เขาช่างอาจหาญตอบอย่างลูกผู้ชาย ดีเหมือนกันล่ะ วธุกาญจน์อยากจะเห็นสีหน้าและความจริงใจพร้อมด้วยคำพูด
ของผู้ชายคนนี้
“ แล้ว ต้องการหลักฐานด้วยไหมคะ ฉันมีให้คุณได้ ”
หล่อนเอ่ยพูดกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ แต่แล้วก็กลับทำหน้าเรียบสงบนิ่งเช่นเคย
“ ก็ดี ถ้ามีให้ ”
“ อ๋อ ดิฉันมีให้แน่ๆ ค่ะ กรุณารอสักครู่ ”
เขาขมวดคิ้วตามมองร่างสวยระหงของหญิงสาว เขาอยากจะรู้เหมือนกันกันว่า หลักฐานที่หล่อนว่า นั่นเป็นอะไร
กันแน่
ครู่หนึ่งวธุกาญจน์จึงเดินกลับมาจากรถในมือของหญิงสาวถือภาพถ่ายใบหนึ่งติดมือกลับมาด้วย แล้วมายื่นใส่มือเขา
“ คุณจะแก้ตัวยังไงก็ตามทีเถิดนะคะ ดิฉันไม่มีเวลากับคุณมาก ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันจะต้องไปทำงานแล้ว ”
เขารับมันมาแผ่นกระดาษอัดอาบมันภาพสี ชัดเจนตาเขา นั่นคือภาพที่เขากำลังนัวเนียกระหนุงกระหนิงอยู่กับใยบัวนั่นเอง เขาชักสีหน้าเข้มขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหล่อนแบล็คเมล์ แต่ความเป็นจริงนั้น ทำให้เขาไม่อาจจะ
ปฏิเสธได้
“ “บอก ฉันมาตามตรงสิคะ ว่าในภาพนั่น ไม่ใช่รูปของคุณ แล้วคุณก็จะพ้นผิด ช่วยอธิบายให้ดิฉันเข้าใจได้ไหม ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ก็น่าแปลกที่รู้จักบ้านช่องของดิฉัน ที่ทำงาน แถมส่งจดหมายมาถูกด้วย กลับไป
รายงานแล้วไปหาผู้หญิงคนนั้นเถอะคะ อนุตร มันสมควรที่คุณจะรับผิดชอบ ผู้หญิงคนนั้นกำลังรอคอยคุณอยู่ แล้วสำหรับผู้หญิงที่ชื่อ วธุกาญจน์ คุณก็สมควรลืมชื่อได้แล้ว เพราะดิฉันจะได้เป็นคนใหม่เสียที ดิฉันไม่อยากจะจดจำเรื่องราวในอดีต ได้โปรดเถอะค่ะ ”
หล่อนวิงวอนขอต่อเขา เมื่อพูดไปแล้วต้องพูดให้มันจบ หล่อนไม่อาจจะปล่อยให้มันราคาคาซังค้างต่อไปอีกแน่นอน เพราะมันจะไม่มีวันจบสิ้น และในเวลานี้ที่สีหน้าซีดเผือดของอนุตรก็บอกหล่อนมาแล้ว ว่าเขายอมรับผิด
เขาไม่อาจจะปฏิเสธสิ่งที่เขากระทำลงได้ วธุกาญจน์เองอ่านสีหน้าของเขารู้
หล่อนเองไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจกับตัวเอง แต่รู้เพียงว่าขณะนี้ใจของหล่อนมันขมขื่นไปหมด ใช่ว่า จะลืมเขาได้ง่าย แต่เอาเถอะ หล่อนจะพยายามลืมเขาให้ได้
เขาพูดไม่ออก ถึงกับตาค้าง มันแน่ชัดเสียงกว่าอะไรอีก เขารู้แล้วว่าเป็นฝีมือของใยบัว เขารู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจนัก แต่ก็ไม่นึกว่าหล่อนจะทำถึงเพียงนี้
วธุกาญจน์เป็นผู้หญิงที่เขาวางไว้สูงส่งนัก และเขาก็ไม่ยินยอมที่จะปล่อยหล่อนไปง่าย พร้อมกันนั้นกรามทั้งสองของเขาก็บดเข้าหากันแน่น ความแค้นเคืองประดังกันขึ้นมา นึกถึงใบหน้ายั่วเย้าหวานแบบดัดจริตของใยบัวอารมณ์ของเขานึกตงิดตงิดโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ไม่มีทางที่ใยบัวจะรู้จักกับวธุกาญจน์ ถ้าไม่มีคนชักนำฝ่ายใน ใช่เขาคิดเหมือนกัน ต้องเป็นคนใน แล้วทางวธุกาญจน์เคยคิดบ้างไหมว่าเป็นใคร ที่อาจจะทำงานให้กับใยบัว เขารู้ดีแน่ว่า ใยบัวไม่มีทางไม่มีปัญญาพอที่จะว่าจ้างนักสืบได้อย่างแน่นอน
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อัศจรรย์ใจมากพอสมควร ที่หล่อนมีเงินมากมาย ขายสมบัติของพ่อแม่มาหรือยังไง
เขารู้แล้วว่า ตัวการคือ ใยบัว แต่จะเป็นใครอีก เพราะเขารู้ดีว่า ใยบัวมีชีวิตอยู่ที่บ้านนอกต่างจังหวัดของหล่อนมาตลอด ไม่เคยสักนิดที่กล้าขนาดเดินทางไกลมาถึงกรุงเทพ เพราะหล่อนไม่เคยมา ที่นั่นหล่อนเองก็
เหมือนเฝ้าเขาไว้ ไม่ยอมหนีห่างหายไปไหน
เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ที่ใยบัวจะหลบออกไปข้างนอกเพื่อทำเรื่องนี้เอง
นี่เองคือสิ่งที่อนุตรเริ่มรับรู้ ว่าต้องมีคนช่วยหล่อน แต่จะเป็นใครล่ะ เรื่องนี้ไม่ยากนักหรอก อนุตรต้องไปเค้นเอาความจริงจากใยบัว เพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจอย่างแน่นอน เป็นคนก่อเรื่องเอง
แล้วหล่อนไประรานวธุกาญจน์ด้วย เรื่องนี้เขาไม่ยอมแน่ หล่อนเป็นใคร แล้ววธุกาญจน์เป็นใคร วธุกาญจน์เป็นผู้หญิงที่เขารักนักหนา ส่วนหล่อนเป็นผู้หญิงที่เขาเมินเฉยมาตลอด ถ้าเป็นดอกไม้ หล่อนคงเป็นได้แค่ซากของดอกไม้ที่กลีบความหอมหวานของเกสรไม่มี มันชอกช้ำ ไร้กลิ่นหอมหวานบริสุทธิ์เสียแล้ว
เขาต้องกลับไปจัดการกับใยบัวอย่างแน่นอน หล่อนเล่นแรงไป ถึงกับดึงเอาวธุกาญจน์ เข้ามาพัวพันด้วย
ยิ่งเห็นสีหน้าที่ถอดสีของเขาแล้ว เหมือนเขาครุ่นคิด มันบ่งบอกว่าเขายอมรับ คงจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นล่ะ มันคงจะลึกซึ้งด้วย เพราะภาพที่ปรากฏออกมานั่น ทำให้หล่อนนึกเคืองและเจ็บใจ ที่ถูกเขาหลอก
เขาเป็นผู้ชายที่สับปลับเจ้าเล่ห์ สำหรับหล่อนไปแล้ว เขายังครุ่นคิด เพราะว่านั่นคือสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบ และไม่อาจจะปฏิเสธได้
หล่อนไม่อยากจะพูดกับเขานานนัก เห็นว่าตัวเองจะต้องไปเสียที
“ช่วย กลับไปรับผิดชอบเรื่องที่คุณก่อขึ้นมาเถอะค่ะ อนุตร หรือคุณจะพยายามปฏิเสธล่ะคะ ว่าผู้ชายนั่นไม่ใช่ภาพของคุณ ”
วธุกาญจน์แทบจะกลั้นใจพูด กว่าจะหลุดประโยคนั่นมาได้ สีหน้าของเขาแน่นอนร้าวรานใจ คนที่ทำผิดเมื่อจับผิด
ได้ก็ทำอย่างนี้ล่ะ เขาไม่มีข้อแก้ตัว
แล้วอนุตรก็กลับมาที่รถของตัวเอง ขับรถออกมาเหมือนคนไม่มีหัวใจ อย่างน้อยคำพูดของวธุกาญจน์ ก็บ่งบอกความรู้สึกให้เขารู้ดีว่า หล่อนเริ่มอยากจะทำตัวห่างเหินกับเขา
ทางด้านเทียนทัชชาขับรถไปหานเรนทร ยังสถานที่นัดกันไว้ คือร้านอาหารแห่งหนึ่ง นเรนทรเป็นฝ่ายมาถึงก่อน เทียนทัชชามาช้าประมาณ สิบนาที หล่อนบ่นออกมาคำแรก
“ รถติด ค่ะ นเรน ยิ่งมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าด้วย เทียนเองก็เลี่ยงไม่พ้น ก็เลยมาช้าหน่อย คงไม่ว่ากันนะคะ ”
ยิ้มหวานๆของหล่อน ทำให้เขามีกำลังใจยิ่งขึ้น นเรนทรไม่โกรธหล่อนหรอก ไม่ว่าเทียนทัชชาจะมาช้าแค่ไหนเขาก็รอได้
“ ไม่เป็นไร ครับ ผม เพิ่งมาได้สักพักนี่เอง ”
เขาเองบอกแก่หล่อนเหมือนกัน
“ ผมเองก็เพิ่งเสร็จจากการแวะไปหาอาเนศ ธุระนิดหน่อย อาเขาอยากเจอผม มีเรื่องถามไถ่กันธรรมดาประสาอาหลาน ”
นเรนทรไปที่บริษัทของอาชายมาก่อน ก่อนหน้านั้นตั้งสองชั่วโมง เรียกได้ว่า เขาอยู่คุยกับอา ของเขาจนคุ้มค่า สมกับที่ไม่ได้พบเจอกันตั้งนาน อาของเขาไม่ค่อยมีเวลาว่างปลีกตัวมาหาญาติพี่น้อง หรือแม้แต่ว่างที่จะโทรศัพท์
เพราะว่ามีงานเข้ามาตลอด เรียกได้ว่า ธุรกิจรัดตัว เขาอยากให้เทียนทัชชาหางานทำ และรู้ว่าหล่อนเรียนจบแล้ว จึงอยากเสนองานในบริษัทที่อยู่ตึกและอาคารเดียวกับเขา
ปกติ เทียนทัชชาเป็นคนเก่ง เรียนหนังสือเก่ง คล่องแคล่วไปหมด สิ่งที่สำคัญการที่หญิงสาวอยู่ใกล้หูตาของเขา เขาจะเป็นฝ่ายดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เพราะคนที่เป็นหนุ่มสาว ย่อมอยากที่จะให้คู่รักอยู่ใกล้ตัวเอง เมื่อเทียนทัชชานั่งลงแล้ว เขาก็เริ่มสั่งอาหาร เขายื่นเมนูให้หญิงสาวสั่งอาหารตามใจชอบพร้อมกับบอกว่า
“ วันนี้ผมตามใจเทียน เทียนอยากทานอะไรผมก็ทานด้วย และวันนี้ผมจ่ายเอง ”
เขารีบเอ่ยขึ้นก่อน ไม่อยากให้หญิงสาวเอ่ยคำปฏิเสธ เขากลัวว่าเทียนทัชชาจะปฏิเสธ คิดว่ากลัวเขาดูถูกหล่อน
“ นะ เทียน จ๋า อย่าสนใจเรื่องอื่นเลย รีบสั่งเถอะ เล่นมองหน้าผมอย่างนี้อีกแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าเทียนจะไม่มีเงิน แต่เป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษไงครับ ที่ต้องปฏิบัติตัวแบบนี้ต่อผู้หญิงที่สวยอ่อนหวานเช่นคุณ”
เทียนทัชชานั่งอมยิ้ม เธอคิดว่า วันนี้ นเรนทรมาแปลก เธอไม่ทันพูดอะไรเขาก็รีบท้วงมาก่อน และคำพูดของเขา ใครที่ได้เป็นคู่รัก เมื่อได้ยินคำแบบนี้ต้องรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างแน่นอน
แต่เทียนทัชชาคิดดูว่า มันออกจะหวานมาเกินไปสำหรับคำชมหล่อน
“ ไม่รู้ว่า นเรนไปทานอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าคะ ถึงได้ปากหวานเอาเหลือเกิน ”
คำพูดแกล้งเย้าของหล่อนเบาๆ ทำให้สีหน้าของเขาชักจะหวานเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“ มันก็หวานอย่างนี้แหละครับ ถ้ามีเทียนมานั่งอยู่ด้วย ”
“ว๊าย มันออเซาะอยู่ที่นั่นหรือค่ะ น้าขา มิน่าบัวไม่เห็นพี่ปลัดของบัวจะกลับมาที่บ้านเราเลย คงเป็นแค่อ้างหรือเปล่า ที่ลาไปดูแลแม่ของเขาที่ป่วย ถ้ายังไงเสีย น้าจีช่วยสืบดูเรื่องนี้ให้ด้วยนะคะ คุณน้าขา ตอนนี้บัวแทบอกจะแตกตายแล้ว ผัวทั้งคนไม่มา นี่ถ้าเขาไม่ยอมแต่งงานกับบัวเป็นไงเป็นกัน บัวเอาเรื่องเขาถึงเจ้านายใหญ่ของเขาแน่ ”
ใยบัวถามไถ่เรื่องนี้กับจีรมลผู้เป็นน้าสาว ที่จีรมลสามารถช่วยได้ก็เท่านี้ จีรมลไม่ได้รู้อะไรมากมายนักตอนนี้
เพราะห่างๆกับวธุกาญจน์เหมือนกัน
เพราะว่าตอนนี้ วธุกาญจน์เริ่มจะระแคะระคายแล้ว
“ มันสงสัยแล้ว นะ น้าเองก็ต้องทำตัวเป็นคนเก็บปากตัวเองเงียบไว้ก่อน นี่คือ วิธีที่ดีที่สุดแล้ว ไม่งั้นความแตก พวกเราจะเดือดร้อนกันทั้งหมด แล้วไอ้ที่เธอคิดหวังไว้มันจะพังนะบัว ”
“ ค่ะ คุณน้า ”
ใยบัวตั้งใจฟังจีรมลเป็นอย่างดี ถึงกับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ทราบมาว่า อนุตรยังคงไม่อยากกลับมาที่อำเภอแห่งนี้ ทั้งๆที่หล่อนรอคอยเขากลับมา
นี่หมายความว่า เขายังตามไปง้องอนนังนั่นน่ะหรือ นังลูกเศรษฐี ที่น้าสาวของหล่อนบอกว่า เป็นศัตรูความรักอันดับหนึ่งของใยบัว ใยบัวทนไม่ได้เลย ทนไม่ได้ ที่ได้ยินเรื่องนี้
น้าสาวของหล่อนส่งข่าวกลับมา ว่าทั้งคู่คงหาทางจะคืนดีกัน ไม่ย๊อม ไม่ยอม นังบัวไม่ยอมแน่ อนุตรทำกับหล่อนยังไง หล่อนจะต้องทำให้เขายอมรับอย่างแน่นอน
สู้อุตส่าห์เขียนจดหมายเพื่อแอบอ้าง และให้สร้างความเข้าใจผิดกับการเมคใบหน้าและภาพของหล่อนด้วยคอมพิวเตอร์กับอนุตร ทำขนาดนี้แล้ว สวรรค์จะไม่เข้าข้างหล่อนก็ให้มันรู้ไป เขาพบเจอหล่อนอยู่กับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา หมอนั่นเป็นใครกัน เขามารู้ภายหลังว่าหมอนี่ชื่อ กิระทัตร
จากการแนะนำของหล่อนเอง วธุกาญจน์แนะให้เขารู้จักด้วย เมื่อตอนที่หล่อนเลิกงานและเห็นหล่อนกับเด็กหนุ่มคนนั้นก้าวเดินไปที่ลานจอดรถของพนักงานซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างสุด
มันเหมือนเขาได้มองเห็นภาพบาดตาบาดใจเป็นที่สุด ถ้าหากไม่เพราะเทียนทัชชาให้ที่อยู่อาคารสำนักงานที่หลห่อนทำงาน เขามานั่งรอที่นี่ ตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่งด้วยซ้ำ มานั่งรอหล่อนครึ่งชั่วโมง
ถามไถ่พนักงานรับโทรศัพท์ที่เคาเตอร์ข้างล่างบอกว่างานเลิกสี่โมง
เขาต้องการทำเซอไพร้นิดๆแก่หล่อน ด้วยการให้พนักงานสาวประชาสัมพันธ์หน้าตาจิ้มลิ้มไปบอกกล่าวแก่หล่อนว่ามีแขกมารอพบ ที่ชั้นล่าง
แต่ไม่บอก ชื่อ ปล่อยให้วธุกาญจน์งงเขาคิดเหมือนกัน หล่อนจะรับรู้หรือไม่รับรู้ในการมาของเขา ไม่สงสัยสนใจจะถามบ้างหรือว่า ใครเป็นคนที่มาหาเธอ
จนกระทั่งว่าหล่อนลงมาข้างล่าง สะพายกระเป๋าออกจากลิฟท์แต่ว่า มาด้วยกันสามคน หญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าเข้มเขาไม่รู้จัก จาเขาสนใจมองตรงไปยังวธุกาญจน์มากกว่า ที่ปล่อยให้เขายิ้มเก้อ
ทางขึ้นและลงของลิฟท์สำนักงานแห่งนี้จะต้องผ่านหน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อน ครู่ก่อนนั้นเขาได้ใช้เวลาว่างกับการทรุดนั่งที่พนักเบาะนุ่ม พลิกอ่านหนังสือแมกกาซีน พลิกไปพลิกมา แล้วจึงหยิบหนังสือสารคดี
อ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาที่หล่อนลงมาเขารู้ว่า วธุกาญจน์เห็นเขา หล่อนรู้จักเขาดียิ่งนัก แหน้าตา เสื้อผ้า ผมเผผ้า เขาจัดได้ว่าตกแต่งตัวเองมาหล่อเหลาทีเดียว เรียกว่าเป็นการปฏิวัติโฉมตัวเองใหม่เพื่อหล่อน
ไม่เหมือนปลัดหนุ่มบ้านนอกที่แต่งกายเชยๆเมื่อก่อน อยู่ที่โน่นเขาแทบไม่ค่อยใส่ใจ แต่งกายแบบไหนก็ได้
แต่อยู่ในเมืองกรุงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสังคม เพราะเขาเป็นคนที่นี่
ทำให้เขาหน้าบึ้งขึ้นมา ที่วธุกาญจน์ไม่คิดจะทักทายเขา ดวงตาของเขามองหล่อนราวกับมีประกายไฟ เพราะว่า คนที่เดินเคียงข้าง ตามมา ใกล้หล่อนที่สุด กลับเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ที่ดูหน้าตาอ่อนกว่าเขา และหล่อนสองสามปีได้กระมัง
เขาจึงมองไอ้เด็กคนนี้ ว่าไอ้ไก่อ่อน คิดอยู่ในใจ ท่าทางทั้งคู่เหมือนจะสนิทสนมกันไม่ใช่น้อย
ที่หล่อนบอกว่า ชื่อ กิระทัตร ทำงานอยู่เดียวกันกับหล่อน เขาได้ยินเต็มสองรูหู นึกว่าหล่อนจะไม่คิดทักทายเขาบ้าง แต่แล้ว พอเดินห่างออกจากเคาน์เตอร์ และผู้คนที่ทยอยออกจากลิฟต์เริ่มบางตาแล้ว
“ นี่ คุณ กิระทัตร เพื่อนที่ทำงานด้วยกันกับดิฉัน ”
จากนั้นวธุกาญจน์เริ่มแนะนำให้เด็กหนุ่มได้รู้จักชื่อเขา
“ทัตร มล นี่คุณ อนุตร เขาเป็นปลัดอยู่ที่ต่างจังหวัด ”
วธุกาญจน์แนะนำให้เขารู้จักทั้งสองคน ชายหนุ่มผงกศีรษะให้เบาๆ เป็นเชิงรับรู้แสดงความยินดี แต่ใบหน้าของเขาเฝื่อนๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไร้อารมณ์กับการแสดงความยินดี
เพราะเขานึกโกรธวธุกาญจน์