2
ตกเย็นเหยียนเป่าและเสี่ยวอี้ออกมานั่งเล่นในสวน มีซ่งหยางเฮ่าหรือซื่ออ๋องในคราบขันทีนามอาเฮ่าร่วมวงสนทนาด้วย "องค์หญิงเหยียนซ่านป่านนี้ยังมิออกจากห้องหอ คาดว่ามินานคงมีเด็กตัวน้อยมาวิ่งเล่นในตำหนักหนานเปียนเป็นแน่" เหยียนเป่าเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ตัวนางนั้นชื่นชอบเด็กๆเป็นอย่างมากแต่เสียดายที่เลือกสามีผิดจนชีวิตเปลี่ยน ครั้นจะคิดหาราชบุตรเขยคนใหม่ให้ราชวงศ์ก็เกรงจะเกิดเรื่องราวซ้ำรอยดังที่ผ่านมา "สืออ๋องปรารถนาอยากได้บุตรสาว บอกว่าเด็กผู้หญิงยามออดอ้อนนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง" อ๋องหนุ่มว่าก่อนรินน้ำชาส่งให้เหยียนเป่า
"แต่องค์หญิงปรารถนาอยากได้บุตรชายมากกว่า" เสี่ยวอี้ขัดขึ้นเพราะจำได้ว่าองค์หญิงใหญ่เคยบอกว่าชื่นชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่เคยดูแลองค์ชายสิบแปดเหยียนจิ้งในสนมไฉเหรินมาก่อนจึงบังเกิดความผูกพันธ์อยากได้บุตรที่มีลักษณะคล้ายน้องชายต่างมารดา
"เอาเถิดจะบุตรสาวบุตรชายก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว" เหยียนเป่าเอนตัวนอนราบลงบนพื้นหญ้า ด้วยเป็นเขตเรือนรับรองแถวนี้จึงเงียบสงบไร้ผู้คนพลุกพล่าน "เรื่องขององค์หญิงปล่อยให้เป็นไปตามชะตาเถิด อีกไม่กี่ชั่วยามแสงตะวันก็จะลาลับข้าว่าเรามาคิดกันดีกว่าว่าคืนนี้จะไปเที่ยวที่ใดกันดี"
"อาเป่าเจ้ายังคิดจะไปเที่ยวอีกหรือ มิใช่ว่า..."
"ข้าเพียงแค่อยากออกไปหาสถานที่ร่ำสุราสักไหแล้วก็กลับ" ซื่ออ๋องสบสายตาเสี่ยวอี้พลันถอนใจส่ายหน้า องค์หญิงผู้นี้คอแข็งยิ่งกว่าเหล็กไหเดียวจะไปเมาได้อย่างไรกัน อีกอย่างหากต้องการร่ำสุรายามค่ำคืนนอกจากหอนางโลมแล้วก็มีเพียงหอชายงามเท่านั้น "เจ้าแค่เพียงอยากร่ำสุรา เช่นนั้นที่สวนนี้ก็ได้ใช่หรือไม่" เหยียนเป่าแค่นหัวเราะปรายตามองอ๋องหนุ่มสีหน้ามิสบอารมณ์
"ก็ได้ๆ ข้ายอมรับว่าอยากไปหอชายงาม" นางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา พลันหวนนึกถึงต้าไห่ยามค่ำคืนครึกครื้นรื่นเริง แสงไฟส่องสว่างไปทุกตรอกซอกซอย พ่อค้าแม่ขายออกค้าขายยามดึก ผู้คนพลุกพล่านมิหลับมินอนเดินจับจ่ายสินค้าใต้แสงจันทร์ ทว่าแม้ไร้ความเงียบสงบแต่กลับเป็นวิถีชีวิตที่นางชื่นชอบหลือเกิน
"องค์หญิงเหยียนซ่านสั่งห้ามมิให้เจ้ากับเสี่ยวอี้ออกนอกวังหลวงยามค่ำคืน เช่นนั้นเราร่ำสุราที่นี่ก็ได้ ข้ามีสุราดีๆมากมาย ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากอยากดื่มข้าจะนำมาให้" ซื่ออ๋องมองสตรีงามใบหน้างอง้ำด้วยสายตาขบขัน "ข้ายังสามารถจัดหาองค์รักษ์รูปงามมาร่วมดื่มกับเจ้าได้ถ้าเจ้าต้องการ"
"พวกองค์รักษ์ยโสโอหังน่ารำคาญ" เหยียนเป่าพลิกกายนอนตะแคงหันหน้ามองอ๋องหนุ่ม "พวกนั้นเอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึมถือดาบเดินไปมาน่าเบื่อน่ารำคาญ" นางว่าพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย
"เช่นนั้นพวกขันที..."
"พวกขันทีช่างประจบประแจงเกินไปสงสัยจะคลุกคลีอยู่ในวังวนอำนาจมากจนนิสัยเสีย ดีแต่อิจฉาริษยากันไปวันๆ" ทั้งขันทีและองค์รักษ์คือบุรุษจำพวกนอกสายตาที่นางมิอยากข้องเกี่ยวมากนัก "แต่...หากเป็นขันทีกำมะลอกลุ่มนั้นที่เจ้าพามาเมื่อหลายวันก่อน ข้าอาจเปลี่ยนใจมิออกไปหอชายงามก็ได้"
"หากเจ้าปรารถนาข้าย่อมจัดการให้ได้"
"ลำบากเจ้าแล้ว อาเฮ่า"
เมื่อฟ้ามืดดวงดาวก็เริ่มส่องประกายระยิยระยับ เสี่ยวอี้แอบหลบออกมานั่งใต้ต้นไม้มิใกล้มิไกลปล่อยให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีสูงศักดิ์ใช้เวลาร่วมกันตามลำพัง "เสี่ยวอี้" นางกำนัลประจำกายเหยียนเป่าสะดุ้งหันควับอุทานเสียงหลง "ท่านแม่ทัพ!"
จ้าวหย่งสือมองเสี่ยวอี้ด้วยความแปลกใจ ยามปกติเหยียนเป่าอยู่ที่ใดเสี่ยวอี้ก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ "เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?" เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม
"ข้ามาเก็บดอกไม้ให้องค์หญิง" นางตอบเสียงเรียบพลางรีบก้มลงเก็บดอกไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นหญ้า
"นางอยู่ที่ใด?"
"นางจะอยู่ที่ใดหาใช่เรื่องที่ข้าต้องแจ้งแก่ท่านไม่" เสี่ยวอี้สวนน้ำเสียงขุ่นเคืองสะบัดหน้าเดินหนีกลับเรือน คนผู้นี้เคยทำศิษย์พี่นางเสียใจจนแทบมิเป็นผู้เป็นคนปล่อยชีวิตจนเเหลกเหลวมาก่อน ต่อให้ต้องตายเป็นพันครั้งนางก็จะมิมีวันสนับสนุนคนผู้นี้อีก
จ้าวหย่งสือมองตามแผ่นหลังบางปลดปลงกับท่าทีเกลียดชังที่ผู้คนรอบข้างเหยียนเป่ามีต่อเขา ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในสวนหมายพักดับความร้อนรุ่มในใจ แต่ทว่าเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคยผสมผสานเสียงบุรุษที่แว่วมาทำอารมณ์ร้อนในใจแม่ทัพหนุ่มพัดกระพือขึ้นมากกว่าเดิม สองขาแกร่งก้าวยาวไปตามเสียงก่อนหยุดจ้องมองเหยียนเป่าที่นั่งยิ้มหวานท่ามกลางวงล้อมขันทีรูปงามมากมาย
เแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรเหม่อมองใบหน้าอดีตฮูหยิน แววตาวูบไหวในใจสั่นสะท้าน สามเดือนแรกหลังหย่าขาดนางก็เอาแต่เก็บตัวในตำหนักมิเคยปรากฏกายแม้แต่วันเดียว ไม่นานหลังจากนั้นตัวเขาต้องนำทัพไปปราบปรามกลุ่มกบฎต่างเมืองจึงได้ยินเพียงข่าวคราวของนางผ่านสหายในเมืองหลวง ครั้นกลับมาอีกทีนางก็ถูกส่งมาชิงเถาแล้ว
แม้เรื่องราวทั้งหมดตัวเขาจะไม่เต็มใจให้มันเกิดขึ้น แต่เพื่อแผ่นดินและเพื่อนางแม้ต้องขัดแย้งก็ต้องจำใจ หวังเพียงปัญหาที่กำลังก่อเกิดในต้าไห่ถูกขจัดสิ้นแล้วทุกอย่างคงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
หลายชั่วยามผ่านไป จ้าวหย่งสือยังคงปักหลักนั่งอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่เหยียนเป่าเมามายระบายความในใจให้เหล่าบุรุษรูปงามฟังจนหมดเปลือก "ข้าเสียใจจนอยากตาย เพราะเจ้าคนชั่วช้านั่น" นางกล่าวเสียงเนิบนาบพลางกระดกไหสุรากรอกปาก "ตอนข้ายังเป็นฮูหยินเขา ข้ามิเคยชายตาแลบุรุษใดให้เจ้าบ้านั่นขุ่นเคืองใจ แต่เขา..." นางหยุดเอ่ยสะอื้นน้ำตาไหลพรากซบใบหน้าลงบนอกบุรุษด้านข้าง "...แต่เขากลับทรยศข้าพาสตรีอื่นเข้าจวน พอข้าต่อว่า เขาก็ เขาก็..." เหยียนเป่าสะอื้นกระดกไหสุรากรอกปากอีกครั้ง "เขาก็ขับไล่ข้าออกจากจวน"
ซื่ออ๋องเอื้อมมือปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้างามพร้อมกวาดตามองสหายคนอื่นๆที่เมามายหลับใหลคาไหสุรา "อาเป่า เจ้าอย่าร้องอีกเลย" เขาลูบศรีษะนางอย่างเบามือจนนางผ่อนคลายหลับใหลไปอีกคน
ซื่ออ๋องอุ้มช้อนร่างบางขึ้นมา แต่ทว่ายังมิทันได้ก้าวเดินกลับถูกขวางเอาไว้โดยบุรุษแปลกหน้า ซื่ออ๋องพิจารณาบุรุษท่าทางองอาจตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนก่อนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนองค์รัชทายาทต้าไห่เพิ่งเดินทางมาซ่งพร้อมแม่ทัพจ้าวหย่งสืออดีตสามีของสตรีในอ้อมแขนตน "แม่ทัพต้าไห่จ้าวหย่งสือ?"
จ้าวหย่งสือมิสนใจขันทีรูปงามผู้นี้มากนัก สายตาเขายามนี้จดจ้องเพียงแต่ใบหน้าเหยียนเป่าเท่านั้น "เมื่อครู่เจ้าคงได้ยินที่นางพูดแล้ว" อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางกระชับแขนที่โอบอุ้มหญิงสาวให้แน่นขึ้น "ข้ามิสนว่านางจะพูดอะไรคิดอะไร ส่งนางมาให้ข้า!" จ้าวหย่งสือสวนเสียงดุดัน
"ข้ามิแปลกใจหรอก แม้แต่ความคิดและคำพูดนางเจ้ายังมิสน แล้วความรู้สึกนางเล่าจะไปมีความหมายต่อเจ้าได้อย่างไร" ซื่ออ๋องเหน็บเสียงแข็ง คนผู้นี้จิตใจอ่อนไหวเพียงใดเขาพอดูออก แต่น่าเสียดายนักที่ปากมิค่อยดีคำพูดคำจาระคายหูอย่างยิ่ง "อย่าได้คิดเหนี่ยวรั้งนางอีกเลย นางเจ็บปวดมามากพอแล้ว"
จ้าวหย่งสือมองตามซื่ออ๋องที่โอบอุ้มเหยียนเป่าเดินจากไปจนลับตา จริงอย่างที่ขันทีผู้นั้นว่า เหยียนเป่าผ่านความเจ็บปวดมามากทั้งเรื่องของเขาและเรื่องบางอย่างในอดีตที่ยังคงฝังใจนาง แม้จะมิเคยได้ยินนางปริปากเอ่ยถึงมันกับใครก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิอาจทำใจปล่อยมือจากนางไปได้...
ณ เรือนรับรอง เสี่ยวอี้รีบนำทางอ๋องหนุ่มตรงไปห้องนอนเหยียนเป่าก่อนเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว "อาเฮ่า ข้าจะไปเอาอ่างน้ำและผ้า ฝากดูแลอาเป่าสักครู่" เสี่ยวอี้เอ่ยก่อนผลุนผลันออกไปโดยมิลืมปิดประตูมิดชิด
ซื่ออ๋องค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียงก่อนหย่อนกายนั่งลงข้างๆพร้อมเอื้อมมือแก้มัดมวยผมให้ปล่อยยาวสยาย ชายหนุ่มกวาดตามองใบหน้างามอยู่ชั่วครู่จึงใช้แขนเสื้อซับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราย
ยามเหม่า ณ เรือนรับรอง ภายในห้องนอนเหยียนเป่ายังคงหลับใหลข้างกายมีซื่ออ๋องนอนอยู่เคียงข้างบนเตียงเดียวกัน นางพลิกตัวกอดก่ายชายหนุ่มโดยที่ทั้งคู่ต่างก็มิรู้สึกตัว
หลังเสี่ยวอี้ฝากฝังอ๋องหนุ่มให้ดูแลองค์หญิงแล้วตัวนางก็หายไปตลอดทั้งคืน ทิ้งหนุ่มสาวสูงศักดิ์อยู่ด้วยกันตามลำพัง ด้วยหลายวันมานี้ยามที่องค์หญิงได้ใช้เวลากับอาเฮ่า นางสังเกตเห็นว่าทั้งคู่มีนิสัยคล้ายคลึงเข้ากันได้อย่างเป็นอย่างดี ทั้งยังมีฐานะเทียบเคียงดูเหมาะสมกัน นางกำนัลสาวจึงมีความคิดสนับสนุนซื่ออ๋องผู้นี้แก่องค์หญิงของตน
ยามเฉิน เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำเหยียนเป่างัวเงียตื่นขึ้นมา "น้องสาม เจ้าตื่นหรือยัง?" เสียงหวานของเหยียนซ่านเอ่ยถามขึ้นจากด้านนอก แต่ทว่าเหยียนเป่ายามนี้ลำคอแสบแห้งเค้นเสียงมิออกทั้งยังมึนงงจากอาการเมาเมื่อคืนอยู่นางจึงมิได้ขานรับนั่งหลับตาเงียบ
เหยียนซ่านร้อนใจเป็นห่วงน้องสาว รีบผลักประตูตรงเข้าไปในห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่เหยียนเป่าสะดุ้งตกใจเสียงกระแทกประตู ร่างที่ทรงตัวมิอยู่จากอาการมึนงงจึงล้มลงทับร่างอ๋องหนุ่มที่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเต็มแรง "โอ๊ย!" ทั้งคู่ประสานเสียงร้องดังลั่น เหยียนซ่านที่รีบเดินเข้ามาหยุดจ้องมองหนึ่งบุรุษผู้เป็นพระอนุชาของสวามีและหนึ่งสตรีพระขนิษฐาของตนด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอุทานเสียงหลง "ซื่ออ๋อง! น้องสาม!"
กลางโถงตำหนักหนานเปียน สืออ๋องและเหยียนซ่านนั่งมองบุรุษสตรีตรงหน้าสลับไปมา ในขณะที่ซื่ออ๋องนั่งนิ่งเงียบ องค์หญิงสามแห่งต้าไห่กลับทำตัวปกติราวมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น นางยังคงเดินไปมาหยุดยืนดูภาพวาดดูเครื่องเรือนภายในโถงตำหนักไร้ท่าทีทุกข์ร้อน"น้องแปดบอกข้ามาเหตุใดเจ้าถึงได้ไปนอนร่วมเตียงกับองค์หญิงสามได้" สืออ๋องเอ่ยถามสายตาจับจ้องพระอนุชาเขม็ง
"พี่เขย น้องแปดของท่านหาได้ทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย เมื่อคืนข้าดื่มมากจนเมามายเขาเพียงพาข้ามาส่งและเผลอฟุบหลับไปก็เท่านั้น เอง" เหยียนเป่าแก้ต่างให้สหายหนุ่มพลางหันไปส่งยิ้มหวานขยิบตาให้องค์รักษ์ประจำตำหนักที่เดินผ่านไปมา
"น้องสาม พี่เคยเตือนเจ้าเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราเหตุใดมิเชื่อฟังกันบ้าง ซื่ออ๋องเองก็เช่นกันท่านมิน่าตามใจนางถึงเพียงนี้ หากเมื่อเช้านางกำนัลอื่นที่มิใช่เสี่ยวอี้เห็นเข้า เรื่องราวคงใหญ่โตมากกว่านี้แล้ว" เหยียนซ่านบ่นด้วยความเอือมระอาเหลือทนกับพฤติกรรมน้องสาวกลัวนางชักจูงซื่ออ๋องไปในทางที่ผิดมิดีมิควร
เหยียนเป่าเหลือบตามองอ๋องหนุ่มเห็นความกังวลบนใบหน้าหมดจดก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ตนเป็นต้นเหตุให้เขาต้องถูกต่อว่าไปด้วย "พี่หญิง เป็นข้าที่บังคับเขาให้หาสุรามาเอง อาเฮ่ามิผิดเสียหน่อย คนผิดคือข้าต่างหาก"
"น้องสาม ที่นี่มิใช่ต้าไห่ที่เจ้าจะทำอะไรตามใจชอบได้ แล้วยามนี้เจ้าคือองค์รักษ์ของพี่หาใช่องค์หญิงไม่ เพราะฉะนั้นแล้วจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องทำหน้าที่ของเจ้าอย่างเคร่งครัดห้ามเถลไถลอีกเป็นอันขาด!"
"...พี่หญิง" เหยียนเป่าทรุดนั่งข้างซื่ออ๋องอย่างหมดเรี่ยวแรงพลางบ่นอุบ "ที่นี่น่าเบื่อ ข้าอยากกลับต้าไห่ มิรู้ป่านนี้ผู่เยว่ ฮุ่ยซิ่วและหวงลู่ของข้าจะเป็นเช่นไรบ้าง" ชายทั้งสามที่นางเอ่ยถึงล้วนเป็นคนโปรดของนางทั้งสิ้นก่อนเดินทางมาซ่งหวงลู่อาการมิค่อยดีมักปวดศรีษะวูบล้มบ่อยครั้งจนนางเป็นกังวล โชคดีที่ผู่เยว่เคยเป็นศิษย์หัวหน้าหมอหลวงโต่วจึงมีความรู้ด้านการรักษาโรคพอฝากฝังหวงลู่ให้อยู่ในความดูแลได้
แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังมิวางใจมากนัก หวงลู่อ่อนแอขี้โรคมาแต่ไหนแต่ไร มักล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งยามนี้ต้องไกลห่างถูกพี่สาวบังคับให้ตัดขาดการติดต่อทุกช่องทาง นางก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น
"มิมีคำสั่งจากเสด็จพ่อ เจ้าก็ยังกลับมิได้"
"...พี่หญิง อย่างไรข้าก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนาน เช่นนั้นขอให้ข้าได้ติดต่อกับคนของข้าบ้างมิได้หรือ" เหยียนเป่ากระพริบตาปริบๆอ้อนวอนพี่สาวเสียงหงอย เหยียนซ่านที่เดิมทีพื้นฐานจิตใจอ่อนไหวอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทางซึมเศร้าเหงาหงอยของน้องสาวอารมณ์โกรธก็พลันอ่อนยวบลงหลายส่วน
"...พี่อนุญาติให้เจ้าติดต่อกับคนของเจ้าได้ แต่ว่าเจ้าก็ต้องรักษาสัญญากับพี่ก่อน ว่าตราบใดที่ยังอยู่ในซ่งเจ้าจะมิยุ่งเกี่ยวกับซื่ออ๋องและบุรุษอื่นอีก"
ซื่ออ๋องเหลือบตามองเหยียนเป่าที่มีท่าทางลังเล จนกระทั่งนางเอ่ยขึ้น "เอ่อ ซื่ออ๋อง ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เช่นนั้นจะลดตัวลงมายุ่งเกี่ยวกับข้าทั้งที่ยามนี้มีฐานะเป็นเพียงองค์รักษ์คงมิเหมาะเท่าใดนัก ยังไงข้าต้องขออภัยจริงๆที่ทำท่านเดือดร้อนไปด้วย" แววตาอ๋องหนุ่มวูบไหว นางเอ่ยห่างเหินกับเขาเช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการตัดความสัมพันธ์หรอกหรือ?!
ชายหนุ่มสูงศักดิ์พลันรู้สึกน้อยอกน้อยใจ บุรุษสามคนที่ต้าไห่มีน้ำหนักในใจนางมากเพียงใด เพื่อพวกนั้นแล้วนางถึงขั้นยอมถอยห่างจากเขา "ข้ามันก็แค่คนที่เจ้ารู้จักกันเพียงไม่กี่วัน จะทอดทิ้งอย่างไรก็ได้"
ในขณะที่สองสตรีพี่น้องชะงักนิ่งรู้สึกผิด สืออ๋องกลับเพ่งมองพระอนุชาด้วยสายตาขบขันรู้ทัน น้องชายเขาผู้นี้ภายนอกใสซื่อไร้พิษภัย แต่ทว่าเรื่องเล่ห์เหลี่ยมเหลือร้ายมิเป็นสองรองใครเลยทีเดียว ใต้หล้าแห่งนี้จะมีเชื้อพระวงศ์คนไหนที่ลุกขึ้นมาแต่งชุดขันทีเดินไปมาทั้งที่ตนเป็นถึงพระอนุชาโอรสสวรรค์กันเล่า?
"...ซื่ออ๋อง ข้าเพียงเป็นห่วงว่าชื่อเสียงของท่านจะแปดเปื้อนเพราะข้า หาได้คิดทอดทิ้งไม่" หญิงสาวพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนจะมิได้ผลสักเท่าใดนัก
"เพียงเป็นสหายกับเจ้า ข้าจะแปดเปื้อนได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเจ้ามิอาบน้ำปล่อยตัวเองซกมกเหม็นเน่านำความสกปรกมาแปดเปื้อนข้า ถึงยามนั้นข้าจะถือว่าเป็นความแปดเปื้อนอย่างแท้จริง!" อ๋องหนุ่มกล่าวพลางสะบัดใบหน้าหนีท่าทีแง่งอน เหยียนซ่านสบตาพระสวามีสีหน้าหนักใจด้วยเริ่มประจักษ์เห็นความไม่ธรรมดาในตัวซื่ออ๋องผู้นี้ มิน่าเล่าเพียงเวลาไม่กี่วันน้องสาวนางถึงได้สนิทสนมกับเขาถึงเพียงนี้ได้
"ซ่านเอ๋อร์ น้องชายข้าผู้นี้แท้จริงก็คือเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ" เมื่อเพ่งมองพินิจดีๆเหยียนซ่านก็เริ่มแน่ใจว่าซื่ออ๋องผู้นี้มิได้ใสซื่อดั่งที่คิด สืออ๋องพระสวามีมักเล่าเรื่องราวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ให้ฟังอยู่เสมอ แต่มิคิดว่าจะเป็นตัวเดียวกับพระอนุชาเขา
"...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คือซื่ออ๋องเองหรอกเหรอเนี่ย..." เหยียนซ่านพึมพำสายตายังจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างมิเชื่อสายตา นางยังคงจำภาพที่เขานั่งอ่านตำรา ดีดพิณ แต่งบทกวีเมื่อสองสามปีก่อนได้อยู่ มิคาดคิดว่าเพียงเวลาไม่นานอ๋องน้อยผู้นั้นจะโตมาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในเรื่องเล่าสืออ๋องได้...
ความจริงที่ว่าซื่ออ๋องเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในเรื่องเล่าของสืออ๋อง ก็มิได้มีผลเปลี่ยนแปลงต่อกฏที่พี่สาวตั้งขึ้นเพื่อควบคุมนาง เหยียนเป่ายังคงต้องปฏิบัติหน้าที่องค์รักษ์อย่างเคร่งครัดและยังถูกสั่งห้ามมิให้ข้องเกี่ยวกับซื่ออ๋องดังเดิม
เช้าวันนี้นางจึงต้องติดตามคุ้มกันองค์หญิงเหยียนซ่านเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา "น้องสาม เจ้ารอพี่ตรงนี้ ห้ามเถลไถลเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่?" เหยียนเป่าเพียงพยักหน้ามองพี่สาวเดินหายเข้าไปในตำหนัก ระหว่างนั้นเสี่ยวอี้ได้เดินเข้ามาพร้อมม้วนกระดาษเล็กๆในมือ "องค์หญิงเพคะ จดหมายจากคุณชายผู่เยว่เพคะ"
"จดหมายจากผู่เยว่ มาถึงเร็วจริงๆ" ดูเหมือนคนทางนั้นจะคิดถึงนางมิน้อย ถึงได้รีบร้อนส่งจดหมายมารวดเร็วเพียงนี้ มือบางคลี่ม้วนกระดาษกางออก กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรมิตกหล่น
เนื้อความว่าหวงลู่อาการดีขึ้นมากจากที่เป็นลมล้มวูบบ่อยๆก็สามารถลุกขึ้นมานั่งเขียนภาพ เดินไปเดินมาได้แล้ว ฮุ่ยซิ่วเองช่วงนี้ก็ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์อย่างขยันขันแข็งทั้งยังฝากบอกนางว่าหากกลับไปเมื่อใดจะขอท้าประลอง
พอได้อ่านจดหมายจากผู่เยว่ เหยียนเป่าก็ยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ ด้วยอย่างน้อยแม้มิได้พบหน้าแต่ได้รับรู้ว่าพวกเขายังสุขสบายดีนางก็ปลดห่วงลงได้แล้ว "องค์หญิงเพคะ ยังมีจดหมายจากฝ่าบาทด้วยเพคะ"
จดหมายอีกฉบับถูกดึงมาเก็บในสาบเสื้อมิได้เปิดอ่านโดยทันทีดังเช่นจดหมายที่ถูกส่งตรงจากจวนนาง "เสี่ยวอี้ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน หากพี่หญิงออกมาให้บอกนางว่าข้ามีธุระสำคัญ" เหยียนเป่ายื่นหน้ากระซิบข้างหูนางกำนัลคนสนิทเสียงเบา
"ข้าจะรีบกลับมา ฝากดูแลพี่หญิงด้วย"
เสียงฝีเท้าม้าดังแหวกอากาศฝ่าม่านหมอกจาง ยิ่งระยะห่างระหว่างนางและเมืองหลวงซ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ช่วงเวลาแห่งการนองเลือดที่กำลังจะถึงก็มากขึ้นเท่านั้น เหยียนเป่าควบม้าผ่านป่าไผ่ใกล้ชายแดน ด้านหลังสะพายกระบี่สองเล่มดำแดงเป็นเอกลักษณ์ แววตานางยามนี้เรียบนิ่งเยือกเย็นยิ่งนัก
เหยียนเป่าเบี่ยงกายหลบคมธนูที่พุ่งตรงมา ก่อนรวบรวมลมปราณกระโดดหลบกับดักมีดบิน แม้ตัวนางจะรอดจากคมสังหารแต่ทว่าเจ้าม้าเคราะห์ร้ายกลับมิอาจได้ เพียงพริบตาคนชุดดำนับสิบก็กรูเข้ามาล้อมรอบนางเอาไว้พร้อมอาวุธครบมือ "นี่หรือองค์หญิงสามเหยียนเป่าแห่งต้าไห่ ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมานาน มิคิดว่าจะเป็นเพียงข่าวลือ" หนึ่งในนั้นเอ่ยน้ำเสียงดูแคลน หากองค์หญิงผู้นี้เฉลียวฉลาดจริงดั่งเช่นที่เคยได้ยินมา เช่นนั้นแล้วเหตุใดนางถึงพาตัวเองมาติดกับดักที่นี่ได้เล่า มิใช่เพราะนางโง่งมจนแยกลายมือบิดาตนกับผู้อื่นในจดหมายฉบับนั้นมิออกหรือ?
"เจ้าได้ยินเรื่องอะไรมาเล่า? ถ้าเป็นเรื่องที่ข้าชื่นชอบสะสมบุรุษรูปงาม นั่นย่อมมิใช่ข่าวลือแน่" หญิงสาวโต้กลับพร้อมจ้องหน้าชายชุดดำโดยมิได้มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย
"หึ! จะอย่างไรวันนี้ท่านก็ตายอยู่ดี!" หนึ่งในนั้นประกาศก้องชักกระบี่ออกมาฟาดฟัน เหยียนเป่าทำเพียงเบี่ยงตัวไปมาหลบเลี่ยงคมกระบี่มิได้ตอบโต้ใดๆออกไปทั้งยังยิ้มหัวเราะอย่างเริงร่าราวกับกำลังเล่นสนุกก็มิปาน สร้างความงุนงงให้แก่เหล่านักฆ่าชุดดำ ทำหลายคนเริ่มมีโทสะไล่ฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งมิสนจะใช้กระบวนท่าที่เคยร่ำเรียนขอเพียงสังหารสตรีผู้นี้ได้เป็นพอ
ผ่านไปสองชั่วยามเรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มลดหดหายเหล่าชายชุดดำบางคนเริ่มเหน็ด เหนื่อยกับการไล่ฟาดฟันสตรีตัวเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวโดยมิรู้จุดจบ เพราะนางเอาแต่เบี่ยงตัวไปมาราวกับกำลังร่ายรำกลางดงกระบี่มิได้มีความจริงจังในการสู้แม้แต่น้อย "เหนื่อยแล้วหรือ?" เหยียนเป่ากวาดตามองเหล่านักฆ่าชุดดำด้วยสายตาขบขัน
"ข้าจะมิถามหรอกว่าใครส่งพวกเจ้ามา..."
"ถึงท่านถามพวกข้าก็มิตอบ! ถึงพวกเราจะเป็นเพียงนักฆ่าแต่ก็มีจรรยาบรรณ!" หนึ่งในนั้นสวนขึ้นเสียงเเข็ง แววตาดุดันแข็งกร้าวจ้องมองสตรีน่าชังอยากพุ่งตัวแทงดาบทะลุร่างบางของนางเต็มทน แต่เสียดายที่ยังคงเหนื่อยหอบมิอาจทำตามใจนึกคิดได้ในขณะนี้
เหยียนเป่าหลุดขำเสียงดัง "ฮ่าๆๆ จรรยาบรรณนักฆ่า พอได้ยินเช่นนี้แล้ว..." นางหยุดประโยคก่อนแค่นหัวเราะขึ้นมาทีนึง "....อยากจะอ้วกเสียจริง!"
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ชักกระบี่สองเล่มลับคมไปมาจนเกิดเป็นประกายไฟ นางพุ่งตัวเข้าฟาดฟันชายชุดดำอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาซากศพมากมายก็เกลื่อนกราดเต็มพื้นที่ขวางทางสัญจร หญิงสาวล้มตัวนั่งลงกลางหลังร่างไร้วิญญาณก่อนฉีกผ้าชายอาภรณ์เขามาบรรจงเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนคมกระบี่ของตน
ระหว่างนั้นขบวนรถม้าองค์รัชทายาทต้าไห่เสด็จผ่านมา จ้าวหย่งสือที่ขี่ม้านำมามองเห็นอดีตฮูหยินนั่งอยู่ท่ามกลางซากศพก็รีบควบม้าตรงเข้าไปหานางโดยทันที
"องค์หญิง!"