขู่ หนอย ตัวเองตะกละอยากจะกินของชาวบ้าน พอฉันไม่ให้แล้วมาว่าฉันเป็นหมูเนี่ยนะ เอวบางร่างเพรียวขนาดนี้จะเป็นหมูได้ไง! เซ้นซิทีฟนะเฟ้ย!
“เฮ้ย อย่าร้อนตัวดิ นี่ฉันด่าตัวเองนะ ไม่ได้ด่าก๊อย” คนขี้แถว่าพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักกับท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของฉัน
เฮอะ ทำเป็นอ้าง จริงๆ หมอนั่นก็กะจะแซะฉันว่าอ้วนนั่นแหละ!
“ยื่นตะเกียบมานี่ ฉันไม่ได้จะแย่งก๊อยกินนะ”
“อ๋อเหรออออออ” ฉันลากเสียงสูง เชื่อได้มากกกก! หน้าอย่างนายเนี่ย! อมมาทั้งวัดยังคิดไม่ตกอ่ะ
“เฮ้ย จริงๆ นะเนี่ย” เขาทำหน้าจริงจัง
“แล้วยื่นมาทำไร?”
“จะช่วยป้อนให้ กลัวก๊อยเมื่อยมือ”
“-_-;;”
น่าสงสัย น่าสงสัยจริงๆ ด้วย! เขาต้องมีแผนแกล้งอะไรฉันแหงๆ ปกติเขาก็ชอบถึงเนื้อถึงตัวบ้าง หยอกบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะวันนี้มันเริ่มเยอะ ที่สำคัญประโยคที่พวกนั้นพูดน่ะ…
‘มันชอบพลอย’
โอ๊ยยยย! พอๆ เอามันออกไปจากหัวซะ ไร้สาระที่สุดในโลกหล้า ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ถ้าบอกว่าเป็นคนอื่นฉันอาจจะเชื่อก็ได้ แต่ถ้าไอ้บ้านี่ล่ะก็นอกจากความรู้สึกจะไม่เต็มร้อยแล้วยังติดลบอีก
“เห็นเป็นคนยังไงวะเนี่ย?”
ก็ไม่คนยังไงหรอก มันแค่…
‘มันชอบพลอย’
ออกไป… ออกไปจากร่องสมองของฉันสักทีเซ่ ไอ้ประโยคบ้าบอพักนี้ T^T
“แล้วนี่เรียนเสร็จยัง มีเซคบ่ายปะ?” เขาเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นฉันไม่ตอบ และถามถึงคาบเรียนต่อๆ ไป ซึ่งแน่นอนว่าการเรียนภาคนิติศาสตร์จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้เพราะไม่เช็คชื่อ ดั่งคำกล่าวที่ว่า นิติเรียนสบาย แต่ตายตอนสอบ ดังนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่าน…
“ไม่มีอ่ะ ^O^”
แฮ่ ฉันไม่ได้ชั่วนะ ฉันแค่ถนัดการนั่งอ่านเอาเองมากกว่าไปฟังครูสอนอ่ะ ถึงเข้าไปก็หนีไม่พ้นนั่งกดโทรศัพท์ชัวร์
“เหมือนกัน แล้วไปไหนต่อ กลับกันเลยดีปะ?” เขาว่าขณะที่ขโมยน้ำลำไยฉันไปดูดหน้าด้านๆ -_-^ ก๋วยเตี๋ยวยังไม่พอนี่ล้างผลาญยันน้ำลำไย ไอ้คนไม่ลงทุน!
“กลับเลยก็ดีนะ วันนี้จะนั่งแก้ต้นฉบับด้วย T^T” ฉันถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงตารางงานยาวเหยียดที่รออยู่ “แล้วก็จะได้ไปนั่งดูซีดีที่แว๊นเอามาให้ด้วย”
“อ๋อ ที่บอกว่าต้องแก้ฉากพระนางแซ่บกันอะนะ”
“เออดิ เค้าบอกว่าอ่านแล้วไม่รู้สึกอะไรสักนิด นี่กะจะอ่านแล้วเสร็จเลยหรือไงวะ ฮึ่ย!” พูดถึงแล้วก็แอบงอน ฉันอ่านดูก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย ดันสับเละเหมือนกองขี้หมา พูดมาได้ไงว่าอ่านแล้วเหมือนตุ๊กตายางได้กัน -_-*
“ให้ช่วยอ่านปะ?” เขาเสนอ แต่ขอเถอะ อย่าแตะต้องนิยายของฉันเลย ยิ่งคนรู้จักสนิทสนม ฉันยิ่งไม่อยากให้เขาอ่าน โดนล้อตายชัก!
“ไม่!”
“น่า ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่ได้เกรงใจ แต่ไม่อยากให้อ่านเฟ้ย!” ฉันตอกหน้าเขาทว่าอีตานั่นกลับหัวเราะประหลาดๆ หวังว่าคงไม่คิดอะไรแปลกๆ หรอกนะ ยิ่งเพ้อเจ้อ บ้าๆ บอๆ อยู่ -_-;
“ไม่ให้อ่านนี่มีความลับอะไรปะเนี่ย?”
“ไม่มี -__-”
“แน่ใจ?” เขาเลิกคิ้วสูงเหมือนคาดคั้น อะไรของอีตานี่ฟะ ฉันบอกว่าไม่มีก็ไม่มีไง!
“ชัวร์มาก ชัวร์ที่สุด” ฉันย้ำคำหนักแน่น เขาพยักหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพลางหมุนตะเกียบในมือไปมา
“โอเค เชื่อก็เชื่อ” เขาพูดแบบนั้นแต่หน้ามันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ได้ดูเชื่อเลยสักกะนิด -__-
“ก๊อยเขียนนิยายรักใช่ปะ?” เขาถามขึ้นอีก ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้ถามเยอะนัก ฉันมองเขาแทนคำตอบ คนตรงหน้าก็ยกยิ้มจนตาหยีพลางยื่นตะเกียบมาแตะริมฝีปากของฉันหนึ่งที
อี๋ สกปรก!
“นิยายรักก็ต้องมีฉากโรแมนติกดิ คนไม่เคยมีแฟนไปสรรหามาจากไหน?”
“จินตนาการอ่ะ รู้จักปะ ยูโน๊ว???” ฉันปัดตะเกียบอีตานั่นออก
“จินตนาการกับมโนโลกสวยมันต่างกันแค่เส้นบางๆ นะเออ”
“-___-^”
“อย่างเขียนพระนางจับมือกันเงี้ย ก๊อยเคยเหรอ?” เขาร่ายขึ้นมา ฉันส่ายหน้ารัวๆ
ก็ไม่เคยหรอก…
“กอดกันเงี้ย”
ก็ไม่อีกอะแหละ…
“จูบกันเงี้ย”
นี่ยิ่งแล้ว…
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าฉันเขียนฉากคนตายนี่ฉันต้องเคยตายปะล่ะ?” ฉันทักท้วงแต่คนตรงหน้ายักไหล่ไม่ยี่หระก่อนจะเปล่งประกายนัยน์ตาปริศนามาทางฉัน พลันแสงสว่างและหมู่มวลดอกไม้ในการ์ตูนหวานแหววก็พุ่งออกมาจากดวงหน้าแสนหวาน
“ก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าอยากจะลองไหม?” เขาพูดลอยๆ แต่กระแทกสมองของฉันอย่างจังจนสตั๊นไปครู่นึง
ถ้าถามว่าอยากรู้ไหมฉันก็ตอบเลยว่ามาก เพราะฉันก็เคยคิดเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเหมือนในนิยายที่ฉันเขียนจริงๆ เหรอ?
ฉันกลอกสายตาไปมาก่อนจะสบกับคนตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ พอคิดย้อนไปถึงเรื่องก๋วยเตี๋ยวที่เขาแกล้งฉันด้วยคำพูดสองแง่สามง่ามนั่น ฉันก็ชักอยากจะเอาคืนบ้าง ฉันเงียบไปครู่ก่อนจะคิดอะไรดีๆ ได้…
“อยากรู้ดิ… แต่ไม่มีคนให้ลอง”
นายไม่ได้อ่อยเป็นคนเดียวนะเออ♥