4
จ้าวหย่งสือค่อยๆย่องออกมาจากห้องพลางกวาดสายตามองหาเป้าหมาย เสียงฝีเท้าดังตึงตังเข้ามาใกล้เท่าไหร่ มือที่กำรอบกระบี่ก็แน่นขึ้นเท่านั้น ร่างใหญ่ถูกแสงอาทิตย์ส่องเกิดเป็นเงาพาดผ่านพื้นตรงจุดที่แม่ทัพหนุ่มยืนหลบรอจังหวะเข้าประชิด
เงาร่างนั้นคุ้นตาเสียจนเขาอดมิได้ต้องกล่าวถามออกไปทั้งที่รู้ว่านี่อาจเป็นความคิดที่โง่งม "...เจ้าคือจงหลวนเคอใช่หรือไม่?"
"ใช่! ข้าคือจงหลวนเคอ..." เสียงทุ้มต่ำก้องกังวานเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงน่าเชื่อถือ
จ้าวหย่งสือได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืดทึบ มองผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มตาด้วยความแน่ใจ "เป็นเจ้าจริงๆจงหลวนเคอ"
ชายร่างใหญ่รีบประสานมือคารวะชายหนุ่มตรงหน้าทันที เขาไม่รอช้าที่จะถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "กู่เหวินเหลียงส่งคนไปแจ้งข้าว่าองค์หญิงถูกลอบสังหาร ให้ข้ารีบตามมาช่วยท่านอารักขา"
"เป็นนางที่ดื้อรั้นออกมาเองทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นเพียงจดหมายลวง" ใบหน้าหมดจดเคร่งเครียดขึ้นมาโดยทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า หากนางอ่อนแอไร้ทางสู้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ป่านนี้นางก็คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณไปแล้ว "ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ใดคิดสังหารนาง?"
แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ "ข้ามิรู้ แต่ข้ามั่นใจนักว่าองค์หญิงต้องรู้แน่"
ภายในห้อง ลู่เหมยกระวนกระวายใจเกรงว่าพี่อาสือที่ยอมเสี่ยงไปปราบคนร้ายด้านนอกจะได้รับอันตรายจากชายที่เขาคิดว่าเป็นโจรป่าผู้นั้น เด็กหนุ่มทนรอมิไหวจึงแอบเปิดประตูย่องออกไปด้วยความกลัวเต็มเปี่ยมแต่ก็เพราะความเป็นห่วงที่ปลุกความกล้าหาญอันน้อยนิดออกมา ทำให้ยามนี้เขามาอยู่หน้าประตูเรียบร้อย
"เจ้าเด็กนี่เป็นใคร?" จงหลวนเคอเอ่ยถามพลางจ้องมองด้วยสายตาพินิจมองหาความกล้าแกร่งในร่างบอบบางแต่เหมือนจะหามิเจอแม้แต่น้อย "เขาเป็นบุตรชายบุญธรรมของท่านหมออี่นามลู่เหมย
"ลู่เหมย นี่คือพี่ชายข้านามอาเคอ" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศรีษะฉีกยิ้มฝืดเคืองให้ชายหนุ่มร่างใหญ่โต ในใจบังเกิดด้วยความรู้สึกผิดที่แอบระเเวงคิดว่าเป็นโจรป่าและยังทำให้เขาโมโหจนแทบจะพังโรงหมอแห่งนี้ด้วยมือเปล่าอีกด้วย...
เช้าวันต่อมาเหยียนซ่านนั่งจิบชาท่าทีนิ่งสงบกลางศาลาในสวนดอกไม้ข้างตำหนักสายตาที่เหม่อมองระลอกคลื่นบนผืนน้ำว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ทว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนตักกลับบีบแน่นคล้ายระงับอารมณ์บางอย่าง บนพื้นข้างกายมีสตรีนางหนึ่งมอบนิ่งสนิท
เหยียนซ่านขยำกระดาษที่ขาดยับปาใส่หน้านางกำนัลนามเจียวอวี่ก่อนพึมพำแววตาเลื่อนลอย "ทำไมต้องเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย..." มิใช่ว่าเสด็จแม่เคยบอกว่าสติปัญญานางมิได้ด้อยไปกว่าผู้ใดหรอกหรือ แต่นี่ก็หลายปีแล้วที่นางทุ่มเทพยายามเพื่อความสำเร็จและวาดหวังที่จะได้รับผลที่น่าพอใจ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเช่นดังที่ผ่านมา!
"องค์หญิงเพคะ หม่อมฉะ..."
"หุบปาก!" นางกดเสียงต่ำตวัดสายตาแข็งกร้าวใส่นางกำนัลคนสนิทด้วยความโมโห "ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดเจ้านังคนชั้นต่ำ!" เหยียนซ่านง้างฝ่ามือหมายระบายโทสะที่อัดแน่นลงบนใบหน้าเนียนของเจียวอวี่
แต่หากสายตานางมิเหลือบเห็นพระสวามีที่เดินตรงมาเสียก่อนก็คงพลาดพลั้งแสดงความผิดพลาดอันใหญ่หลวงออกไปเป็นแน่ หญิงสาวรีบเปลี่ยนท่าทีวางฝ่ามือลงบนศรีษะนางกำนัลคนสนิทพร้อมกับริมฝีปากที่ยกยิ้มบางเบาประดับใบหน้าให้ดูอ่อนหวานอ่อนโยน "เจียวอวี่เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด ไว้หายดีค่อยมารับใช้ข้า" เหยียนซ่านพลิกสถานการณ์ เเสร้งเอ่ยต่อเจียวอวี่ด้วยน้ำเสียงคล้ายห่วงใย พลางลอบมองไปยังพระสวามี เห็นเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมสายตาที่มองตนเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่เช่นเคยก็พลันโล่งใจ
"ซ่านเอ๋อร์ ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน" อ๋องหนุ่มเอ่ยพลางสวมกอดพระชายาแนบแน่น "ท่านตามหาข้าหรือเพคะ?" สืออ๋องพยักหน้าเลื่อนฝ่ามือกอบกุมมือบางก่อนเอ่ยถาม "ตั้งแต่เมื่อวานหลังกลับจากตำหนักไทเฮา เจ้าก็ดูเงียบผิดปกติ มีสิ่งใดทำให้เจ้ามิสบายใจหรือ?" หญิงสาวชะงักหลุบตามองมือหนาที่กุมมือนางไว้ด้วยความรู้สึกสับสน "ท่านอ๋อง..."
นางหยุดคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจยาวตัดสินใจเก็บกลืนความในใจบางอย่างเอาไว้ "...ข้าเพียงเป็นห่วงน้องสามจนคิดมากทำให้ท่านเป็นกังวล ข้าต้องขออภัยนะเพคะ"
รอบกายสองสามีภรรยาสูงศักดิ์โอบล้อมไปด้วยกลิ่นไอแห่งรัก หากเป็นไม่กี่ชั่วยามก่อนซื่ออ๋องผู้นี้อาจรู้สึกยินดีต่อความรักที่คนทั้งคู่มีให้แก่กัน แต่ตอนนี้เขามิอาจทำใจเชื่อได้ลง เพราะทุกการกระทำขององค์หญิงเหยียนซ่านก่อนหน้าที่สืออ๋องจะปรากฏตัวนั้น เขาผู้นี้เป็นคนเห็นอย่างชัดเจนด้วยสองตา จนอดคิดมิได้ว่าสตรีผู้นี้แท้จริงเป็นเช่นไรกันแน่?!
ยามอู่(11.00-12.59) บนเตียงไม้เล็กคับแคบในห้องพักผู้ป่วยโรงหมอสกุลอี่ เหยียนเป่าเริ่มรู้สึกตัวเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความงุนงง นางดันตัวขึ้นอย่างยากลำบากด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดก่อนก้มลงมองสภาพตนเอง ท่อนบนนางมีเพียงเอี๊ยมหนาสีแดงสดผูกสายคล้องคอปิดเพียงหน้าอกแต่เปิดแผ่นหลังบางเปลือยเปล่า ท่อนล่างมีผ้ายาวม้วนพันรอบเอวมัดด้วยเชือกผ้ายึดไว้กันหลุด
เหยียนเป่าลุกขึ้นยืนเดินโซเซไปยังอ่างน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง นางวักน้ำล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก ก่อนกลับมานั่งลงบนเตียงเช่นเดิมเพราะรู้สึกวิงเวียนศรีษะทรงตัวมิอยู่
ระหว่างที่นางนั่งหลับตาอยู่นั้น จงหลวนเคอก็ได้เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาในถาด ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความดีใจที่เห็นองค์หญิงฟื้นขึ้นมานั่งได้จึงรีบตะโกนเรียกจ้าวหย่งสือเสียงดังสนั่นลั่นห้อง "อาสือ! อาเป่าฟื้นแล้ว!!!!!" หญิงสาวสะดุ้งสุดแรงด้วยความตกใจ ลืมตามองเห็นรองแม่ทัพคู่ใจของอดีตสามียืนอยู่ตรงหน้าก็บังเกิดความรู้สึกมึนงงมากขึ้นไปอีก "...รองแม่ทัพ...จงหลวนเคอ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี้?" จงหลวนเคอมิตอบกลับประสานมือคารวะผู้สูงศักดิ์กว่าท่าทีนอบน้อม "จงหลวนเคอคารวะองค์หญิง" เขาเงยหน้ายิ้มระรื่นใส่นางคล้ายคนบ้า
เมื่อครู่เพิ่งตะโกนกู่ร้องจนนางตกใจมิทันไรก็มายิ้มระรื่นใส่ ท่าจะบ้า! เหยียนเป่าก่นด่าในใจ เมื่อครู่นางเอ่ยเพียงไม่กี่คำก็รู้สึกเหนื่อยล้าจึงยังมิอยากโต้เถียงกับผู้ใดให้มากความ ยามนี้ร่างกายนางต้องการพักผ่อนเป็นอย่างมาก ไว้หายดีนางจะสั่งเจ้ายักษ์ตัวแดงนี่ให้วิ่งรอบจวนนางเสียสักร้อยรอบ โทษฐานทำลายความสงบสร้างความตกใจแก่นาง
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมร่างสูงพรวดพราดเข้ามาตามหลังด้วยลู่เหมยที่ถือถาดข้าวต้มมาวางลงบนโต๊ะ เหยียนเป่าเงยหน้าสบสายตากับจ้าวหย่งสือเพียงครู่ก่อนจะเลื่อนจุดสนใจไปยังเด็กน้อยด้านหลัง นางจับจ้องเขามิวางตา "...อาเป่า เจ้าตื่นแล้วกินข้าวกินยาก่อนเถิด" หย่งสือเอ่ยขัดขึ้นน้ำเสียงมิพอใจเล็กน้อย เหยียนเป่าชอบชายงามเพียงใดใครๆก็รู้ หากนางเกิดถูกใจเด็กนี่ขึ้นมา คงมิพ้นนำไปอุปการะเลี้ยงดูแบ่งปันความรักให้เป็นแน่ "เจ้าเป็นบุรุษ ใยมิสวมอาภรณ์เยี่ยงบุรุษเล่า"
เหยียนเป่าเอ่ยถามด้วยความคลางแคลงใจ เด็กหนุ่มผู้นี้รูปงามมิใช่น้อย อีกสองสามปีหากบ่มเพาะให้ดีคงมิพ้นขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในสุดยอดบุรุษที่สตรีหมายปอง แต่ด้วยเหตุอันใดเขาถึงได้สวมอาภรณ์สีสันสดใสเยี่ยงสตรีเช่นนี้หนอ? "พี่สาว ทะ ท่านรู้?"
"...รู้อะไรหรือ?"
"...กะ ก็รู้ว่าข้าเป็นบุรุษมิใช่สตรี" หญิงสาวพลันกระจ่างเป็นเพราะนางมองข้ามความบอบบางของเขาไปจึงมิเห็นว่าแท้จริงเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างดูคล้ายแม่นางผู้งดงามอยู่มิน้อย "เจ้าดูเหมือนเด็กผู้หญิงก็จริง แต่ข้ามองอย่างไรก็เห็นเจ้าเป็นเด็กผู้ชายอยู่ดี..."
ลู่เหมยปลาบปลื้มยินดียิ่งเพราะในที่สุดก็มีคนที่มิเข้าใจผิดในตัวเขา ทั้งยังเอ่ยวาจาคล้ายดั่งน้ำบริสุทธิ์ชะล้างปมด้อยในจิตใจแทบมลายหายจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกมองหญิงสาวด้วยแววตาซาบซึ้ง "เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ..."
เพล้ง! มิทันได้เอ่ยตอบเสียงถ้วยยาตกแตกก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน เหยียนเป่ามองสองบุรุษทั้งสองสลับไปมาสีหน้าเหนื่อยหน่าย เจ้าบ้าพวกนี้แกล้งทำถ้วยยาตกเพื่อแยกลู่เหมยออกจากนางโดยการให้เขาไปต้มยามาใหม่ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากพอสมควร "ลู่เหมย เจ้าคงต้องต้มยามาใหม่แล้ว" จ้าวหย่งสือเอ่ยเสียงเรียบ เด็กหนุ่มไร้เดียงสามิรู้ตัวว่าถูกไล่ทางอ้อมกลับกระตือรือล้นที่จะต้มยาหม้อใหม่เพื่อเหยียนเป่า
จงหลวนเคอรีบดันหลังลู่เหมยออกไปจากห้องก่อนปิดประตูทิ้งอดีตสามีภรรยาให้เผชิญหน้ากันตามลำพัง จ้าวหย่งสือหงุดหงิดไม่น้อยกับเรื่องเมื่อครู่จึงได้เอ่ยขึ้นมา "เขาเป็นเพียงเด็กอายุสิบปี"
"อายุสิบปี อีกห้าปีก็สิบห้า ถ้าอีกสิบปีก็ยี่สิบ ถึงตอนนั้นคง..."
"ท่านเป็นองค์หญิง เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ ประพฤติตนเช่นนี้มิเหมาะมิควร พวกขุนนางยามนี้มิพอใจทูลขอให้ฝ่าบาทปลดท่านจากตำแหน่งเจิ้นกั๋วทุกครั้งที่พระองค์ออกว่าราชการ!" เหยียนเป่าประพฤติตนเช่นนี้มานานหลายเดือนจนไทเฮาคร้านที่จะว่ากล่าวตักเตือน แม้แต่ฝ่าบาทและหรงซูเฟยพระมารดาเลี้ยงก็ยังนิ่งเฉยแสร้งมิรับรู้ในการกระทำของนาง "เรื่องส่วนตัวของข้า! เหตุใดเจ้าพวกนั้นรวมทั้งเจ้าต้องมายุ่งวุ่นวาย ข้าจะ..."
เพราะมีโทสะมากเกินไปจึงเกิดอาการเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา เหยียนเป่ารีบหยุดนิ่งก้มหน้ากอบโกยลมหายใจเข้าปอด คราแรกนางตั้งใจว่าจะมิต่อปากต่อคำกับผู้ใดแล้ว แต่เจ้าคนน่าชังผู้นี้พูดจามิเข้าหู จึงมิอาจนิ่งเฉยให้เขาบ่นว่านางอยู่ฝ่ายเดียวได้
จ้าวหย่งสือเห็นอดีตภรรยามีอาการแปลกๆก็รีบเข้าประคองร่างนางด้วยความเป็นห่วง "...องค์หญิง!" เหยียนเป่าหลับตาลงก่อนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียทั้งที่ยังมิได้กินข้าวดื่มยาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มประคองร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนให้นางได้หนุนไหล่เขาเพื่อพักผ่อนก่อนขยับตัวพิงแผ่นหลังกับพนังห้อง
ไม่นานยาถ้วยใหม่ก็ถูกนำเข้ามา จงหลวนเคอและลู่เหมยลอบยิ้มกับภาพที่เห็นบนเตียงไม้ สองหนุ่มสาวพิงศรีษะกันและกันเข้าสู่ห้วงนิทรา แขนแกร่งโอบรอบเอวบางแน่นราวกับกลัวว่านางจะปลิดปลิวหายไป "สามีภรรยาคู่นี้รักใคร่กันยิ่งนัก" ลู่เหมยเอ่ยขึ้น ตัวเขาเองแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็วาดฝันอยากมีครอบครัวที่ดี หากเมื่อใดที่วันนั้นมาถึงเขาจะเป็นสามีและบิดาที่ดีให้ได้ จะมิทอดทิ้งพวกเขาดังที่บิดามารดาของเขาเคยทำ การเติบโตมาโดยมิมีบิดามารดาปกป้องเลี้ยงดูช่างเป็นชีวิตที่เจ็บปวดเหลือเกิน...
สามวันต่อมาแผลที่หลังเหยียนเป่าเริ่มทุเลาลงไปบ้างแต่มิมากนัก ตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กบนดินแดนซ่งแห่งนี้มีจ้าวหย่งสือ จงหลวนเคอและลู่เหมยคอยดูแลเป็นอย่างดีมิขาดตกบกพร่อง
แต่หลายครั้งจ้าวหย่งสือช่างอ่อนโยนต่อนางเสียจนเกือบลืมเลือนไปแล้วว่าคนที่ดูแลประคบประหงมนางในยามนี้คือคนๆเดียวกับที่มอบหนังสือหย่าให้นางเมื่อหลายเดือนก่อน
เหยียนเป่านั่งกวัดแกว่งเท้าเปลือยเปล่าปัดผ่านผืนน้ำริมสระหลังโรงหมอ นางนั่งครุ่นคิดไปเรื่อยๆพลางเหม่อมองบนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยฝูงนกส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ พวกมันช่างมีอิสระโบยบิน ในขณะที่นางแม้เกิดเป็นองค์หญิงชนชั้นสูงส่งแต่กลับไร้ซึ่งอิสระ บางครั้งบางคราวนางก็เคยเฝ้าถามตนเองว่าแท้จริงแล้วนางต้องการอะไรให้กับชีวิตที่มืดมนนี้กันแน่ อำนาจ เงินทอง ความรัก หรืออิสระดังเช่นที่พระมารดานางเคยโหยหามาก่อน?
"พี่สาว ท่านมานั่งอยู่ที่นี่เอง" ลู่เหมยทรุดตัวนั่งลงข้างหญิงสาวพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อย "เจ้าไปทำอะไรมาหรือ?" สภาพเด็กหนุ่มคล้ายผ่านสมรภูมิมามิมีผิด อาภรณ์ยับยู่หลุดลุ่ยผมเผ้ากระเซิง "ข้าแข่งยิงธนูกับพี่อาสือและพี่อาเคอ แต่พวกเขาแพ้เลยวิ่งไล่ข้า" จ้าวหย่งสือแม่ทัพใหญ่ทหารม้า จงหลวนเคอรองแม่ทัพสังกัดทหารม้า สองคนนี้น่ะหรือจะยิงธนูแพ้เด็กสิบปี มิมีทางเสียหรอก เจ้าสองคนนั้นคงแกล้งยิงพลาดเสียมากกว่า!
"แล้วเจ้ามาหาข้ามีอะไรหรือ?" เด็กหนุ่มกรอกตาไปมาก่อนกระซิบเสียงเบา "...ข้าได้ยินพี่อาเคอเรียกพี่อาสือว่าท่านแม่ทัพ ข้าเลยสงสัย" เหยียนเป่าชะงักนิ่งครุ่นคิดหาคำตอบที่ปลอดภัยที่สุดและมิเป็นการปั้นเสริมเติมแต่งมากเกินไป เพื่อหากวันหนึ่งที่ความจริงปรากฏจะได้มีช่องว่างในการแก้ตัวกับลู่เหมยได้ "...มิแปลกหรอก อาเคอก็ชอบเรียกอาสือว่าท่านแม่ทัพเป็นประจำอยู่แล้ว เจ้าอย่าได้สนใจเลย" นางกล่าวพลางเหลือบสายตามองไปทางสองบุรุษที่ยืนพูดคุยกันอยู่อีกฝากฝั่งของสระน้ำ
วันเวลาจะผ่านไปมากเท่าไหร่ จ้าวหย่งสือก็ยังคงเป็นบุรุษที่นางมิเคยเข้าใจหรือสามารถอ่านเขาได้อย่างทะลุปุโปร่งดังเช่นที่เคยทำได้กับผู้อื่น หากเปรียบเขาเป็นหนังสือก็คงเป็นเพียงหนังสือที่ไร้อักษร...
"พี่สาว ท่านกับพี่อาสือแต่งงานกันมานานเท่าใดแล้วหรือ?" เพราะเป็นคำถามที่มิได้ยินมาเนิ่นนานและมิอยากตอบมากที่สุดเหยียนเป่าจึงเกิดอาการนิ่งงันไปชั่วขณะ "พี่สาวๆ ท่านเป็นอะไรไป?!"
"...อะ เอ่อ ขะ ข้าปวดหัวอยากพักผ่อนอีกแล้ว..." นางแสร้งยกมือคลึงบริเวณขมับพร้อมกับปิดเปลือกตาเอนกายพิงต้นไม้ เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยปากขึ้น "พี่สาวข้าพอมีฝีมือการนวดอยู่บ้าง ถ้าท่านมิรังเกียจ..."
"ถ้าเจ้าอยากจะช่วยข้า ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร"
ลู่เหมยยิ้มกว้างตบฝ่ามือลงบนตัก "เช่นนั้นเชิญพี่สาวนอนลงตรงนี้เถิด" เหยียนเป่าทำตามอย่างว่าง่ายเอนตัวนอนหนุนศีรษะลงบนตักเด็กหนุ่ม นิ้วเรียวยาวคลึงนวดบริเวณขมับเบาๆทำหญิงสาวรู้สึกเคลิบเคลิ้มผ่อนคลายจนเผลอหลับไป
อีกฝากฝั่งจงหลวนเคอเบิกตากว้างสะกิดจ้าวหย่งสือพร้อมพยักเพยิดไปทางลู่เหมยและเหยียนเป่า "องค์หญิงสามเสน่ห์เหลือล้น ดึงดูดบุรุษได้ทุกหนแห่งที่ไปเยือน" รองแม่ทัพหนุ่มกระซิบกระซาบพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้าไปด้วย "เจ้าดูสิ ขนาดเด็กอย่างเจ้านั่น...อะ อ้าว ท่านแม่ทัพ ท่านจะไปไหน?!"
จ้าวหย่งสือสาวเท้าอ้อมสระน้ำเดินตรงเข้าหาลู่เหมยที่ยังคงนวดคลึงศีรษะเหยียนเป่า
ที่หลับตาพริ้มอย่างตั้งอกตั้งใจ "ทำอะไรอยู่หรือ?" แม่ทัพหนุ่มข่มอารมณ์เอ่ยถามด้วยท่าทางน้ำเสียงปกติ "ข้ากำลังนวดศีรษะให้พี่สาวอยู่เพราะเมื่อครู่นางบ่นว่าปวดหัว" เด็กหนุ่มเอ่ยตอบก่อนกระซิบเสียงเบา "นางหลับไปแล้วท่านรีบพานางไปพักผ่อนในห้องเถิด"
จ้าวหย่งสืออุ้มช้อนร่างบางขึ้นเดินตรงเข้าไปในโรงหมออย่างรวดเร็ว ระหว่างที่ลู่เหมยกำลังจะเดินตามไปด้วยนั้น จงหลวนเคอก็โผล่ออกมาคว้าคอเสื้อเด็กหนุ่มเอาไว้เสียก่อน "นี่! ท่านจะทำอะไรข้า?!"
"ต่อไปนี้ห้ามเจ้าเข้าใกล้อาเป่าอีก!"
"ท่านมีสิทธิ์อะไรมิให้ข้าเข้าใกล้พี่สาว?!" ลู่เหมยย้อนถามอย่างมิพอใจ " เจ้ามิเห็นหรือว่าอาสือมิพอใจมากเพียงใดที่เจ้าใกล้ชิดนาง"
"พวกท่านจิตใจสกปรก! ข้ามิได้คิดอะไรกับพี่สาวเสียหน่อย!" เขาโวยวายเสียงดัง ตัวเขาแม้เป็นบุรุษก็จริง แต่อายุก็ยังน้อยเพียงสิบปีเท่านั้น ความรักหนุ่มสาวเป็นเช่นไรเขาหารู้ไม่ แล้วเช่นนี้เขาจะไปมีความรู้สึกเกินเลยกับพี่สาวดั่งเช่นที่พี่อาสือรู้สึกได้เช่นไร
ขณะที่ภายนอกเกิดสงครามย่อยๆระหว่างหนึ่งบุรุษร่างใหญ่และหนึ่งเด็กหนุ่มร่างบอบบาง ภายในกลับโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ จ้าวหย่งสือค่อยๆวางร่างเหยียนเป่าลงบนเตียง แต่เพราะบาดแผลด้านหลังปิดสนิทแห้งลงแล้วนางจึงมิต้องนอนคว่ำหน้าอีกต่อไป
แม่ทัพหนุ่มนั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่างก่อนล้วงมือหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาคลี่อ่าน จดหมายลับฉบับนี้ถูกส่งมาจากรองแม่ทัพเซิน เนื้อความว่าด้วยเรื่องวิกฤติในกองทัพ ซึ่งต้นเหตุเกิดจากสวี่เสียนเฟยที่ต้องการแทรกแซงอำนาจทางการทหาร ส่งผลให้หลายปีมานี้คนของนางจึงถูกส่งเข้ามารับราชการฝ่ายบู๊หลายคน แต่ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนางได้ส่งหลานชายแท้ๆนามสวี่ซิ่วเข้ามาในกองทัพ ด้วยนิสัยพื้นเพเป็นคนยโสโอหัง เกียจคร้านเสเพล เพียงไม่กี่วันก็สร้างเรื่องมากมายทำกองทัพวุ่นวาย จนรองแม่ทัพเซินทนมิไหวต้องเรียกตัวมาตักเตือน วันรุ่งขึ้นเขาก็ถูกสวี่เสียนเฟยเรียกเข้าเฝ้าโดนตำหนิต่อว่าโดยมีสวี่ซิ่วยิ้มเย้ยเยาะอยู่ข้างๆ
จ้าวหย่งสือพับจดหมายเก็บลงสาบเสื้อพลางถอนหายใจยาวสีหน้าอ่อนล้ายิ่งนัก เพียงไม่กี่วันที่ได้ใช้ชีวิตสุขสงบที่นี่ พอหวนนึกถึงความเป็นจริงที่รออยู่ก็ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาต่อภาระหน้าที่ในกองทัพจนอยากทิ้งทุกสิ่งอย่างแล้วหลบไปอาศัยในสถานที่เงียบสงบสักที่ มิต้องมีบ่าวไพร่คอยรับใช้ มิต้องมีเงินทองล้นหีบ มิต้องมีเรือนหลังใหญ่โต ขอเพียงครอบครัวที่สมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว...
เมื่อตะวันลับขอบฟ้าก็เข้ายามซวี (19.00-20.59) วันนี้ชาวบ้านรวมตัวกันเดินขึ้นเขาเข้าวัดสวดมนต์ภาวนา แต่เพราะเหยียนเป่ายังคงหลับไหลจ้าวหย่งสือจึงมิอาจเดินทางไปด้วยได้ ปล่อยให้ท่านหมออี่พาจงหลวนเคอและลู่เหมยขึ้นเขาส่วนเขาอยู่เฝ้าอดีตฮูหยินตามลำพัง
จ้าวหย่งสือคิดมากเรื่องในกองทัพจึงนอนไม่หลับ เขานั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่างจ้องมองเหยียนเป่าที่ยังคงหลับไหลผ่านความมืดมิด จากกันครั้งนี้มิรู้ว่าเมื่อใดจะได้เจอกันอีก ตัวเขาเองก็ต้องกลับไปสะสางปัญหาใหญ่ในกองทัพ ส่วนนางตราบใดที่ยังมิมีพระบัญชาจากฝ่าบาทเรียกตัวกลับต้าไห่ ก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ซ่งต่อไป
หนึ่งเค่อต่อมา (1เค่อ=15นาที) หญิงสาวลืมตาขึ้นกวาดตามองไปรอบๆด้วยความงุนงงรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบเหงาผิดปกติ นางลุกพรวดขึ้นนั่งเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกแต่กลับได้ยิรเพียงความเงียบดังเดิม อีกทั้งวันนี้มิมีแสงจากดวงจันทร์สาดส่องเช่นทุกวัน นางจึงเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่เมื่อหญิงสาวมองหาสิ่งที่พอจะใช้เป็นอาวุธกํพลันนึกขึ้นได้ว่าข้างกายนางไร้กระบี่คู่ใจมาหลายวันแล้ว เหยียนเป่ากระวนกระวายใจเป็นอย่างมากรีบลุกขึ้นตรงไปยังประตูหมายออกไปตามหากระบี่ทั้งสองเล่มของตนด้านนอก
ทันทีที่มือเอื้อมถึงประตูเอวบางก็ถูกคว้าไว้เสียก่อนพร้อมเสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูที่ทำร่างทั้งร่างของนางชาวาบ "เจ้าจะไปไหนอาเป่า" ทั้งสัมผัสทั้งเสียงนี่มันจ้าวหย่งสือชัดๆ "เจ้าจะทำอะไรหย่งสือ?" เหยียนเป่าพยายามควบคุมเสียงที่เปล่งให้เรียบนิ่งที่สุด แต่ทว่าในยามนี้มันช่างเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
"...พรุ่งนี้ข้าจะไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หาย ข้าจะให้จงหลวนเคออยู่ดูแลเจ้า" ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเสียงเบาบางพลางเพิ่มแรงกอดรัดแน่นขึ้นจนหญิงสาวเริ่มรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจมิออก "...หย่งสือ ขะ ข้าหายใจมิออก" อ้อมแขนที่กอดรัดคลายลงเพียงเล็กน้อยให้ลดความอึดอัดแต่ก็ยังกักกันนางไว้เช่นเดิมมิมีท่าทีว่าจะปล่อยไปง่ายๆ
ชายหนุ่มก็ยังคงโอบรัดเอวบางเอาไว้พร้อมซบใบหน้าลงบนศรีษะหญิงสาว "วันนั้นเจ้าสาปแช่งให้ข้าต้องทุกข์ทนทรมาน ตอนนี้สมใจปรารถนาเจ้าแล้ว เป่าเอ๋อร์" ในตอนนั้นเป็นเขาที่มอบหนังสือหย่าให้แก่นาง ทำลายความรักบริสุทธิ์ที่นางมอบให้โดยมิคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน หากในภายภาคหน้านางจะมิให้อภัยเขาก็จะมิขอร้องอ้อนวอนให้นางต้องลำบากใจ แต่ในวันนี้วันที่เขายังพอมีโอกาสแก้ตัวเขาก็จะขอทำให้ดีที่สุดก่อน
เหยียนเป่าสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆจ้าวหย่งสือก็พลิกตัวนางให้หันมาเผชิญหน้า สายตาที่จ้องมองมาลึกซึ้งเต็มไปด้วยความรักใคร่จนนางเผลอสบสายตาเขานิ่งโดยมิรู้ตัว...