อัศนีที่เดินทอดน่องเดินตรวจงานไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปยังส่วนที่เป็นรีสอร์ทก่อนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยในยามที่พอมีเวลาว่าง ก่อนจะเดินตัดมาอีกทางซึ่งเป็นทางลัดเพื่อกลับมายังโซนที่เป็นส่วนของกาสิโน
ทางเดินที่ปูด้วยหินสีขาวก้อนเล็กๆ เป็นแนวยาวไปตลอดทางก่อนจะสิ้นสุดทางเดินเมื่อเริ่มจะเลี้ยวเข้าตัวตึกซึ่งถูกปูด้วยหินกาบแทน ก่อนจะเดินเข้าไปยังตึกที่เป็นที่ตั้งของกาสิโน สถานที่ที่ซึ่งผู้คนหลั่งไหลกันมาแสวงโชคกันอย่างคับคั่ง
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน ทำให้ทั้งเลอสรรและวิชัยต้องหันขวับมาที่ประตูอย่างแปลกใจ เหตุไฉนชายหนุ่มจึงมาโผล่ที่ห้องนี้ได้
‘แทนที่จะอยู่หาความสำราญอยู่ที่บ้านไม้ธารานั้นไม่ใช่หรืออย่างไง’ เลอสรรคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่อยากที่จะคิดไปเองจึงเอ่ยแซวพลางถามออกไปทันทีอย่างอยากรู้
“เฮ้ย สงสัยพายุจะเข้าว่ะ อยู่ๆ นายอัศนียอดนักรักใช้เวลากกสาวที่เป็นลูกหนี้แค่คืนเดียวเองเหรอนี่ สงสัยน้ำยาจะหมดแล้วกระมังเพื่อนเรา ฮะฮะฮะฮะ”
“ปากดีนักนะแก ไม่ดีหรือไงที่ฉันมาทำงานช่วยแกน่ะห๊ะ ไอ้เพื่อนปากหมา”
อัศนีสวนกลับทันที เขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนรักต้องแซวแกมกระแหนะกระแหนเขาอยู่แล้ว แต่ก็จริงอย่างที่เลอสรรพูด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้เวลากับลูกหนี้เร็วที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ก็จะให้ใช้เวลาอยู่ด้วยนานได้อย่างไรกันในเมื่อเธอคนนั้นไม่ใช่ลูกหนี้ของเขา แต่เธอมาใช้หนี้ให้กับพี่ชายและพี่สาวของเธอต่างหากล่ะ
“ปากฉันน่ะดีอยู่แล้ว และก็ไม่ได้มีดีที่ปากอย่างเดียวด้วยนะ อย่างอื่นก็ดีเหมือนกัน เอ้อ เป็นยังไงล่ะลูกหนี้สาวของแกน่ะ ลองแล้วใช่ไหมล่ะ แกนะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ลูกหนี้แต่ก็ไม่วายยังจะเอาอยู่อีก ถ้าหากทางนั้นเกิดแบล็กเมลเราขึ้นมาหาว่าเราลักพาตัวน้องสาวมันมาละก็มันจะยุ่งยากเอานะ”
เลอสรรเอ่ยถามอย่างอยากรู้แกมเตือนเพื่อนรัก ทำให้อัศนีตีหน้าบึ้งเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาทันที
“ก็ลองมาแบล็กเมลคนอย่างฉันดูสิ แล้วพวกมันจะรู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร เนื้อแพรเป็นผู้หญิงของฉันใครก็ห้ามแตะต้อง!”
“อะไรกัน! ผู้หญิงของฉัน! พูดออกมาไม่กระดากปากบ้างเลยนะแก นอนด้วยคืนเดียวแกถึงขนาดบอกว่าเป็นผู้หญิงของแกเลยเหรอวะ สงสัยคงจะมีทีเด็ดแน่ๆ เลยแกถึงได้ออกตัวแรงขนาดนี้เนี่ย”
เลอสรรเอ่ยเย้าแหย่เพื่อนรักอย่างคะนองปาก โดยหารู้ไม่ว่าเพื่อนรักของตนนั้นไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วยกับการเอ่ยเย้าของตนในครั้งนี้
อัศนีตวัดตาจ้องเขม็งมาที่เลอสรรทันที และเลอสรรก็รับรู้ถึงสายตาของเพื่อนรักที่มองจ้องมาด้วยเช่นกัน สายตาที่บอกให้เขารู้ว่า ห้ามพูดถึงผู้หญิงของเพื่อนรักในทางไม่ดีเด็ดขาด และสิ่งที่เลอสรรทำได้ในตอนนี้นั่นก็คือการขอโทษในสิ่งที่เพิ่งพูดถึงผู้หญิงของเพื่อน
“ฉันขอโทษแกแล้วกันที่พูดไม่ดีเมื่อกี้ ไม่มีเจตนาจะดูถูกเธอ”
อัศนีไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าให้เท่านั้น ก่อนเดินไปหยุดยืนอยู่ที่บานกระจกสีดำ ชายหนุ่มยืนกอดอกมองลงไปเบื้องล่างที่มีนักแสวงโชคเดินกันไปมาตามโต๊ะตัวนั้นตัวนี้ที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มห้อง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าวิชัยและเลอสรรแล้วบอกว่า
“ฉันจะให้เนื้อแพรอยู่ที่เกาะมาหยา”
คำพูดของอัศนีที่บอกออกมาทำให้ทั้งเลอสรรและวิชัยเบิกกว้างขึ้นทันที และเป็นเลอสรรที่เป็นคนร้องถามถึงเหตุผลของชายหนุ่ม
“เพราะอะไรแกถึงจะให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่กัน ก็ในเมื่อรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกหนี้ตัวจริงเราก็น่าที่จะส่งเธอกลับไปสิ แล้วไปเอาลูกหนี้ตัวจริงกลับมาใช้หนี้แก จริงไหมวิชัย”
เลอสรรเสนอทางออกให้กับเพื่อนรักและไม่ลืมที่จะหาแนวร่วม
“เรื่องนี้ผมขอไม่ออกความเห็นได้ไหมครับ คือผมทำงานพลาดมาหนนึงแล้ว ผมขอเป็นผู้ฟังก็แล้วกันนะครับนาย”
“ฉันมีเหตุผลของฉัน” อัศนีเอ่ยบอกน้ำเสียงเย็นชา
“เหตุผลอะไร แกนอนกับเธอแค่คืนเดียวถึงขนาดจะหาเรื่องใส่ตัว บอกมาเลยนะ ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นเพื่อนแกอยู่น่ะอัศนี”
“เหตุผลของฉันอาจสวนทางกับแก แต่ถ้าแกอยากรู้ฉันก็จะบอกให้ก็ได้ว่าเพราะอะไรฉันถึงเลือกที่จะให้เธออยู่ที่นี่แทนการส่งเธอกลับไป”
อัศนีเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มีเพียงรอยยิ้มที่มุมปากเผยให้กับเพื่อนและลูกน้องคนสนิทเท่านั้นให้ได้รับรู้ ก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงเหตุผลของการเลือกที่จะให้เนื้อแพรได้อยู่ที่เกาะมาหยาต่อไปแทนการส่งเธอกลับไปผจญกับคนที่กล้าส่งเธอมาใช้หนี้แทนลูกหนี้ตัวจริง
เหตุผลที่พรั่งพรูออกจากปากของอัศนีที่ในตอนแรกเลอสรรนั้นไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมองภาพออกว่าเพราะอะไรเพื่อนรักของเขาถึงไม่ยอมส่งหญิงสาวกลับไป นั่นเพราะอัศนีเป็นคนแรกของเนื้อแพร เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ เธอไม่มีความผิด และยอมที่จะชดใช้หนี้ให้กับคนที่เลี้ยงเธอมาแทนพ่อและแม่ แถมยังมีการต่อรองขอทำงานแลกเงินเพื่อให้หนี้ที่ติดค้างหมดลงให้ได้เร็วที่สุดอีกด้วย ที่สำคัญคือ การใช้หนี้ในครั้งนี้จะทำให้เธอไม่มีหนี้ติดค้างใดๆ กับคนที่เธอเรียกว่า ‘คุณท่าน’ อีกต่อไป
“แกเข้าใจเหตุผลของฉันแล้วใช่ไหมว่าเพราะอะไรฉันถึงไม่ส่งเนื้อแพรกลับไปน่ะ”
อัศนีเอ่ยถามออกไปเมื่อบอกถึงเหตุผลของตนเองที่ไม่ส่งหญิงสาวกลับไป
“เข้าใจแล้ว แต่แกจะเชื่อเธอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าล่ะว่าเรื่องที่เล่ามาน่ะเป็นเรื่องจริง”
เลอสรรไม่วายติง ก่อนจะได้คำตอบเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเพื่อนรักและเสียงตอบเรียบๆ กลับมาว่า
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”
ก่อนจะหันไปหาวิชัยที่ยืนเยื้องอยู่อีกด้านของห้อง
“วิชัย มานี่”
“ครับนาย”
“ส่งคนของเราไปคอยดูความเคลื่อนไหวของนายพีรยุทธที่บ้าน ตามไปทุกที่ที่มันไป ฉันมั่นใจว่าคนชอบเล่นอย่างมันน่ะต้องอยู่นิ่งได้ไม่นานหรอก ลองคนมันเคยเล่นแล้วอย่างนี้มันไม่มีทางที่จะอดใจไหวหรอก แล้วถ้ามันเข้าไปเล่นในบ่อนที่เป็นพันธมิตรกับเราก็บอกให้เขาทำยังไงก็ได้ให้นายพีรยุทธมันเป็นหนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจไหม” อัศนีสั่งการเสียงเฉียบขาด
“ครับนาย”
วิชัยรับคำเสียงหนักแน่น ก่อนขอตัวไปจัดการตามคำสั่งนายของตนในทันที ณ ตอนนี้จึงเหลือเพียงอัศนีและเลอสรรสองหนุ่มเพื่อนรักอยู่ภายในห้องเท่านั้น ทั้งสองนั่งมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนในที่สุดอัศนีก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน
“นายอยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงสั่งวิชัยไปอย่างนั้น”
“ใช่ นายนี่มันแสนรู้จริงๆ เลยว่ะ” เลอสรรยังไม่วายแหย่
“น้อยๆ หน่อยไอ้เลอเปรี้ยว แสนรู้น่ะใช้กับหมานะโว้ย” อัศนีไม่วายสวนกลับ
“นายจะทำไปทำไมวะ ไหนๆ ก็ไม่ส่งผู้หญิงกลับคืนอยู่แล้วนี่”
“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่อยากรู้ว่าถ้าหากว่านายพีรยุทธเป็นหนี้กับบ่อนกาสิโนมากๆ เข้ามันจะใช้หนี้กับกาสิโนเหล่านั้นแบบไหนก็เท่านั้นเอง”
อัศนีบอกในสิ่งที่เลอสรรอยากรู้ แต่คนช่างสงสัยอย่างเลอสรรก็ไม่วายถามต่ออีก
“แต่นายพีรยุทธก็เป็นคนที่มีฐานะการเงินดีมากพอสมควรนะเท่าที่รู้มา”
“แต่คนที่มีอำนาจทางการเงินตัวจริงของตระกูลทวีขจรไพศาล คือนางผกากรอง แม่ของนายพีรยุทธนะแกอย่าลืมสิ ถ้าหากว่าเงินที่จะต้องชดใช้ให้กับลูกที่ติดการพนันงอมแงมและมีจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ จาก 10 ล้านเป็น 20 ล้านหรือ 50 ล้านและอาจจะถึง 100 ล้านเลยล่ะ แกคิดว่าคนเป็นแม่จะยอมใช้หนี้ให้กับลูกอย่างนายพีรยุทธหรือเปล่า”อัศนีตวัดตามองเพื่อนรักนิ่งๆ ดวงสีสนิมเจิดจ้าขึ้นยามเอ่ยบอกในสิ่งที่ตนเองพูด ก่อนที่เลอสรรจะหัวเราะหึหึในลำคอเพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนรักถึงส่งคนไปคอยตามนายพีรยุทธเช่นนั้น
“ที่แกอุตส่าห์ทำแบบนี้ลงไปทั้งหมดเพราะจะแก้แค้นแทนผู้หญิงของแกใช่ไหม แกไม่เล่นแรงเกินไปหน่อยหรือวะ”
“สำหรับฉันแล้วแค่นี้มันยังน้อยไป”
“ฉันไม่เข้าข้างแกและก็ไม่เข้าข้างใคร แต่ถ้าจะคิดอีกแง่หนึ่งก็ต้องขอบใจนายพีรยุทธกับพี่สาวของผู้หญิงของแกนะที่ส่งเธอมาแทน เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่าเพื่อนรักของฉันมันก็มีหัวใจเหมือนกัน...มันรักคนเป็น”
เลอสรรไม่วายทำเสียงเย้าแหย่ในตอนท้าย และคำพูดว่า ‘รัก’ ของเพื่อนรักนั้นก็ทำให้ใบหน้าคมสันของอัศนีแดงซ่านขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนจนชายหนุ่มต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน หันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่สีทึบทำทีเป็นสนใจกับลูกค้านักแสวงโชคเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตนเองไว้ พลางคิดในใจว่า ‘ไอ้เพื่อนเวร แสนรู้จริงๆ’ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ให้เพื่อนรักไปตรวจเอกสารที่โต๊ะของตนเองต่อในทันที
“ไปๆ แกรีบไปตรวจงานในแฟ้มที่กองตั้งอยู่บนโต๊ะแกให้เสร็จเร็วๆ เลย ไม่ต้องมาทำเป็นหมอวินิจฉัยฉันนักหรอก เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน แต่งานต้องเสร็จก่อนนะ” อัศนีไม่วายสั่งการ
“แหมๆ ทำเป็นเขิน อะๆ ก็ได้ ไม่แซวแกแล้วก็ได้ แกเองก็ไม่ต้องเล่นตัวมากนักหรอกนะ แก่แล้วนะแกน่ะ จะรักก็รักไปเถอะ ถ้าแกอยากจะรัก และถ้าเธอรักแกด้วยฉันก็จะยิ่งดีใจมากที่สุดเลยล่ะ”
เลอสรรเอ่ยบอกจากใจจริง ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนเองซึ่งอยู่ภายในห้องเดียวกันกับอัศนี
ส่วนอัศนีที่ยืนหันกอดอกหันหลังให้เพื่อนรักนั้นก็ได้แต่เผยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเท่านั้น แล้วคิดทบทวนกับคำพูดของเลอสรรที่ว่าต้องขอบใจที่ตระกูลทวีขจรไพศาลส่งเนื้อแพรมาใช้หนี้แทนพวกเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ได้เจอเธอ
และคงจะไม่เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นทั้งๆ ที่ไม่เคยเกิดกับใคร หรือเพราะเขาเป็นคนแรกของเธอกัน แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ช่างเถอะ อัศนีขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ในเรื่องของเขากับเนื้อแพรก็แล้วกัน แต่มันจะดีมากกว่านั้นหากมันจะจบลงที่หญิงสาวจะรักเขาและอยู่ที่นี่กับเขาอย่างสมัครใจ มิใช่อยู่เพื่อชดใช้หนี้ให้หมดแล้วจากไปแทน