7
ระหว่างที่ลู่เหมยตั้งอกตั้งใจทอดปลาตัวใหญ่เพื่อเหยียนเป่า ตัวเขานั้นก็มิรู้เลยว่าตนเองมีความสุขมากเพียงใดที่ได้ทำเพื่อนาง ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้นไร้บิดามารดาญาติพี่น้อง ในใจเขาล้วนมีเเต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเหน็บหนาว แต่ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นได้เริ่มมลายหายเมื่อได้อยู่ใกล้กับหญิงสาว เขารู้สึกอุ่นใจที่มีนางเสมอราวกับว่านางเป็นแสงแดดอบอุ่นที่โอบล้อมเขาเอาไว้ บางครั้งเขาก็อดคิดมิได้ว่าหากนางเป็นพี่สาวแท้ๆของเขาจริงๆก็คงจะดีมิน้อย
เด็กหนุ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าที่มีความสุขของนางเมื่อได้เห็นปลาทอดตัวนี้ "พี่สาวต้องชอบเป็นแน่" เขารีบตักปลาขึ้นจากกระทะเมื่อเห็นว่าตัวมันเริ่มเหลืองกรอบก่อนวางลงบนถาดสี่เหลี่ยม เด็กหนุ่มยกถาดปลาขึ้นมาก่อนรีบเดินตรงไปยังห้องของเหยียนเป่าที่กำลังรีบพุ่งตัวเข้าทางหน้าต่าง ด้วยความรีบร้อนจึงลืมหวงลู่ทิ้งไว้ข้างครัว
หญิงสาวนั่งลงบนเตียงแสร้งหยิบตำราสมุนไพรขึ้นมาอ่านรอคอยการมาถึงของลู่เหมย "พี่สาว ท่านมิต้องทนกินข้าวต้มฝีมือท่านหมอแล้วเพราะวันนี้ข้าทอดปลาตัวใหญ่ให้ท่านกินแทน" เด็กหนุ่มผลักประตูเข้ามาเอ่ยบอกอย่างอารมณ์ดีพร้อมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ เหยียนเป่าพับเก็บหนังสือตำราลุกขึ้นตรงไปที่โต๊ะกลางห้องแววตาเปล่งประกายรู้สึกหิวขึ้นมาโดยทันที "เจ้าทอดเองหรือ?" นางเอ่ยถามพลางหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปาก "...ข้าทอดเอง"
"มิคาวเลย เจ้าทำได้อย่างไร?"
"อาจเป็นเพราะข้าล้างเป็นอย่างดีจึงมิคาว" เขาเอ่ยตอบรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นหญิงสาวไม่มีอาการเบื่ออาหารดังเช่นหลายวันที่ผ่านมาทั้งยังกินได้มากกว่าปกติด้วยซ้ำไป "ฝีมือทำอาหารเจ้ามิอาจดูถูกได้จริงๆ หากฝึกฝนไปเรื่อยๆ ในภายภาคหน้าฝีมือเจ้าต้องเลิศล้ำยากหาผู้ใดเทียบเคียงได้แน่"
"จริงหรือพี่สาว?" ตัวเขาชื่นชอบการทำอาหารเป็นอย่างมากแต่หากท่านหมออยู่ ก็มักจะถูกห้ามมิให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในครัว แม้ท่านหมอจะใจดีมีเมตตาอุปการะเลี้ยงดูเขาดั่งลูกหลานแต่เขาก็มิอาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นดั่งที่ได้รับยามเมื่อมีพี่สาวอยู่ใกล้ๆ
"ข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออะไรเล่า ตัวข้ามิไช่ชอบพูดจาอ้อมค้อมพลิกลิ้นไปมาเสียหน่อย" นางสัมผัสได้ว่าเขามิมีความสุขที่ต้องอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นนางจึงมิอาจละทิ้งไปได้ ตราบใดที่ลู่เหมยยังอยู่ที่นี่ชีวิตเขาอาจมิเจริญก้าวหน้าอาจจมอยู่กับความเงียบเหงาหดหู่จนวันตายก็เป็นได้
"องค์หญิง ท่านทิ้งข้า!" หวงลู่พุ่งพรวดเข้ามาในห้องพร้อมโวยวายเสียงดังกระทืบเท้าไปมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ ลู่เหมยมิเคยพบเจอรู้จักชายหนุ่มก็ตกใจพาลคิดว่าบุรุษผู้นี้จะเข้ามาเพื่อทำร้ายพี่สาวจึงรีบคว้าถาดบนโต๊ะมาถือไว้ในมือพร้อมขยับตัวเข้าขวางกั้นหวงลู่ให้ห่างจากหญิงสาว "เจ้าเป็นใคร?!"
หวงลู่พินิจมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่สูงเพียงอกก่อนเคลื่อนสายตาสบเข้ากับองค์หญิงของตน "เขาเหมาะที่จะอยู่ข้างกายท่านมิน้อย เรื่องนี้ข้ายอมรับ" เหยียนเป่าพยักหน้าส่งสัญญาณให้หวงลู่เอ่ยสิ่งที่นางต้องการให้ลู่เหมยรับรู้ออกมา "องค์หญิง ท่านจะปล่อยให้เด็กนี่เอาถาดฟาดข้าจริงๆน่ะหรือ?"
"...เหตุใดชายวิปลาสผู้นี้ถึงเรียกท่านว่าองค์หญิง?" เด็กหนุ่มพลันมึนงงต้องรีบถามไถ่ให้ได้ความ "...เขามิได้วิปลาสหรอกลู่เหมย สิ่งที่เขาเอ่ยล้วนเป็นเรื่องจริงแท้ทั้งสิ้น"
"นางเป็นองค์หญิงแคว้นต้าไห่ นางมิได้บอกเจ้าหรอกหรือ?" หวงลู่เอ่ยถามน้ำเสียงเย้ยเยาะมิสนสายตาขุ่นเคืองของเหยียนเป่าที่กำลังทิ่มแทงมาทางเขาอย่างรุนแรง คราแรกนางหมายมั่นให้เขาช่วยเอ่ยเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มมิให้เคืองโกรธนาง คิดมิถึงว่าเขาจะกล้าขัดคำสั่งเอ่ยเช่นนั้นออกมา
แต่ผิดจากที่คาดไว้ยิ่งนัก ลู่เหมยมิได้มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อยแต่กลับกระทำสิ่งตรงข้ามคุกเข่าลงตรงหน้านางพลางโขกศรีษะเต็มแรง "ละ ลู่เหมยโง่เขลา มิทราบว่าท่านเป็นองค์หญิง โปรดละเว้นชีวิตข้าน้อยด้วย!" เขาเอ่ยตะกุกตะกักเหงื่อผุดพรายด้วยความตื่นกลัวเกรงต้องโทษฐานล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ "ลู่เหมย รีบลุกขึ้นเถิด" หญิงสาวประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นพลางลูบศรีษะเขาเบาๆหมายให้ผ่อนคลายความเกร็งที่ก่อตัวขึ้น นางมิคาดหวังให้เขากลับมาเป็นลู่เหมยคนเดิมในทันที เพราะเขายังเด็กมิอาจปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงกระทันหันได้ดีเท่าผู้ใหญ่เช่นนาง "ลู่เหมย ข้าเป็นองค์หญิงมาเนิ่นนานสิบแปดปีและเป็นมาตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เพียงเจ้ารู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็มิได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะถึงอย่างไรข้ายังคงเป็นพี่สาวของเจ้าและเจ้าเองก็เป็นน้องชายข้าเช่นกัน..."
"...อย่าให้ฐานะและฐานันดรของข้ามาปิดกั้นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของเรา" เด็กหนุ่มแม้ตะหนกตกใจมิน้อยแต่ก็มิได้รู้สึกว่านางห่างไกลออกไป นางยังคงอยู่ที่เดิมเป็นที่พึ่งในจิตใจของเขาดังเดิม
...และเขาก็ยังคงรู้สึกว่ามิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ..
รุ่งเช้าผู่เยว่กลับมาพร้อมม้าสีขาวตัวใหญ่ลักษณะดีอีกหนึ่งตัว เขาผูกมันไว้หน้าโรงหมอก่อนเดินตรงเข้ามาด้านในที่เงียบสงัด ชายหนุ่มแตะมือบนลงกระบี่ที่เหน็บข้างกาย รู้สึกถึงความมิชอบมาพากล
ระหว่างที่ชายหนุ่มระเเวงระวังตัวเป็นอย่างดีไร้ช่องว่างจะโจมตีได้นั้น สามชีวิตที่ปีนป่ายเล่นอยู่บนขื่อสูงก็อดมิได้ที่จะรู้สึกขบขัน "นั่นคือพี่ผู่เยว่ เป็นหมอประจำจวน" หวงลู่กระซิบบอกแก่ลู่เหมย เมื่อวานหลังสถานการณ์กลับสู่ปกติองค์หญิงได้บังคับให้เขาและเด็กหนุ่มได้เรียนรู้การอาศัยอยู่ร่วมกันจึงจับเขาและลู่เหมยขังไว้ให้อยู่ด้วยกันในห้องเก็บสมุนไพรคับแคบทั้งคืน
เท่าที่ได้ฟังจากที่องค์หญิงบอกเล่าเด็กหนุ่มผู้นี้แม้หยาบกระด้างไปบ้างแต่เรื่องน้ำใจนั้นเขามีมันอย่างท่วมท้นทั้งยังส่งต่อให้แก่คนรอบข้างอยู่เสมอ และในอีกไม่นานอย่างไรก็ต้องอยู่ร่วมกันในภายภาคหน้าหวงลู่จึงมิลังเลที่จะค้นหาถามไถ่เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่พูดคุยกันทั้งคืนจนเกือบรุ่งสางผลัดกันเล่าเรื่องราวของตน จึงได้รู้ว่าทั้งเขาและลู่เหมยนั้นเกลียดความเงียบเหงาและมิชอบอยู่คนเดียวเหมือนๆกัน เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามจึงสร้างความสนิทสนมระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
"องค์หญิง จะทำเช่นไรต่อดี?" ลู่เหมยเอ่ยถามเพราะรู้สึกเห็นใจผู่เยว่ขึ้นมา ท่าทางเขาเป็นกังวลมากเสียจนเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกังวลตาม "...พวกเจ้าลงทางเดิมก็แล้วกัน ส่วนข้า..." เหยียนเป่าเกร็งลมปราณทิ้งตัวลงจากขื่อสูงท่ามกลางความตกใจของลู่เหมยและหวงลู่ ผู่เยว่หันควับชักกระบี่จ่อทางหญิงสาวที่ยืนนิ่งงันอยู่บนพื้น "ผู่เยว่ ข้าเอง"
"...ขออภัยองค์หญิง ข้าเพียงตกใจ!" เขารีบเก็บกระบี่เข้าฝักก่อนเอ่ยขึ้น "ข้าเตรียมม้าไว้แล้ว ท่านจะออกเดินทางเลยหรือไม่?" เหยียนเป่ากรอกตาไปมาคล้ายลังเลใจ นางยังมิได้บอกลู่เหมยว่าจะเดินทางกลับต้าไห่และถ้าหากเขามิยอมไปกับนางด้วยก็คงรู้สึกแย่มิน้อย "ผู่เยว่ ข้าต้องการแต่งติดผู้ติดตามคนที่สี่ เพียงแต่เขาอายุแค่สิบปีเท่านั้น"
"ท่านทำเช่นนั้นมิได้!" เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบปีแม้องค์หญิงคิดรับอุปการะอย่างบริสุทธิ์ใจแต่ผู้ใดจะมาเข้าใจในเจตนารมณ์ที่แท้จริงของนางกันเล่า ทุกวันนี้ทั้งตัวเขารวมทั้งหวงลู่และฮุ่ยซิ่วต่างก็ถูกมองว่าเป็นชายบำเรอแก่องค์หญิงกันทั้งนั้น
"ข้าบริสุทธิ์ใจ หาได้สนลมปากผู้ใดไม่!"
นางเถียงด้วยความโมโห แม้ลึกๆจะรู้ดีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการกระทำโง่เง่าของนางทั้งสิ้น แต่มิว่าอย่างไรหากมิได้ตัวลู่เหมยกลับไปนางก็จะขอปักหลักที่นี่มิไปไหนเช่นกัน
"องค์หญิง ท่านมีภาระหน้าที่ต้องทำ ท่านควรกลับไปแก้ไขปัญหาที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ท่านก็รู้ดีว่ายามนี้..."
"ข้ารู้แต่ข้าจะไปก็ต่อเมื่อลู่เหมยกลับไปด้วยเท่านั้น!" อาจเอาแต่ใจไปบ้างแต่นางจะมิยอมแพ้ในเรื่องนี้โดยเด็ดขาด คราวฮุ่ยซิ่วนางก็เคยต้องปะทะกับแม่ม่ายโฉมสะคราญผู้หนึ่งเพื่อแย่งชิงเขามาแล้วและคราวนี้นางก็จะมิยอมแพ้อีกเช่นกัน...
ผู่เยว่สีหน้าหนักใจมองผ่านองค์หญิงตรงไปด้านหลังเห็นเด็กหนุ่มรูปงามยืนแอบมองอยู่หลังเสาก็ได้แต่ถอนหายใจยืดยาวเอ่ยถามขึ้น "เหตุผลใดที่ท่านต้องเลือกเขา?" องค์หญิงแม้คล้ายเอาแต่ใจแต่ก็มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นและแน่นอนนางต้องมีเหตุผลให้เสมอ "ลู่เหมยเป็นเด็กดีมีความสามารถ จะให้มองดูโดยมิผลักดันมิได้และข้าอยากมอบโอกาสแก่เขา"
เหยียนเป่าขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยต่อ "คนที่ทั้งเฉลียวฉลาดเก่งกาจและมาพร้อมกับความซื่อสัตย์นั้นนานทีจะมีเพียงหนึ่งข้าจึง..."
"แล้วฮุ่ยซิ่วซื่อสัตย์กับท่านหรืออย่างไร?!" เหยียนเป่าสะอึกอึ้งนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ผู่เยว่กำลังโมโหนางจึงมิกล้าโต้แย้งได้แต่หลุบตามองพื้นสีหน้าสลดลง จริงดั่งที่เขาเอ่ยทุกประการฮุ่ยซิ่วเข้าหานางเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแต่ก็เป็นเพราะนางที่ตั้งใจดึงเขาเข้ามาด้วยตัวเองตั้งแต่แรกและโยนภาระทั้งหมดให้ผู่เยว่ เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา "ผู่เยว่ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?"
"...ท่านพูดอะไร?"
"อยู่กับข้าเจ้าเหนื่อยหรือไม่?" ผู่เยว่โตมากับนางเขาทั้งซื่อสัตย์ภักดีมิเคยปริปากบ่นแม้ว่างานที่นางมอบหมายให้ทำจะหนักหนาเพียงใด "ข้าผลักภาระของข้าหลายอย่างให้แก่เจ้า มิเคยคิดว่าเจ้าอาจจะเหนื่อยและรู้สึกกดดัน ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่เคยนึกถึงใจเจ้าเลย" นางรู้สึกผิดเป็นอย่างมากจนมิกล้าเงยหน้ามองเขา "ข้ามิเคยเหนื่อยที่ต้องรับใช้ท่าน แต่ที่ข้าโมโหเพราะข้าเป็นห่วงที่ท่านดื้อดึง" ตั้งแต่เยาว์วัยนางก็ต้องรับมือกับปัญหาสารพัดทั้งรอบด้านด้วยตัวเองมาตลอด ความจริงใจที่หาได้ยากยิ่งในวังหลวง เมื่อได้พบเจอคนที่ซื่อสัตย์ภักดีนางจึงให้ความไว้วางใจวางทุกอย่างบนมือเขาโดยมิรู้สึกหวาดระแวงอะไร บางทีนางอาจรู้สึกเช่นนี้กับลู่เหมยด้วยก็เป็นไปได้
ผู่เยว่เหลือบตามองเด็กหนุ่มอีกครั้งคล้ายตัดสินใจบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้นมา "ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ท่านพาเข้าจวน" เหยียนเป่าเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจแต่ก็ยอมสัญญากับเขาแต่โดยดี "ได้ ข้าสัญญา"
ลู่เหมยที่ได้ยินทุกอย่างก็พลันกระจ่างแจ้งดีใจเป็นอย่างยิ่งรีบชักชวนหวงลู่เก็บข้าวของ "พี่หวงลู่ ข้าจะไปเก็บของ" เขามีอาภรณ์อยู่สามสี่ชุดล้วนสีสันสดใสลายดอกไม้ละลานตาที่มิอาจทิ้งขว้างไปได้เพราะเป็นสมบัติเดียวในชีวิต "เจ้าอยากไปจริงๆหรือลู่เหมย?" เขาเติบโตมาในที่แห่งนี้ย่อมมีความผูกพันธ์ที่ยากขจัด หากต้องเดินทางไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้เกรงว่า... "ขอเพียงมีองค์หญิงมีท่าน มิว่าไปที่ใดข้าก็มิเกี่ยง" เขาตัดสินใจแล้วที่จะออกเดินทางไปพร้อมองค์หญิงโดยมิคิดให้สิ่งใดมาฉุดรั้งเอาไว้ ตัวเขาแม้เติบโตมาในหมู่บ้านนี้แต่วันๆทำงานอยู่แต่ในโรงหมอมิเคยได้ออกไปเล่นกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน สำหรับที่นี่เขาไร้ซึ่งครอบครัวไร้ซึ่งสหาย ท่านหมออี่เองก็เคยกล่าวไว้ว่าหากวันใดวันนึงเมื่อเขาพบเจอเส้นทางของตนเองเมื่อใดก็อย่าได้ลังเลที่จะก้าวเดินไป...
เหยียนเป่าเขียนจดหมายวางไว้บนโต๊ะภายในห้องก่อนรีบเก็บสำภาระในห่อผ้า นางต้องรีบไปก่อนที่จงหลวนเคอจะมา หากเขารู้ว่านางคิดกลับต้าไห่เขาต้องขัดขวางเป็นแน่ "ลู่เหมยเจ้ามากับข้า" ผู่เยว่อุ้มร่างเล็กส่งขึ้นหลังม้าซ้อนด้านหลังเหยียนเป่าก่อนกระโดดขึ้นม้าตนพร้อมหวงลู่ ทั้งสี่ชีวิตออกเดินทางพร้อมม้าสองตัวออกจากหมู่บ้าน ลู่เหมยผู้มิเคยออกเดินทางไปยังสถานที่ไกลอดตื่นเต้นมิได้พูดจ้อตลอดทาง หญิงสาวนอกจากมิได้รู้สึกรำคาญกลับชื่นชอบที่จะได้ยินเสียงเล็กเจื้อยแจ้วเพราะมันทำให้นางมิรู้สึกเบื่อหน่าย
ที่โรงหมอจงหลวนเคอและท่านหมออี่นั่งเงียบมาพักใหญ่หลังได้อ่านจดหมายของเหยียนเป่าและลู่เหมย ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นก่อนประสานมือตรงหน้าชายชรา "ข้าต้องขออภัยที่ปิดบังความจริง ทั้งยังปล่อยให้องค์หญิงพาตัวลู่เหมยไป"
"มิเป็นไรๆ ข้าเองก็มิได้อยากฉุดรั้งเขาเอาไว้หรอก" อายุที่มากขึ้นทุกวันสังขารมิยั่งยืนจะหมดลมเมื่อใดใครหารู้ไม่ ลู่เหมยควรมีที่พึ่งพาจนกว่าจะโตพอและเขาก็เชื่อว่าองค์หญิงจะดูแลเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี
"ท่านเองก็ควรกลับเช่นกัน ท่านรองแม่ทัพ"
ตกเย็นทั้งสี่ได้เเวะเข้าพักโรงเตี๊ยมเมืองใกล้ชายแดน แต่เพราะเหยียนเป่ามิอาจนอนเพียงลำพังได้ผู่เยว่รวมทั้งลู่เหมยและหวงลู่จึงต้องปูผ้านอนบนรวมกันบนพื้น "ลำบากพวกเจ้าแล้ว"
"ข้ามิได้ลำบากอะไร ท่านหลับเสียเถิดอย่าได้กังวลใจพวกข้าจะอยู่กับท่านเอง" ผู่เยว่นั่งเฝ้าหญิงสาวหลับตาลงรอนางเข้าสู่นิทราก่อนจะล้มตัวลงนอน ครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา องค์หญิงกลัวการนอนคนเดียวเพราะเคยถูกองค์รัชทายาทกลั่นแกล้งเมื่อครั้งอายุเพียงสี่ปีจนฝังใจ ฮูหยินผู้เฒ่าท่านยายของนางเล่าว่าในยามนั้นนางตกใจกลัวโคมไฟประดับดวงตามนุษย์ที่องค์รัชทายาทแอบนำมาวางในห้องของนางเป็นอย่างมากจนร้องไห้มิหยุดจับไข้อย่างหนักหลายวัน เมื่อฝ่าบาททรงรู้ก็ทรงพิโรธอย่างมากสั่งกักบริเวณองค์รัชทายาทเป็นเวลาหนึ่งเดือน เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อองค์หญิงตั้งแต่เล็กจนโตทำให้นางโกรธเกลียดเหยียนเริ่นเป็นอย่างมากและมันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้หนิวฮองเฮาแค้นเคืองนางมาจนถึงทุกวันนี้...
เสี่ยวอี้ใช้เวลานานหลายวันในการเดินทางจากชิงเถากลับสู่ต้าไห่เพราะต้องคอยสกัดคนขององค์หญิงใหญ่ที่แอบตามนางอย่างลับๆและล่อหลอกองค์รักษ์ของซื่ออ๋องให้พลัดหลงไปคนละทางเพื่อที่นางจะได้มีอิสระในการเดินทางร่วมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักที่มาช่วยปัดกวาดเส้นทางให้
เมื่อเข้าเขตแคว้นต้าไห่ชาวยุทธทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปคนละทางส่วนเสี่ยวอี้ก็รีบควบม้าเร็วมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงโดยมิหยุดพัก นางลัดเลาะเส้นทางป่าด้วยมิต้องการผ่านเมืองที่ต้องถูกตรวจตราให้เสียเวลา
เพียงไม่กี่ชั่วยามหลังใช้เวลาเดินทางมายาวนานหลายวัน ในที่สุดก็กลับมาถึงจวนองค์หญิงเสียที เสี่ยวอี้มิรอช้ารีบก้าวเดินเข้าประตูผ่านทหารเวรยามตรงไปยังเรือนสามของฮุ่ยซิ่วพลันรู้สึกแปลกใจที่มิได้ยินเสียงบรรเลงพิณดังเช่นเคย หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนตั่งก็เอ่ยถาม "ฮุ่ยซิ่วเจ้ามิได้ไปรับองค์หญิงที่ซ่งหรอกเหรอ?"
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาแววตาเศร้าหมองจ้องมองหญิงสาวนิ่ง "เจ้าเป็นอะไรไปฮุ่ยซิ่ว?"
นางเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาใกล้เขาจนได้กลิ่นสุราโชยตลบอบอวล เสี่ยวอี้จุดโคมไฟให้สว่างกวาดตามองไปรอบห้องที่เกลื่อนกราดไปด้วยไหสุรา นางเหลือบมองฮุ่ยซิ่วที่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเพียงครู่หนึ่งก่อนเก็บกวาดทำความสะอาดมิถามไถ่อันใดอีก "...ข้าต้องอดทนเพราะอีกไม่นานองค์หญิงก็จะกลับมาแล้ว" ชายหนุ่มพึมพำตาปิดลงด้วยความอ่อนล้า ยามนี้มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่เขานึกถึงและภาวนาให้นางกลับมาโดยเร็ว...
เกวียนใหญ่เคลื่อนเข้ามาในจวนองค์หญิง ด้านหน้าเป็นผู่เยว่และหวงลู่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าวานิชบังคับม้า ด้านหลังบรรทุกกระสอบข้าวสารเต็มคันรถด้านล่างเป็นช่องว่างมีเหยียนเป่าเเละลู่เหมยนอนซ่อนตัวอยู่ เพราะมิต้องการให้ใครรู้ว่าตอนนี้ได้กลับมาถึงต้าไห่แล้วนางจำต้องแอบเข้าเมืองหลวงอย่างหลบๆซ่อนๆมิให้ผู้ใดสังเกตุเห็น
เหยียนเป่ากลิ้งตัวลงจากใต้ท้องเกวียนตกตุบลงบนพื้นโดยมิลืมดึงลู่เหมยออกมาด้วย บ่าวไพร่ที่เดินผ่านไปมาล้วนตะหนกตกใจรีบเข้ามาช่วยพยุงนางให้ยืนขึ้น "ขอบใจพวกเจ้ามาก" หญิงสาวบิดกายไปมาเพราะถูกความเหมื่อยขบกัดกินทั่วร่าง นางกวาดตามองไปรอบๆจวนก่อนเหลือบตามองเด็กหนุ่มข้างกายที่มีสีหน้าตกตะลึง "จะ จวนท่าน ใหญ่โตเหลือเกิน!" เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น มองไปทางใดก็สวยงามไปหมด ทั้งยังมีตึกไม้ใหญ่ตั้งเรียงรายมากมาย "นับแต่นี้ที่นี่คือบ้านเจ้า ส่วนตรงนั้น..." เหยียนเป่าชี้ไปยังเรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับเรือนสองของผู่เยว่ไกลลิบจากหน้าประตูจวน "...คือเรือนส่วนตัวของเจ้า"