บาดเจ็บ

3820 Words
3 "องค์หญิง!" เหยียนเป่าเงยหน้ามองต้นเสียงก่อนสบสายตาเข้ากับจ้าวหย่งสือที่นั่งสง่าอยู่บนหลังม้า นางชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนลุกพรวดขึ้น รีบเก็บกระบี่เข้าฝัก"เกิดอะไรขึ้น?!" จ้าวหย่งสือเอ่ยถามก่อนกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าหาร่างบาง แววตาเขาฉายความเป็นห่วงออกมาอย่างแจ้งชัดทำหัวใจหญิงสาวเกือบวูบไหว เหยียนเป่ารีบเบนสายตาหนีมองไปทิศทางอื่นหลบเลี่ยงการสบสายตาอดีตสามีน่าชังให้ใจไขว้เขว ระหว่างนั้นเหยียนเริ่นได้ลงมาจากรถม้า กวาดสายตาไปรอบทิศทางมองร่างไร้วิญญาณมากมายกองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!" เขาเอ่ยถามพลันสายตาปะทะเข้ากับร่างบางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด "น้องสาม! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!" เหยียนเป่านิ่งเงียบไปชั่วครู่ชั่งใจก่อนเอ่ยตอบ "มีคนส่งจดหมายให้ข้าออกมาที่นี่" นางกล่าวพร้อมยกแขนเสื้อปาดเหงื่อพลางปรายตามองศพเหล่านั้นครู่หนึ่ง "มีใครบางคนคิดสังหารข้า..." "คนผู้นั้นพยายามเลียนแบบลายพระหัตถ์เสด็จพ่อ ล่อข้าออกมาจากชิงเถา" ในขณะที่พี่น้องคนอื่นต้องร่ำเรียนกับท่านราชครูสั่ว มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ร่ำเรียนกับพระบิดาโดยตรง และทุกตัวอักษรในตำราที่นางใช้ศึกษาได้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายพระหัตถ์ที่เป็นเอกลักษณ์แม้ฝีมือลอกเลียนยอดเยี่ยมเพียงใดก็ยากที่จะเหมือน "ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นจดหมายลวง แต่เจ้าก็ยังโง่พาชีวิตมาทิ้งที่นี่!" แม้ตัวเขาและน้องสาวผู้นี้จะมิค่อยสนิทสนมกันทั้งยังคล้ายเป็นศัตรูคู่แข่ง แต่เห็นนางมุทะลุพาตัวมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ก็อดหงุดหงิดมิได้ "ท่านก็เห็นอยู่ว่าข้ายังมิตายเสียหน่อย" "เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้แม่ทัพจ้าวไปส่งเจ้ากลับชิงเถา" เหยียนเป่ารีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยทันที หากจะให้นางร่วมเดินทางกับบุรุษผู้นี้นางขอเดินเท้ากลับเองยังจะดีเสียกว่า "ข้ากลับเองได้ เจ้ามิต้องลำบากไปส่งข้าหรอก" นางว่าก่อนรีบสาวเท้ามุ่งหน้ากลับชิงเถาโดยทันที "จากนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ตราบใดที่ใจเจ้ายังร้องเรียกหานางก็อย่ามัวชักช้าอยู่เลย หย่งสือ" เหยียนเริ่นกล่าวสะกิดเตือนสติสหายหนุ่ม หลายเดือนมานี้เขาเองมิสามารถสบสายตาน้องสาวได้อย่างสนิทใจนัก หนิวเลี่ยงลี่อย่างไรก็ข้องกับเขาโดยตรงด้วยนางเป็นคนในตระกูลหนิว ทั้งยังเป็นหลานสาวคนโปรดของฮองเฮาพระมารดา การที่นางเป็นต้นเหตุของรอยร้าวระหว่างน้องสาวและสหายทำเขารู้สึกผิดและลำบากใจอยู่มิน้อย แต่เหยียนเริ่นมิเคยเข้าใจในตัวสหายเลยว่าเหตุอันใดจ้าวหย่งสือถึงต้องแสร้งทำเป็นรักใคร่ลุ่มหลงหนิวเลี่ยงลี่ให้เหยียนเป่าต้องเจ็บปวดจนทนอยู่จวนสกุลจ้าวมิได้ ทั้งยังเป็นผู้เอ่ยปากขอหย่าขาดจากนางด้วยตนเองราวกับหมดสิ้นเยื่อใยต่อกัน ตลอดชีวิตเหยียนเป่าเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เป็นองค์หญิงที่ราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ เป็นองค์หญิงที่ข้าราชบริพารยกย่องเชิดชู แต่ทว่าครั้งหนึ่งในชีวิตนางเคยต้องทุกข์ทนเพราะเหตุการณ์บางอย่างในอดีต จนกระทั่งนางได้พบกับแม่ทัพใหญ่จ้าวหย่งสือที่เข้ามาเยียวยาจิตใจอ่อนแอบอบช้ำให้กลับมาเข้มแข็ง แต่ใครจะไปคิดว่าบุรุษที่ฉุดรั้งนางขึ้นมาจากก้นหลุมแห่งความทุกข์ในวันนั้นจะเป็นคนเดียวกันกับบุรุษที่ผลักนางลงไปติดใต้หลุมเดิมอีกครั้งในวันนี้... ในฐานะที่เป็นสหายร่วมสุขร่วมทุกข์ผ่านความเป็นตายมาด้วยกันนานนับหลายปี เหยียนเริ่นก็มิอาจปักใจเชื่อได้ว่าจ้าวหย่งสือหมดสิ้นรักต่อน้องสาวของเขาแล้วอย่างแท้จริง ด้วยเพราะหลังหย่าขาดจากเหยียนเป่าสหายหนุ่มผู้นี้ก็มิเคยสนใจใยดีหนิวเลี่ยงลี่ปล่อยนางทิ้งไว้ในจวนออกมาอาศัยกินนอนในค่ายทหารม้าเป็นเวลาหลายเดือน จนญาติผู้น้องเขา เส้นทางยาวไกลคงมิเป็นปัญหาหากนางมิต้องทนร่วมเดินทางกับอดีตสามีน่าชังที่เดินจูงม้าตามหลังนางต้อยๆเช่นนี้ เหยียนเป่าถอนหายใจทิ้งเป็นระยะ ยามนี้นางเหนื่อยกายเหนื่อยใจทั้งยังรู้สึกเวียนศรีษะแต่ก็ยังคงต้องฝืนทน จ้าวหย่งสือผู้นี้หัวดื้อรั้นมิแพ้นางต่อให้เอ่ยขับไล่ไปก็เปล่าประโยชน์ สู้เก็บแรงเอาไว้เดินทางมุ่งสู่จุดหมายยังจะดีเสียกว่า ในขณะที่เหยียนเป่ากัดฟันแน่นแสร้งปั้นหน้านิ่งทั้งที่ร่างกายเริ่มแสดงอาการบาดเจ็บที่พลาดจากการปะทะเมื่อครู่ แต่ก็จำต้องนิ่งเฉยมิแสดงความอ่อนแอต่อหน้าอดีตสามี ขอเพียงผ่านเข้าเมืองหลวงแยกทางกับจ้าวหย่งสือเสียก่อน จากนั้นค่อยพาตัวเองไปรักษาก็ยังมิสาย แต่ทว่าหากบาดแผลกลางหลังยังคงหลั่งเลือดออกมามิหยุดเช่นนี้ เห็นทีนางคงทนได้มินานเป็นแน่ จ้าวหย่งสือที่เดินตามหลังร่างบางเงียบๆย่อมสังเกตุเห็นความผิดปกติอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มรู้ว่านางบาดเจ็บแต่ยังแสร้งนิ่งเฉยเพราะมิต้องการความช่วยเหลือจากเขา "ระยะทางยังอีกยาวไกลหากบาดแผลบนหลังท่านมิได้รับรักษาอย่างทันท่วงทีเกรงว่าอาการจะแย่ลงกว่านี้" เหยียนเป่าชะงักสวนกลับเสียงเรียบ "ข้ามิได้เป็นอะไรเสียหน่อย" ว่าจบก็ฝืนกายเดินต่อมิลดละความตั้งใจคราแรกที่จะเดินเท้ากลับชิงเถาโดยทิพึ่งพาคนน่าชัง แต่ทว่าจ้าวหย่งสือมิอาจทนเห็นคนดื้อรั้นดึงดันต่อไปทั้งที่เลือดจากบาดแผลยังหยดลงพื้นมิหยุดเช่นนี้ "องค์หญิง ท่านเสียเลือดมากแล้วรีบขึ้นม้าเถิด!" แม้ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมเพียงใด องค์หญิงหัวดื้อก็ยังคงก้าวเท้าเดินต่อไปทั้งยังแสร้งหูทวนลมทำเป็นมิได้ยินคำพูดเขา แม่ทัพหนุ่มตัดสินใจตรงเข้าช้อนร่างบางโดยที่นางมิทันตั้งตัวก่อนทะยานกายขึ้นหลังม้ากักตัวนางไว้ในอ้อมแขนมิสนเสียงโวยวาย "อ๊ะ! นี่! ปล่อยข้านะ! เจ้าฟังมิรู้เรื่องหรืออย่างไร ข้าบอกว่าข้ามิได้เป็นอะไรใยเจ้าต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้าด้วย!" เหยียนเป่าดิ้นกายไปมาหมายหลุดออกจากอ้อมแขนแกร่ง แต่เรี่ยวแรงที่มีกลับมิเป็นดั่งใจทั้งยามนี้สายตาพลันพร่ามัวหัวหมุนมึนงง เพียงไม่นานก็สิ้นฤทธิ์สลบซบลงคาอ้อมอกชายหนุ่ม จ้าวหย่งสือถอดชุดเกราะออกก่อนบังคับม้าตรงเข้าหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เขากระชับอ้อมแขนที่โอบอุ้มเหยียนเป่าให้แน่นขึ้นก่อนทะยานกายกระโดดลงจากหลังม้า เดินตรงเข้าหมู่บ้านพลางกวาดสายตามองไปรอบข้างที่เงียบสงัดไร้เงาผู้คน แต่เพราะบ้านเรือนที่สะอาด เสื้อผ้าที่ถูกตากแห้งได้มินาน กลิ่นอาหารที่อบอวล สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามั่นใจว่าหมู่บ้านนี้มิได้ร้างราเพียงแค่เงียบสงบเท่านั้น ระหว่างที่จ้าวหย่งสือสอดส่องสายตามองหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ เสียงบางอย่างก็ดังแหวกอากาศเข้ามาทางด้านหลัง ชายหนุ่มรีบเบี่ยงกายหลบหลีกไม้แหลมที่พุ่งตรงมา ก่อนทะยานกายขึ้นหลังคาบ้านหลังหนึ่งหลบหลีกการลอบโจมตี พลันสายตาคมปะทะเข้ากับร่างเล็กเด็กหญิงวัยแปดเก้าปีผู้หนึ่งยืนถือธนูอันใหญ่อยู่ในมือ แววตานางที่เงยมองเขาช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย "ท่านเป็นใคร?! กล้าล่วงล้ำเข้ามาที่นี่โดยมิขออนุญาติ!" เสียงเล็กนั่นตะเบ็งถามสายตาที่จับจ้องคนแปลกหน้าเช่นเขาไร้ซึ่งความหวาดหวั่น "ฮูหยินข้าได้รับบาดเจ็บต้องการหมอรักษา หาได้มีเจตนาที่จะบุกรุก" เด็กหญิงร่างเล็กเพ่งสายตามองไปยังร่างบางในอ้อมแขนแกร่งนั้นอย่างมิไว้วางใจนัก "ทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ?" "นางเป็นชาวยุทธ์ถูกลอบทำร้าย" เขาจำต้องปิดบังสถานะเอาไว้ด้วยเพราะที่นี่อย่างไรก็คือแคว้นซ่ง หากเปิดเผยตัวตนคงยากที่จะขอความช่วยเหลือเพราะเป็นชาวต่างแคว้น "เห็นแก่พี่สาวคนนั้นข้าจะยอมบอก โรงหมอผู้เฒ่าอี่อยู่ท้ายหมู่บ้านเชิญท่านไปหาเองเถิด" "ขอบใจแม่นางน้อย" จ้าวหย่งสือเอ่ยขอบคุณในน้ำใจของนาง แต่ทว่าคล้ายกับเป็นการทำให้นางมิพอใจเสียมากกว่า ร่างเล็กตวัดสายตาเกรี้ยวกราดใส่เขาก่อนโวยวายเสียงดังน้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะ "แม่นางน้อยมารดาท่านสิ ข้าเป็นผู้ชาย!" หลังผ่านเหตุการณ์เข้าใจผิดจนต้องเกลี้ยกล่อมขอโทษจนหนุ่มน้อยหน้าหวานยอมลดโทสะลง จ้าวหย่งสือก็รีบเดินเท้าตรงมายังท้ายหมู่บ้านเห็นตึกไม้สามชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางดงสมุนไพร ชายหนุ่มมิรอช้าสาวเท้าเข้าไปยังด้านในโดยทันที ด้านในโรงหมอสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ กลางโถงมีตู้สมุนไพรจัดตั้งวางไว้ ลึกเข้าไปมีฉากสูงกั้นเอาไว้คาดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับรักษาผู้ป่วย ด้านข้างถูกปิดด้วยม่านโปร่งเผยให้เห็นเงาร่างท้วมเลือนราง "เข้ามาในนี้เถิด" เสียงทุ้มแหบแห้งเอ่ยขึ้นหลังม่าน จ้าวหย่งสือมิมัวรีรอเเหวกผ้าบางโปร่งเดินเข้าไปก่อนวางร่างเหยียนเป่าลงบนเตียงในท่านอนคว่ำ หมอชรารีบคว้ามีดเฉือนตัดเสื้อที่หุ้มกายส่วนบนออกเป็นทางยาวจนเห็นแผลฉกรรจ์จากคมกระบี่พาดเอียงกลางหลัง ปากแผลที่ปริออกทำให้เลือดหลั่งมิหยุด "นางเสียเลือดมาก" ชายหนุ่มสีหน้าวิตกกังวลกอบกุมมือบางไว้ตลอดเวลา "นางเสียเลือดมากก็จริง แต่ร่างกายนางนับว่าแข็งแรงมิน้อย หากมิใช่ผู้ฝึกยุทธ์อาจมิรอดแล้ว" ชายชราหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดคราบเลือดออกจากบาดแผลก่อนขอแรงชายหนุ่มบดสมุนไพรนำมาทาปิดปากแผลเอาไว้ "ข้าจะไปต้มยาเชิญท่านพักผ่อนตามสบายเถิด" "ขอบคุณท่านหมอ" จ้าวหย่งสือประสานมือคารวะหมอชราก่อนหันกลับมาดูแลเช็ดตัวบรรเทาความร้อนจากพิษไข้ให้เหยียนเป่าที่สะลึมสะลือเปิดเปลือกตาขึ้นมาเห็นภาพซื่ออ๋องซ้อนทับใบหน้าแม่ทัพหนุ่มก็เผลอเพ้อเรียก "...อาเฮ่า" มือหนาที่ถือผ้าชะงักนิ่ง สายตาจ้องมองริมฝีปากเล็กที่พร่ำเรียกหาชายอื่นมิวางตา "...อาเฮ่า" เหยียนเป่ายังคงพึมพำเสียงแหบแห้งเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อจ้าวหย่งสือกำเเน่น ก่อนหลับตาลงแน่นิ่งเข้าสู่นิทราไปอีกครั้ง แม่ทัพหนุ่มวางผ้าพาดลงบนอ่างน้ำพลางยกมือลูบศรีษะหญิงสาวแผ่วเบาพยายามมองข้ามเรื่องเมื่อครู่ทั้งที่ได้ยินด้วยหูเห็นด้วยตาว่านางเพิ่งละเมอเพ้อหาชายอื่น แม้จะอยากทำใจให้ชินชากับสิ่งที่นางเป็น ณ ตอนนี้ แต่ทว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะยอมรับและต้องทนเห็นคนที่ตนรักเก็บชายอื่นไว้ในใจแม้ยามไร้สติก็ยังนึกถึงแต่คนผู้นั้น "...เป่าเอ๋อร์ ใจเจ้าลืมข้าหมดสิ้นแล้วหรือ" เขาครวญถามแผ่วเบามิได้วาดหวังหาคำตอบใดๆเพราะรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่านางมิเหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นม่ายแต่กลับมิมีผู้ใดตั้งแง่รังเกียจทั้งยังเข้าหานางมิหยุดหย่อน ขุนนางใหญ่หลายคนเลือกมองข้ามความเป็นม่ายหมายให้บุตรหลานได้ครองคู่องค์หญิงข้างราชบัลลังค์มังกรเพื่อประดับบารมี ทั้งยามนี้รอบกายนางห้อมล้อมไปด้วยบุรุษรูปงามมากมาย นอกจากสามบุรุษที่นางให้ความไว้ใจมอบจวนองค์หญิงให้ดูแลแล้วก็ยังคงมีอาเฮ่าผู้นี้ที่นางเรียกหา เป็นเช่นนี้แล้วพื้นที่ในใจนางยังจะเหลือถึงเขาอยู่อีกหรือ? ค่ำคืนนี้เหน็บหนาวยิ่งนักแต่เหยียนเป่ายังต้องนอนคว่ำหน้าเพื่อมิให้แผลด้านหลังถูกกดทับและยิ่งมิสามารถห่มผ้าได้ ร่างบางสั่นสะท้านหนาวเหน็บพึมพำเรียกหาอดีตสามีผ่านความมืดรอบกาย "...หย่งสือ" คนถูกเรียกหายามนี้นั่งอยู่ขอบหน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้ามืดมิดที่มีเพียงเเสงจันทร์ส่องสว่างเคียงข้างดวงดาวทอประกายระยิบระยับ "...หย่งสือ" เสียงแหบแห้งดังแว่วเข้าหูแม่ทัพหนุ่มลุกพรวดคว้าโคมไฟเดินตรงมายังร่างบางก่อนหย่อนกายนั่งลงฟังเสียงนางละเมอเพ้อเรียกหา มือหนาเลื่อนกอบกุมมือบางแนบแน่น "...ข้าหนาว" นางต้องเปลือยแผ่นหลังเพราะทาสมุนไพรเอาไว้ทั้งยังไข้ขึ้นสูงหนาวถึงกระดูกเช่นนี้ หากมิได้รับความอบอุ่นเกรงว่าอาการป่วยอาจกำเริบขึ้นได้ แม่ทัพหนุ่มประคองร่างบางให้นั่งขึ้นโอบนางไว้ในอ้อมแขนก่อนค่อยเอนตัวลงนอนหงายโดยที่หญิงสาวนอนซบอยู่บนอกแกร่ง เนื้อตัวเหยียนเป่าภายนอกร้อนรุ่มภายในเย็นยะเยือกมิสบายตัวแต่เมื่อได้รับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านสัมผัสจากชายหนุ่มก็พลันสงบลงได้ จ้าวหย่งสือประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนางอยู่พักหนึ่งก่อนปิดเปลือกตาลงเข้าสู่นิทราไป ท่ามกลางความมืดรอบข้างเต็มไปด้วยดงดอกไม้งาม เหยียนเป่าก้าวเดินอย่างเชื่องช้าใจสั่นระรัวสายตาจับจ้องแผ่นหลังบางในอาภรณ์ขาวราวกับต้องมนต์ "...เป่าเอ๋อร์" เพียงน้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกขึ้นหยาดน้ำตาก็พลันเอ่อล้นโดยทันที หลายปีแล้วที่มิได้พบเจอกันท่านไปอยู่ที่ใดมา... "...เสด็จแม่" หญิงสาวพุ่งตัวเข้าสวมกอดสตรีตรงหน้าพลางร่ำไห้น้ำตานอง "...ท่านแม่ ท่านหายไปไหนมา..." นางสะอื้นเอ่ยถามแขนสองข้างกอดรัดพระมารดาไว้แน่นมิยอมคลาย "แม่อยู่กับเจ้าเสมอลูกรัก" รอยยิ้มบางเบาประดับบนใบหน้างามอ่อนเยาว์สายตาที่มองบุตรสาวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนรักใคร่ "...มิจริง ถ้าท่านอยู่กับข้าเหตุใดข้าถึงมิเคยเห็นท่านเลยเล่า?" มือบางซีดขาวยกขึ้นลูบศรีษะพระธิดาเอ่ยขึ้นเสียงบางเบา "...แม้เจ้ามิเห็นแม่ แต่แม่คอยมองและอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ..." "...เป่าเอ๋อร์ลูกของแม่ต้องเข้มแข็งก้าวผ่านอุปสรรคในภายภาคหน้าให้ได้ และที่สำคัญจงมีสติตัดสินและมองทุกอย่างด้วยปัญญาที่เจ้ามีอย่าได้ใช้อารมณ์นำทาง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นชะตาฟ้ากำหนด..." "...ดั่งเช่นเราสองแม่ลูก ที่ถูกกำหนดให้แยกจากกัน..." สิ้นประโยคสุดท้ายร่างบางในอาภรณ์ขาวก็เลือนลางจางหายไปในอากาศทิ้งเหยียนเป่ายืนเคว้งคว้างตามลำพังท่ามกลางดอกไม้เหี่ยวเฉา... ร่างบางกระสับกระส่ายเหงื่อแตกพลั่กจนชุ่มกายพึมพำเรียกหามารดาเสียงแผ่ว "...เสด็จแม่.." จ้าวหย่งสือลืมตาตื่นเพราะรู้สึกถึงความเปียกชื้นอาภรณ์ที่สวมใส่ แต่เพราะได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นเขาถึงได้ละความสนใจจากตนไปยังร่างบาง แสงสว่างเพียงนิดจากโคมไฟที่แขวนบนหัวเตียงส่องสะท้อนใบหน้างามให้เห็นหยดน้ำใสไหลรินจนขนตาเเพหนาเปียกชุ่ม แม่ทัพหนุ่มสงสารอดีตฮูหยินจับจิตจับใจเสียงสะอื้นของนางบีบรัดดวงใจเขาจนเจ็บปวดตาม พลันทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อนครั้งเขายังอายุเพียงสิบสี่ปี ยามนั้นหนิวฮองเฮาพระมารดาองค์รัชทายาทและองค์หญิงใหญ่เหยียนซ่าน ยังคงเป็นเพียงหนิวกุ้ยเฟยเท่านั้น ฮองเฮาพระองค์แรกคือหานฮองเฮาพระมารดาเหยียนเป่า แม้ร่างกายอ่อนเเอแต่เพราะเป็นบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของอดีตอัครเสนาบดีหานห้าวตงทั้งยังเป็นที่ต้องพระทัยฮ่องเต้ ทำให้นางถูกส่งตัวเข้าวังต้องแบกรับความภาระและความกดดันจากการเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน หลังจากนั้นมินานนักหานฮองเฮาได้ตั้งครรภ์แม้จะคลอดออกมาเป็นหญิงแต่นางก็ยังคงได้รับความรักความโปรดปรานเช่นเดิม ยิ่งวันเวลาล่วงเลยผ่านไปพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวของนางก็เริ่มแสดงความเก่งกาจเฉลียวฉลาดเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาเป็นอย่างมาก แต่ทว่าชีวิตที่รอบล้อมไปด้วยความสุขนั้นได้หยุดชะงักลงเมื่อหานฮองเฮาล้มป่วยอย่างหนักโดยที่หมอหลวงก็มิอาจยืดยื้อชีวิตนางไว้ได้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในชีวิตองค์หญิงสามเหยียนเป่า หลังสูญเสียมารดานางในวัยสิบปีก็ถูกส่งไปยังสำนักวรยุทธ์สืออู่ ส่วนตระกูลหานของมารดาอำนาจก็เริ่มสั่นคลอนเมื่อท่านตาผู้เป็นอัครเสนาบดีตรอมตรมใจอย่างหนักมิยอมกินยอมนอนล้มป่วย มิพ้นหนึ่งเดือนก็สิ้นใจตายตามบุตรสาวไป เพราะตระกูลหานและตระกูลจ้าวมีสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด ก่อนหานห้าวตงสิ้นใจจึงได้ฝากฝังขอให้เขาช่วยดูแลเหยียนเป่าแทน ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างแก่เขาโดยได้กำชับให้เก็บเป็นความลับอย่าได้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด... แม่ทัพหนุ่มเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนานรู้ตัวอีกทีฟ้าก็เริ่มสางจนได้ยินเสียงนกร้องประสานดังไปทั่วทั้งผืนฟ้า แต่เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนช่วงเวลาพักฟื้นของเหยียนเป่าเขาจึงใช้มือทั้งสองข้างปิดหูนางเอาไว้รอจนกว่านกน้อยทั้งหลายจะบินจากไป "...ฮูหยินท่านเป็นเช่นไรบ้าง?" หมอชราเดินเข้ามาตามหลังด้วยเด็กหนุ่มหน้าหวานคนเดียวกันกับที่ยิงธนูไม้ใส่เขาเมื่อวาน จ้าวหย่งสือประคองร่างบางในอ้อมแขนอย่างระมัดระวังก่อนดันตัวตัวขึ้นนั่ง "ลู่เหมยวางอ่างน้ำไว้บนโต๊ะ" เด็กหนุ่มใบหน้าหงิกงอเมื่อสายตาขบขันคู่นั้นที่จ้องมองเขา ...สวรรค์ใจร้ายส่งข้ามาเกิดในร่างบุรุษใยมิสร้างข้าให้ดูเป็นชายชาตรีเช่นคนอื่น ทั้งยังดลใจมารดาให้ตั้งชื่อบ้าๆนี่อีก คิดแล้วอยากร่ำไห้เอาหัวโขกเสาตายไปเสียตรงนี้ ลู่เหมยคร่ำครวญกล่าวโทษสวรรค์ โทษมารดา ก่นด่าทุกสรรพสิ่งบนโลกอยู่ในใจ... "นางยังมิฟื้นขอรับท่านหมอ" นอกจากละเมอเพ้อไข้ตลอดทั้งคืนนางก็ยังมิฟื้นขึ้นมา "นางเสียเลือดมากทั้งยังอ่อนเพลียไข้ขึ้นอีก คงต้องรอเวลาให้นางได้พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายสักพัก" ท่านหมออี่กล่าวพลางบดสมุนไพรอย่างช้าๆ ตลอดชีวิตในการเป็นหมอพบเห็นความเป็นตายมามากมายจนตะหนักได้ว่ามนุษย์มิว่าแข็งแรงแกร่งกล้าเพียงใดก็มิอาจฝืนความเจ็บความตายได้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หรือยาจกทุกคนล้วนมีจุดจบมิต่างกัน... ยามเฉิน(07.00-08.59) หลังอาบน้ำกินข้าวเสร็จ จ้าวหย่งสือก็รีบเข้ามาเช็ดตัวผัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้แก่เหยียนเป่าที่ยังหลับไหล แม้จะคุ้นเคยกับร่างกายนี้มิน้อยครั้งเมื่อยังเป็นสามีภรรยาแต่ยามนี้กลับมิสามารถบังคับมือให้นิ่งโดยมิสั่นไหวได้ในขณะที่ต้องลูบผืนผ้าไปตามผิวกายนาง อาภรณ์ใหม่สีชมพูสดใสจากลู่เหมยที่เลือกให้เองกับมือทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกถูกบั่นทอนความมั่นใจ เขาก้มลงมองชุดที่สวมใส่สลับกับชุดสีแดงของหญิงสาวพลางถอนหายใจยาวคาดโทษเด็กหนุ่มร่างบางไว้ในใจ ในขณะนั้นชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งควบม้ามาหยุดหน้าโรงหมอก่อนกระโดดลงมาอย่างเร่งรีบพร้อมสาวเท้าเดินตรงเข้าด้านในด้วยความรีบร้อน เขากวาดตามองซ้ายมองขวาตามหาต้นเหตุที่ให้ตนต้องดั้นด้นขี่ม้าไกลหลายร้อยลี้มาถึงที่นี่ "พี่ชายมีธุระอะไรหรือ?" ชายหนุ่มผู้นี้ลุกลี้ลุกลนพรวดพราดเข้ามามิพูดมิจาจนลู่เหมยที่นั่งบดสมุนไพรอยู่ตรงนั้นต้องถามไถ่ "คนชื่อหย่งสืออยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?!" เด็กหนุ่มกรอกตาครุ่นคิดไปมาก่อนเอ่ยขึ้น "หย่งสือไม่มี มีแต่อาสือ" "แล้วอาสือผู้นั้นอยู่ที่ใด?!" ลู่เหม่ยหรี่ตามองอย่างมิไว้ใจ ชายร่างใหญ่โตผิวคล้ำดำแดงดุดันน่ากลัวน่าเกรงขามเช่นนี้ เหตุอันใดต้องมาถามไถ่หาสามีของพี่สาวด้วย หรือว่า... "เจ้ามองอะไร?" ชายร่างใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงดุดัน เด็กหนุ่มส่ายหน้าก่อนมองไปรอบๆหาอาวุธป้องกันตัว ชายหนุ่มหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นทุนเดิมเห็นท่าทางเด็กหนุ่มหน้าหวานที่มีต่อเขาก็บังเกิดโทสะขึ้นมาตวาดลั่น "เจ้าบ้านี่! คิดว่าข้าเป็นโจรหรืออย่างไร?!" ลู่เหมยสะดุ้งเฮือกรีบวิ่งหนีเข้ามาในห้องเหยียนเป่าก่อนหลบหลังจ้าวหย่งสือพลางละลักละล่ำน้ำเสียงสั่นเครือ "พะ พี่อาสือ ข้างนอกนั่น..." แม่ทัพหนุ่มหันมองลู่เหมยที่มีสีหน้าตื่นตะหนกตกใจกลัวอะไรบางอย่างด้านนอกก็รีบคว้ากระบี่มาไว้ในมือเตรียมพร้อมรับ "เจ้าอยู่ที่นี่กับนาง เดี๋ยวข้าจะออกไปดูเอง" "ท่านต้องระวังนะ! เจ้านั่นตัวโตเท่าภูเขาท่าทางดุร้าย เมื่อครู่ข้าเกือบโดนมันข้าตายแล้ว..." จ้าวหย่งสือพยักหน้าทั้งที่บังเกิดความรู้สึกสะกิดในใจตั้งแต่ได้ยินประโยคที่ว่า 'เจ้านั่นตัวโตเท่าภูเขา' เพราะจู่ๆก็ทำให้เขานึกถึงบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นรองแม่ทัพและสหายคนสนิทนาม 'จงหลวนเคอ' ขึ้นมาโดยทันที...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD