6
หลายวันต่อมาเหยียนเป่าก็ยังคงปักหลักอยู่ที่โรงหมอแห่งนี้มิมีท่าทีว่าจะจากไปไหนเสียทีจนจงหลวนเคอต้องออกปากเตือนเพราะคิดว่านางอาจลืมเลือนไปแล้วว่ามีหน้าที่มากมายต้องทำในชิงเถา "องค์หญิง ยังจะเสด็จกลับชิงเถาหรือไม่พะย่ะค่ะ?"
"ข้ายังมิหาย" นางรีบสวนขึ้นโดยทันที โดยอ้างถึงบาดแผลด้านหลังที่แม้แห้งสนิทแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย "องค์หญิง ท่านจะยืดยื้อเวลาไปทำไม?"
"อีกไม่นานคนของข้าจะมา เจ้าจะกลับต้าไห่ไปก็ย่อมได้ ข้าอนุญาติ"
จงหลวนเคอถอนหายใจยาว นางอนุญาติแล้วอย่างไรในเมื่อคนที่เขาต้องเชื่อฟังคือท่านแม่ทัพเท่านั้น ชายหนุ่มถอดใจมิขอต่อความยาวหันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงหมอ ทิ้งหญิงสาวให้นั่งแกว่งเท้าอยู่ริมน้ำเพียงลำพัง
ณ จวนองค์หญิงสาม ผู่เยว่ได้รับจดหมายจากเสี่ยวอี้เนื้อความแจ้งถึงสถานการณ์ของเหยียนเป่าในเวลานี้ที่มิสู้ดีนัก ชายหนุ่มเป็นกังวลเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยองค์หญิงของตนมิน้อย คิดหาวิธีเดินทางไปหานางที่ซ่ง
เสียงพิณไพเราะดังแว่วลอยออกมาจากเรือนสามของฮุ่ยซิ่วหนึ่งในสามบุรุษรูปงามแห่งจวนองค์หญิง ในอดีตเขาเคยเป็นนักดนตรีอยู่ในหอร่ำสุรากลางเมืองฉีเฟิ่ง เมืองเล็กๆติดริมทะเลของต้าไห่ แม้มีใบหน้าหมดจดเลิศล้ำมากด้วยสง่าราศีเทียบเคียงคุณชายตระกูลใหญ่แต่ชะตาชีวิตกลับห่างไกลกับคำว่าอยู่ดีมีสุขมากนัก...
หวงลู่เอนหลังหลับตาฟังเสียงดนตรีละมุนหูที่ชื่นชอบอย่างสบายอารมณ์ หลายวันมานี้ร่างกายเขาเริ่มจะกลับมาแข็งแรงดังเดิมแม้จะมิเต็มส่วนก็ตาม ชายหนุ่มร่างบางผู้นี้เบื้องหลังชีวิตลึกลับมิเคยเปิดเผยกับผู้ใด อาจมีเพียงเหยียนเป่าเท่านั้นที่ทราบดี มิเช่นนั้นคงมิกล้าพาเขาเข้ามาในจวนให้เป็นภัยอย่างแน่นอน
"พี่ฮุ่ยซิ่ว ท่านบรรเลงแต่เพลงเดิมๆมิเบื่อบ้างหรืออย่างไร?"
"เจ้าเบื่อหรือ?" ฮุ่ยซิ่วย้อนถามพลางผ่อนแรงดีดสายพิณลดเสียงให้เบาลงเพื่อสนทนากับสหายต่างวัย หวงลู่แม้อายุสิบแปดปีแล้วแต่ก็ยังคงมีนิสัยคล้ายเด็กน้อย ช่างพูดช่างถามใสซื่อไร้เดียงสา คงเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ทำให้องค์หญิงสามทรงให้ความความโปรดปรานแก่หวงลู่มากกว่าผู้ใด
"ข้ามิเบื่อหรอก เพียงแค่สงสัยเท่านั้น" เพลงที่ฮุ่ยซิ่วใช้บรรเลงนั้นมีเพียงสองท่วงทำนองเท่านั้น จึงทำให้หวงลู่รู้สึกแปลกใจมิน้อยเพราะนักดนตรีที่เขาเคยพบเจอมักบรรเลงเพลงได้มากมายหลายเพลง เพื่อสลับสับเปลี่ยนในแต่ละวันมิให้ลูกค้าที่เข้ามารับชมต้องเบื่อหน่ายกับท่วงทำนองเดิมๆ
"ฮุ่ยซิ่ว หวงลู่ พวกเจ้าต้องไปกับข้า!" ผู่เยว่พรวดพราดเข้ามาออกคำสั่งกับสองบุรุษที่มีสีหน้างุนงงด้วยน้ำเสียงเข้มเคร่งเครียด "ไปไหนหรือพี่ผู่เยว่?" ฮุ่ยซิ่วเอ่ยถามขึ้นพลางลุกยืนขึ้น "ท่านจะให้พวกเราไปที่ใด?"
"องค์หญิงถูกลอบทำร้าย ข้าเป็นห่วงนาง"
หวงลู่ตื่นตะหนกรีบตรงเข้าเขย่าแขนแกร่งเต็มแรง "องค์หญิงงั้นหรือ?! นางอยู่ที่ใด?! รีบพาข้าไปเถิด!" ในขณะที่หวงลู่ร้อนใจจนแทบพุ่งตัวออกไปตามหานาง ฮุ่ยซิ่วกลับมีท่าทีนิ่งเฉย ก้อนน้ำเเข็งถูกไฟร้อนลามลนแล้วแต่มิคล้ายจะละลาย ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจนัก
"...พี่ผู่เยว่ ข้าเองก็เป็นห่วงองค์หญิงมิน้อยไปกว่าท่าน แต่คงมิอาจร่วมเดินทางไปได้ ต้องขออภัยด้วย" ผู่เยว่ชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น "...ข้าหลงลืมไปเสียสนิท หากพวกเราไปกันหมด พ่อบ้านกู่คงลำบากมิน้อย เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ดูแลจวนเถิด" สามสี่เดือนที่ผ่านมาหลังองค์หญิงรับพวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย เรื่องบัญชีและอื่นๆในจวนที่ควรเป็นหน้าที่พ่อบ้านกู่นั้นล้วนอยู่ในความดูแลพวกเขาทั้งสิ้น หากจะให้พ่อบ้านกู่รับผิดชอบเพียงผู้เดียว คงมิอาจรับมือกับสารพัดปัญหาในจวนได้เป็นแน่...
"พี่ผู่เยว่ รีบไปเร็วเข้า!" หวงลู่รีบวิ่งตรงไปยังคอกม้าหลังจวนมิรีรอ ส่วนผู่เยว่ยังคงยืนอยู่กับฮุ่ยซิ่วริมระเบียงเรือน สองบุรุษเงียบใส่กันครู่หนึ่งก่อนเป็นฝ่ายฮุ่ยซิ่วที่เอ่ยถามขึ้น "...ท่านมิไปหรือ?"
"องค์หญิงเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเรา สำหรับข้านางเปรียบเสมือนครอบครัวและผู้มีพระคุณ" ผู่เยว่เอ่ยขึ้นถอยคำแฝงนัยทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนเดินออกไป
บุรุษผู้นี้ฉลาดหลักแหลมมิด้อยไปกว่าองค์หญิง นอกเหนือจากความรู้เรื่องสมุนไพรและการรักษาสารพัดโรคแล้ว ก็ยังสามารถอ่านคนได้แทบทะลุปรุโปร่ง การที่ผู่เยว่เอ่ยออกมาเช่นนั้นจึงทำให้เขามิสบายใจนัก
สำหรับฮุ่ยซิ่วนั้น ผู่เยว่เป็นคนที่เขามักจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด คนผู้นี้แม้อายุเพียงยี่สิบแต่สุขุมเกินวัยทำให้เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ใกล้และนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาและผู่เยว่มิค่อยสนิทสนมกันมากนัก
ตลอดชีวิตผู่เยว่เป็นเด็กกำพร้าได้สกุลหานรับอุปการะเมื่อครั้งอายุเพียงแปดปี เด็กหนุ่มผอมโซเร่ร่อนไปมา แต่มิเคยปริปากขอความเห็นใจจากผู้ใด เขาพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดเดินของานทำแลกอาหาร แต่ทว่าสภาพเขาในยามนั้นทำให้ถูกปฏิเสธโดนขับไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเมื่ออาหารมิตกถึงท้องนานวันเข้าร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงจะก้าวเดินล้มฟุบอยู่กลางตลาด เวลานั้นองค์หญิงสามในวัยหกชันษาเสด็จมาเดินเล่นในตลาดพร้อมหานฮองเฮาพระมารดาและข้าราชบริพารมากมายที่ติดตามมาด้วย เมื่อเห็นผู่เยว่เป็นลมล้มพับนางก็รีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง และได้ขอให้เหล่าองค์รักษ์พาเด็กหนุ่มไปรักษาตัวที่จวนสกุลหาน ทั้งยังเกลี้ยกล่อมอดีตอัครเสนาบดีหานห้าวตงผู้เป็นตาให้รับอุปการะเลี้ยงดูเขา
ผู่เยว่เติบโตมาในจวนสกุลหาน ซื่อสัตย์ภักดิ์ดีต่อเหยียนเป่าเป็นอย่างมากและสำนึกเสมอว่านางเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา ทั้งหยิบยื่นที่อยู่อาศัย อาหารและความรู้ให้ ฉุดเขาขึ้นจากตรมแห่งความทุกข์เป็นดั่งแสงส่องสว่างให้แก่ชีวิต หากผู้ใดคิดประสงค์ร้ายต่อองค์หญิงของตน จุดจบคนผู้นั้นคงมิงดงามเท่าใดนัก
ตกเย็นชายงามจากเรือนเสี่ยวอี้ได้รวมตัวกันเดินข้ามฝากฝั่งมาเยี่ยมเยียนฮุ่ยซิ่วที่เรือนสาม ด้วยได้ข่าวว่าเขานั้นอาสาเฝ้าดูแลจวนองค์หญิงมิได้ร่วมเดินทางไปซ่งกับหวงลู่และผู่เยว่ จึงเกรงว่าชายหนุ่มนักดนตรีจะเหงาเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง
ชายงามสิบแปดชีวิตแห่งเรือนเสี่ยวอี้ หากเป็นสตรีที่ถูกรอบล้อมก็คงเพลิดเพลินใจมิน้อย แต่บุรุษฮุ่ยซิ่วยามนี้รู้สึกรำคาญเหลือทนเพราะมิอาจปลีกตัวออกไปไหนได้ดั่งที่ตั้งใจ พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่านี้อาจเป็นแผนการกักตัวเขาของผู่เยว่ก็เป็นไปได้
เส้นทางยาวกันมิอาจรีบเร่งให้ถึงที่หมายได้ดั่งใจปรารถนา สองสหายต่างวัยจำต้องเปิดโรงเตี๊ยมในเมืองเล็กๆใกล้ชายแดนเพื่อหยุดพักสักคืน หวงลู่ที่ทนหิวมาเกือบชั่วยามเมื่อได้กลิ่นอาหารล่องลอยออกมาแตะจมูกก็อดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น "พี่ผู่เยว่ ข้าอยากกินเนื้อแพะย่าง อยากกินเซาปิง อยากกินเกี๊ยวทอด และก็อยากกิน..."
"แค่บะหมี่ก็เพียงพอแล้ว" หวงลู่เมื่อถูกขัดใจก็แสร้งเซื่องซึมเพราะรู้ดีว่าอย่างไรผู่เยว่ก็มิอาจต้านทานความรู้สึกผิดที่ปฏิเสธเขาได้และสุดท้ายพี่ชายผู้นี้ก็จะยอมสั่งอาหารทุกอย่างที่เขาต้องการมาให้
ชายหนุ่มยิ้มแย้มยินดีกวาดสายตาเป็นประกายมองอาหารมากมายบนโต๊ะด้วยความสุขล้น "แม้บนโต๊ะนี้มีเนื้อแพะย่างเกลือ เซาปิง เกี๊ยวทอด แต่ยังมีอาหารอีกอย่างที่ข้าอยากกิน..."
"ถ้าเจ้าสั่งกล้าอาหารอีก ข้าจะทิ้งให้เจ้าจ่ายเอง!" ผู่เยว่เอ่ยเสียงเข้มพลางคีบเส้นบะหมี่เข้าปากแสร้งมิสนท่าทีแง่งอนของบุรุษตรงหน้า...
วันต่อมา ผู่เยว่ควบม้าผ่านเมืองต่างๆจนมาถึงชายแดนต้าไห่ในยามเซินโดยมีหวงลู่ผู้ขี่ม้าไม่เป็นนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง "พี่ผู่เยว่จะไปที่นั่นต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่?" ชายหนุ่มพยักหน้าบังคับม้าชะลอฝีเท้าลงก่อนเอ่ยขึ้น "คงต้องหาโรงเตี๊ยมพักอีกคืน" โชคดีหมู่บ้านที่องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่นั้นมิได้อยู่ถึงเมืองหลวงซ่งจึงพอร่นระยะทางลงได้บ้าง
"ดียิ่ง! ข้าอยากแช่น้ำเหลือเกิน ท่านลองดมตัวข้าดูเถิด เหม็นยิ่งนัก" อากาศก็มิได้ร้อนกลับหนาวเย็นเสียจนขนลุกแต่เป็นเพราะร่างกายเขาที่ไม่ปกติทำให้ขับเหงื่ออกมาท่วมกายมากมายจนเหนียวเหนอะถึงเช่นนี้
"เจ้าโดนพิษมานานหลายปีจนร่างกายผิดปกติ แม้ในอากาศหนาวก็ยังร้อนจนเหงื่อท่วมได้" เขายังคงจำเรื่องราวเมื่อสามปีก่อนได้มิเคยลืม หวงลู่ยามนั้นเลือดท่วมกายและเป็นองค์หญิงที่แบกขึ้นหลังพากลับมาให้เขารักษาที่จวนสกุลหาน โดยตัวนางเองก็มิรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้แม้แต่น้อย หลังตรวจดูก็พบว่าในเลือดหวงลู่นั้นเต็มไปด้วยพิษแม้มิถึงตายแต่ช่างทรมานเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
ตัวเขาได้ทดลองใช้วิธีการรักษาหลากหลายวิธีเป็นเวลากว่าสิบวัน หลังหวงลู่ฟื้นคืนขึ้นมาก็เอาแต่ตามติดเขาและฮุ่ยซิ่วราวกับเป็นเงา
จวนสกุลหานเงียบเหงามานานหลายปีหลังสิ้นอดีตอัครเสนาบดีหานห้าวตง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้แปรเปลี่ยนไปเมื่อหวงลู่เข้ามา ด้วยนิสัยร่าเริงเป็นมิตรล้นหลามไปด้วยอารมณ์ขันทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่าท่านยายขององค์หญิงเป็นอย่างมากถึงขนาดเรียกหาทุกเช้าเย็น
"...ต้องขอบคุณท่านที่ให้การรักษาแก่ข้า" เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณขององค์หญิงและผู่เยว่อยู่เสมอ
"แต่เจ้ายังมิเคยบอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนั้น" เรื่องราวหวงลู่ลึกลับจับต้องมิได้ แม้เคยพยายามสืบสาวเรื่องราวหาที่มาของบุรุษผู้นี้ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น "ข้าจำมิได้หรอก" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ สามปีก่อนตัวเขาหลังฟื้นขึ้นมาในจวนสกุลหานก็จำสิ่งใดเกี่ยวกับตนมิได้แม้แต่น้อย ยิ่งพยายามนึกถึงก็คล้ายความทรงจำยิ่งถูกลบเลือน แม้พยายามเค้นถามองค์หญิงนับร้อยครั้งคำตอบเดิมๆที่นางมีให้ก็เพียงแค่ว่ายังมิถึงเวลารู้เท่านั้น
แต่โชคดีที่ตัวเขาก็มิได้สนใจในเรื่องราวของตนเองมากนัก ทั้งยังมีความสุขกับการเป็นหวงลู่ในฐานะคนสนิทขององค์หญิง เขามิรู้ว่าหากต้องกลับไปเป็นตนเองเช่นอดีตจะมีความสุขดังที่ได้อยู่กับองค์หญิงเช่นนี้หรือไม่
...บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเขาและนางมีบางอย่างคล้ายคลึงกันตรงที่ภายนอกเป็นมิตรน่าคบหาแต่ลึกๆแล้วก็ยังมีอีกตัวตนซุกซ่อนอยู่ และบางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับองค์หญิงสนิทสนมกันถึงเพียงนี้แม้ต่างสถานะกันก็ตาม...
วันต่อมาในยามอุ้ยหลังออกเดินทางมาเป็นระยะทางยาวไกล ในที่สุดสองบุรุษรูปงามก็ควบม้ามาถึงหน้าโรงหมอสกุลอี่เสียที "ข้าคิดว่าเจ้าจะมาเพียงผู้เดียวเสียอีก ผู่เยว่" เหยียนเป่าที่นั่งรออยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าเอ่ยทักทายพลางส่งยิ้มยินดีที่ได้พบเจอพวกเขาอีกครั้ง ทั้งสองบุรุษรีบลงทางหลังม้าตรงเข้าหญิงสาวโดยทันที "องค์หญิง ข้าเป็นห่วงท่านมากเหลือเกิน" หวงลู่คว้ามือบางสองข้างแนบใบหน้าตนถูไถไปมา เหยียนเป่ายกยิ้มประดับบนใบหน้างามมองชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดู แม้จะรู้ว่าทั้งเขาและนางอายุเท่ากันแต่ว่าก็อดมิได้ที่จะวางตัวเป็นพี่สาวอยู่เสมอ "ข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตามมา" หวงลู่กลัวการอยู่คนเดียวเขาตามติดนาง ผู่เยว่และฮุ่ยซิ่วมาแต่ไหนแต่ไรจนมิอาจอยู่ห่างใครคนใดคนหนึ่งได้ แต่เมื่อต้องห่างกับนางเขาก็ยังต้องมีผู่เยว่หรือฮุ่ยซิ่วอยู่ใกล้ๆคอยดูแล
"องค์หญิง ท่านซูบผอมไปมาก" ผู่เยว่ที่ยืนนิ่งเงียบมองเหยียนเป่ามาสักพักเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเป็นกังวล หญิงสาวตบบ่าแกร่งเบาๆเอ่ยขึ้น "ที่นี่มีเพียงข้าวต้มปลาเท่านั้นที่ข้าสามารถกินได้ พอกินทุกวันก็เริ่มเบื่อ หลังๆพอสองสามคำข้าก็มิอาจฝืนกินต่อได้แล้ว" หมู่บ้านนี้แม้อยู่ท่ามกลางป่าแต่กลับไร้สัตว์เนื้อในพื้นที่ใกล้เคียง หากมีความต้องการเนื้ออื่นนอกเหนือจากเนื้อปลาในบ่อน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ก็ต้องลำบากเดินทางเข้าป่าลึกแสนลึกลับอันตราย หากโชคดีก็อาจได้กระต่ายป่าสักตัวกลับมายังหมู่บ้าน แต่หากโชคร้ายอาจมิได้สิ่งใดกลับมาแม้แต่ชีวิตตน!
วันนี้ท่านหมออี่ได้ออกเดินทางขึ้นเขาเพื่อเก็บสมุนไพรโดยมีจงหลวนเคอตามไปด้วย ส่วนลู่เหมยนั้นออกไปตกปลาท้ายหมู่บ้านตั้งแต่เช้า เหยียนเป่าพาหวงลู่และผู่เยว่มานั่งริมบ่อน้ำพลางคอยเหลือบตามองไปทางประตูโรงหมอรอคอยการกลับมาของเด็กหนุ่ม
"องค์หญิงท่านยังจะกลับชิงเถาอยู่อีกหรือ?" ผู่เยว่เอ่ยถามใจจริงมิต้องการให้องค์หญิงคิดกลับไปที่นั่นอีก เพราะเกรงว่าคราวนี้องค์หญิงใหญ่อาจหลอกใช้ความไว้วางใจที่องค์หญิงสามมีให้เพื่อสังหารนางด้วยตนเอง
"ข้ามิคิดกลับหรอก สำหรับที่นั่นข้าเป็นเพียงองค์รักษ์ มิได้เป็นที่สนใจให้ผู้ใดถามไถ่หา" หากนางหายไปผู้ที่ร้อนใจเป็นที่สุดคงหนีมิพ้นเป็นเหยียนซ่าน สตรีผู้นี้คิดหลอกล่อหมายกำจัดนางมาเนิ่นนานหลายปีแต่ก็มิเคยสำเร็จสักครั้ง
แท้จริงเหยียนเป่าคิดกลับต้าไห่แต่แรกเพียงแต่ยังมีบางอย่างติดขัดอยู่เล็กน้อยเท่านั้น "ผู่เยว่ข้าต้องการม้าหนึ่งตัว เจ้าไปหาซื้อมาให้ข้าทีเถิด" ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนรีบผละออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถอนใจยาวครุ่นคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งพลางหันสบตากับหวงลู่ก่อนเอ่ยขึ้น "หวงลู่ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากขอให้เจ้าช่วย" ชายหนุ่มสีหน้างุนงง เพราะตัวเขาอาศัยอยู่กับองค์หญิงมานานหลายปแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกนางขอร้องให้ช่วยเหลือด้วยสีหน้าหนักใจเช่นนี้...
ตกเย็นลู่เหมยกลับมาพร้อมปลาตัวใหญ่หลายตัว เขาแอบย่องเข้าครัวเงียบๆจัดการขอดเกล็ดปลาควักไส้ออกล้างจนสะอาด ก่อนตั้งกระทะหย่อนปลาลงในน้ำมันเดือด
กลิ่นปลาทอดหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ลอยออกมาถึงหลังโรงหมอที่เหยียนเป่าและหวงลู่นั่งพูดคุยกันอยู่ สองบุรุษสตรีคล้ายถูกมอมเมาด้วยกลิ่นอาหารลืมเรื่องที่พูดคุยไปชั่วขณะสองขารีบก้าวเดินตรงมายังครัวเเอบมองเด็กหนุ่มที่กำลังพลิกปลาตัวใหญ่ด้วยความยากลำบากพลางกระโดดหลบน้ำมันร้อนที่แตกกระเด็นเป็นระยะ
"ดูเอาเถิด เขาช่างเป็นเด็กดีนัก" ลู่เหมยรู้ว่านางเบื่อข้าวต้มจึงคิดทอดปลาให้กิน แต่มิคิดว่าเขาจะต้องลำบากเพื่อนางถึงเพียงนี้ "เห็นเช่นนี้แล้วตัวข้าละอายใจยิ่งนักที่มิเคยทำสิ่งใดเพื่อท่านเลย"แม้จะน้อยใจที่องค์หญิงให้ความสำคัญต่อเด็กนี่มากกว่าถึงขนาดขอร้องให้เขาช่วยหาทางเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไปต้าไห่กับนางด้วย แต่ก็อดชื่นชมในความพยายามของลู่เหมยมิได้ ตัวเขาอยู่กับองค์หญิงมาเนิ่นนานแต่มิเคยดูแลหรือทำตัวเป็นประโยชน์ต่อนาง มีแต่ทำให้นางเป็นห่วงอยู่เสมอ คิดแล้วเขาก็พึมพำหน้าเศร้า "ตัวข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง"
"เจ้าหาได้ไร้ประโยชน์ไม่!" เหยียนเป่าค้านเสียงเข้ม นางมิชอบเอาเสียเลยที่เขามักดูถูกตัวเขาเองว่าไร้ประโยชน์เช่นนี้ "ลืมไปแล้วหรือว่าเพราะเจ้าข้าถึงผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้" ชีวิตองค์หญิงเช่นนางไร้มารดาให้พึ่งพิง แม้มีหรงซูเฟยแต่ก็มิอาจทดแทนกันได้ หลายครั้งที่ต้องรับมือกับปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเข้าหา ก็มีหวงลู่คอยดูเคียงข้างให้กำลังใจนางเสมอ นางรู้สึกดีราวกับได้รับการเยียวยาทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขา
...เพราะสายเลือดเดียวกันอย่างไรก็ตัดมิขาด ความผูกพันธ์ที่เคยมีในอดีตยังคงแน่นแฟ้นมิเคยเปลี่ยนไป แม้ตอนนี้จะมีเพียงนางที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม...
แต่เมื่อนึกถึงในภายภาคหน้าหากเขารู้ความจริงว่านางมิใช่ชาวยุทธ์ธรรมดาแต่มีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์หญิงต่างแคว้น เขาจะผิดหวังโกรธเคืองจนมิอาจอภัยได้หรือไม่หนอ?