ตอนที่ 1
หญิงสาวหน้าตาสะสวยวิ่งเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ของบ้าน พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลพรากเต็มใบหน้า ก่อนจะเข้าไปกอดรอบเอวของผู้เป็นแม่ไว้แน่น ปากพร่ำพูดอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยเหลือตนไม่ยอมหยุด
“คุณแม่ขา คุณแม่จะต้องช่วยรสนะคะคุณแม่”
“อะ...อะไรกันยัยรส เกิดอะไรขึ้นลูก บอกแม่มาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
นางถามอย่างตื่นตระหนก ภายในอกร้อนรุ่มขึ้นมาทันที ใคร! มันไอ้อีหน้าไหนกันที่มาทำให้ลูกสาวของนางผกากรอง ทวีขจรไพศาล ต้องวิ่งร้องไห้เข้ามาหานางแบบนี้
“ก็พี่ยุทธนะสิคะคุณแม่ จะให้รสไปเป็นนางบำเรอเพื่อใช้หนี้แทนน่ะค่ะ คุณแม่อย่ายอมนะคะ คุณแม่ต้องช่วยรสนะคะคุณแม่” โชติรสเอ่ยบอกน้ำตานองหน้า
“หา! นี่ตายุทธมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาล่ะนี่ ถึงจะเอาน้องไปยกให้เป็นนางบำเรอของใครต่อใครกันน่ะ” นางผกากรองถามกลับเสียงดังขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวก่อนครับคุณแม่ ฟังยุทธก่อน อย่าเพิ่งไปฟังยัยรสฝ่ายเดียวสิครับ”
พีรยุทธเอ่ยอย่างใจเย็น สาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาหาผู้เป็นแม่ พลางโอบเอวแล้วรั้งให้มารดานั่งลงบนโซฟาเนื้อดี รีบเอ่ยบอกอย่างแก้ตัวทันที
“คุณแม่อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะครับ มันไม่ใช่อย่างที่ยัยรสบอกสักหน่อย”
พูดพลางหันไปถลึงตาใส่น้องสาวเพื่อเป็นการห้ามไปในตัว
“ก็ยัยรสมันวิ่งร้องห่มร้องไห้เข้ามาหาแม่ แล้วบอกแม่ว่าแกจะให้มันไปเป็นนางบำเรอเพื่อใช้หนี้ที่แกติดเขาน่ะ แล้วแกจะไม่ให้แม่ร้อนใจได้ยังไง บอกแม่มาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่” นางผกากรองเอ่ยอย่างมีอารมณ์
“คึ...คือ ยุทธกับ...รสไปบ่อนมากันครับ”
“ไปบ่อน”นางผกากรองเอ่ยเสียงสูงออกมาจนเกือบจะเป็นตะโกน
“ตายุทธ! นี่นึกยังไงถึงได้พาน้องเข้าบ่อนน่ะห๊ะ”
นางผกากรองเอ็ดเสียงหลง พลางฟาดเพี๊ยะลงไปที่แขนของลูกชายเป็นพัลวัน พีรยุทธได้แต่ยกมือขึ้นป้อง ก่อนจะรีบลุกขึ้นหนีจากการตบตีของผู้เป็นแม่ โดยมีนางผกากรองลุกตามไปตีไม่ยอมหยุด
“โธ่...คุณแม่ครับ โทษยุทธฝ่ายเดียวไม่ได้นะครับ ก็ยัยรสมันขอตามไปเอง ยุทธห้ามแล้วมันไม่ฟัง แล้วไอ้หนี้ที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ของยุทธคนเดียวนะครับ ของยัยรสครึ่งหนึ่งด้วย”
พูดจบมือของนางผกากรองก็หยุดตีโดยอัตโนมัติ ก่อนร่างท้วมของผู้เป็นแม่จะค่อยๆ หันกลับมาทางโชติรส
“ยัยรส!”นางผกากรองครางออกมาอย่างคนหมดแรง
ลูกสาวที่เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมาอย่างดีริอ่านเข้าบ่อน ถ้ารู้ไปถึงไหนก็อายไปถึงนั่น ร่างท้วมซวนเซเหมือนจะเป็นลม พีรยุทธที่อยู่ใกล้รีบเข้าไปประคองนางไว้แล้วรีบพากลับมานั่งลงบนโซฟาทันที
“คุณแม่ครับ!คุณแม่คะ!”
“คุณแม่นั่งก่อนนะครับ ยัยรสไปหายาดมมาสิ เร็วๆ ด้วย”
โชติรสรีบวิ่งไปที่ตู้ยาประจำบ้านทันที แต่เสียงสูงเอ่ยห้ามของนางผกากรองก็ดังขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้อง!”
“คุณแม่ครับ ฟังผมก่อนนะครับ” พีรยุทธเอ่ยเสียงอ่อย
“คุณแม่ขา” โชติรสเอ่ยเสียงเครือ
นางผกากรองยกมือขึ้นเป็นสัญญาณไม่ให้ใครพูดอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดเพื่อให้ผ่อนคลายจากความเครียดพร้อมเอ่ยถามออกมาว่า
“พากันไปเข้าบ่อนน่ะ ไปกันเองหรือว่ามีใครมาชวนให้ไป บอกมาให้หมดนะ อย่าได้คิดปิดบังเชียว”
นางผกากรองพูดถามออกมาเสียงขรึม พีรยุทธก้มหน้างุด ก่อนจะพูดเล่าเรื่องทุกอย่างออกไป
“หุ้นส่วนที่ทำธุรกิจร่วมกันน่ะครับเป็นคนชวน ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปหรอกครับคุณแม่ แต่เขาบอกว่าลองไปเปิดหูเปิดตาดูบ้าง แล้วยัยรสเองก็อยากรู้อยากเห็นว่าบ่อนน่ะมันเป็นยังไง ผมก็เลยรับคำชวน แรกๆ ที่เล่นก็เล่นได้ครับ ยิ่งเล่นยิ่งได้ ผมก็เลยทุ่มไม่อั้น แต่พอมันเสียผมก็เลยอยากได้ทุนคืน ก็เลยยิ่งเล่นหนักมากขึ้น แต่มันกลับเสียจนกลายเป็นหนี้กับบ่อนซะมากมาย”
พีรยุทธเล่าเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตากับมารดา ก่อนที่นางจะหันขวับไปมองหน้าลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แล้วเราล่ะยัยรส คิดยังไงถึงได้อยากรู้อยากเห็นกับไอ้เรื่องแบบนี้นัก ไหนบอกแม่มาสิ” ผู้เป็นแม่หันมาเอ็ดให้กับแม่ลูกสาวตัวดีเข้าอีกคน
“ก็...ก็รสอยากเห็นนี่คะ ก็อย่างที่พี่ยุทธบอกนั่นแหละค่ะ แรกๆ ก็เล่นได้ แถมได้เยอะด้วยค่ะ แต่พอเสียแล้วก็อยากได้คืนน่ะค่ะ แต่สุดท้ายก็เป็นแบบที่พี่ยุทธเล่าให้คุณแม่ฟังนั่นแหละค่ะ คุณแม่ต้องช่วยรสกับพี่ยุทธนะคะ ถ้าไม่เอาเงินไปใช้ให้เขาละก็ รสก็ต้องไปเป็นนางบำเรอของเจ้าหนี้พี่ยุทธแน่ๆ เลยค่ะ”
พูดจบก็รีบก้มหน้าหลบสายตาเหมือนกับผู้เป็นพี่ทันที ก่อนที่ทั้งสองจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ออกมา
“เฮ้อ! พวกแกสองคนพี่น้องนี่ละน้า แล้วพวกแกติดหนี้บ่อนอยู่เท่าไหร่ล่ะ”
ในที่สุดนางผกากรองก็เอ่ยถามถึงยอดหนี้ที่จะต้องชำระแทนให้ลูกๆ ของนางออกมา
“10 ล้านครับ! 10 ล้านค่ะ”สองพี่น้องพูดออกมาพร้อมกัน
“10 ล้าน!!!” นางผกากรองอุทานเสียงดังลั่น
“เล่นบ้าเล่นบออะไรกันนี่ พวกแกถึงได้เป็นหนี้ตั้งมากมายซะขนาดนี้น่ะห๊ะ!”
“แต่ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยละก็รสต้องไปเป็นนางบำเรอของเขาแน่ๆ นะคะ” โชติรสโวยวายขึ้นมาทันที
“คุณแม่ครับช่วยพวกเราสักครั้งเถอะนะครับ แค่คุณแม่เซ็นเช็คแกร็กเดียวพวกเราก็ไม่เป็นหนี้พวกบ่อนนั่นแล้ว” พีรยุทธเสริมอีกแรง
“หยุดเลยนะตายุทธ แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาออกความเห็นเรื่องนี้ ดีนะที่ฉันไม่ได้ให้อำนาจในการเบิกจ่ายเงินมากกว่าห้าล้าน นี่ถ้าแกสามารถเบิกจ่ายเป็นสิบๆ ล้านได้ฉันคงไม่มีโอกาสได้รู้แน่ๆ ว่าแกเอาเงินของฉันไปถลุงในบ่อนนั่นไปเท่าไหร่แล้ว”
นางผกากรองไม่วายพูดอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบอย่างคนใช้ความคิด สักพักจึงเอ่ยถามพีรยุทธขึ้นมา
“ทางนั้นเขาบอกกับแกมาว่ายังไงถ้าหากว่าแกไม่มีเงินไปใช้หนี้พวกมันน่ะ”
นางผกากรองซักถามข้อมูลเพิ่มอย่างอยากรู้
“พวกมันบอกว่าถ้าไม่มีเงินไปใช้หนี้มันก็ให้เอาน้องสาวไปใช้หนี้แทนครับคุณแม่”
“ตายุทธ แกได้บอกชื่อยัยรสให้กับพวกมันรู้หรือเปล่า”
“เปล่าครับ คนที่รู้ชื่อยัยรสก็มีแต่หุ้นส่วนของผมคนเดียว และตอนนี้เขาก็บินกลับฮ่องกงไปแล้วด้วย”
นางผกากรองผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะหลับตาลงอยู่อย่างนั้นเป็นครู่ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดที่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“พวกมันบอกว่าถ้าไม่มีเงินไปใช้หนี้ก็ให้เอาน้องสาวไปใช้หนี้แทนใช่ไหม มันพูดอย่างนี้แน่นะตายุทธ”
“ไม่นะคะคุณแม่ รสไม่ไปเป็นนางบำเรอให้กับไอ้เจ้าของบ่อนนั่นหรอกนะคะ ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นยังไง แก่หรือว่าหนุ่มก็ไม่รู้ แต่รสว่ามันน่าจะแก่แล้วแน่ๆ เลย หรือไม่ก็อ้วนลงพุงหัวล้าน แค่คิดรสก็อยากจะอ้วกแล้ว ไม่เอาหรอกค่ะ รสไม่ไป รสไม่ยอม! ไม่ยอม!!”
โชติรสร้องโวยวายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินมารดาถามย้ำเรื่องจะเอาน้องสาวไปใช้หนี้แทน ก่อนที่นางผกากรองจะรีบปรามให้ลดเสียงลงอย่างหงุดหงิดในกิริยาของลูกสาวที่แสดงออกมา
“หยุดร้องโวยวายสักทีเถอะน่ายัยรส แม่รำคาญ แล้วแม่จะบอกให้รู้นะว่าแม่จะไม่ยอมให้ลูกของแม่ต้องไปใช้หนี้ไอ้บ่อนบ้านี่ด้วย แม่จะส่งนังลูกสาวนอกไส้ที่เป็นเหมือนหอกแหลมทิ่มแทงแม่อยู่ทุกวันไปแทนแกต่างหากล่ะ”
รอยยิ้มฉายแววมาดร้ายพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งเครียดของหญิงสูงวัยทันที
“คุณแม่อย่าบอกนะครับว่าจะให้ยัยแพรไปแทนยัยรสน่ะ!! ไม่ได้! ไม่ได้นะครับ”
พีรยุทธเอ่ยห้ามน้ำเสียงร้อนรน นึกถึงใบหน้าสวยหวานของคนที่มารดาพูดถึงก็ยิ่งให้นึกเสียดายหากจะต้องตกไปเป็นนางบำเรอของคนอื่นก่อนตน
“หยุด! หยุดเลยตายุทธ! แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาห้ามแม่ แกจะเห็นคนอื่นดีกว่าน้องของตัวเองได้ยังไง ในเมื่อโอกาสมันมาให้คว้าอยู่ตรงหน้าแล้วทำไมฉันถึงจะต้องปล่อยมันไปด้วยล่ะ”
นางผกากรองไม่คิดที่จะสนใจกับคำพูดของลูกชายแม้แต่น้อย
“อย่าทำแบบนี้เลยครับคุณแม่ เงินทองเราเองก็มีมากมาย เพียงแค่คุณแม่เซ็นเช็คให้เท่านั้น ยังไงยัยแพรก็เป็นลูกคุณพ่อคนหนึ่ง เป็นน้องของเราสองคน อีกอย่างยัยแพรก็เรียนอยู่เลย คุณแม่อย่าส่งแพรไปเลยครับ เซ็นเช็คเถอะนะครับคุณแม่ ผมขอร้อง”
พีรยุทธอ้อนวอนกับผู้เป็นแม่ให้ยอมเปลี่ยนใจ แต่แล้วเสียงแปร๊ดของโชติรสก็ดังขัดขึ้นในทันที
“คุณแม่ขาอย่าไปฟังพี่ยุทธค่ะ เอาตามที่คุณแม่บอกนั่นแหละดีแล้ว รสเห็นด้วย รสเกลียดมัน มันไม่ใช่น้องสาวของรส ที่คุณพ่อให้มันใช้นามสกุลร่วมกันกับพวกเรามันก็มากเกินพอแล้ว พี่ยุทธไม่ต้องมากล่อมคุณแม่เลยนะ ตัวเองน่ะไม่อยากให้คุณแม่ยกมันไปล้างหนี้ให้ก็เพราะอยากจะเก็บมันเอาไว้บำเรอตัวเองใช่ไหมล่ะ”
“นี่ยัยรส...”
พีรยุทธเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็มีอันต้องค้างคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อนางผกากรองเอ่ยห้ามออกมาเสียงดัง
“หยุด! หยุดกันทั้งคู่นั่นแหละ แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นตายุทธ แกจะเอาใครมากกมากอดก็ได้ทั้งนั้นแม่จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่สำหรับนังเนื้อแพรคนนี้แม่ไม่ยอมเด็ดขาด และแม่ก็ตัดสินใจแล้วด้วย แต่ถ้าหากแกไม่เห็นด้วยกับแม่แกก็ไปหาเงินมาใช้หนี้บ่อนที่แกไปเล่นเองก็ได้นะ เพราะยังไงแม่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะส่งยัยแพรมันไปแทนยัยรส”
พูดจบนางก็เดินออกไปจากห้องรับแขกทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่โล่งอกและประกายตาที่สาสมใจเมื่อนึกถึงนังลูกเมียน้อย ทีนี้แหละนางจะได้กำจัดเสี้ยนที่มันคอยทิ่มคอยแทงหัวใจของนางออกไปได้เสียที นังเนื้อแพร!!
หญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟาเนื้อดี ปรายตามองหญิงสาวร่างบอบบางที่ค่อยๆ คลานเข้ามาหาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบหากแฝงความเกลียดชังเอาไว้
“มาแล้วเหรอ...ยัยแพร”
“ค่ะ..คุณท่าน คุณท่านมีอะไรจะให้แพรรับใช้อย่างนั้นหรือคะ” เนื้อแพรถามเสียงหวาน ดวงตากลมโตสวยหวานเปล่งประกายสดใส
หญิงสาววัย 21 ปี รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก เพราะนับครั้งได้ที่คุณท่านจะเรียกหาให้มาพบ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วละก็น้อยครั้งนักที่เนื้อแพรจะมีโอกาสได้เข้ามาพบกับท่าน หญิงสาวนั้นเจียมตัวอยู่เสมอ เพราะรู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นลูกเมียน้อย มารดาเสียไปตั้งแต่หญิงสาวยังเล็กๆ จนบิดาต้องพามาอยู่ที่ตระกูลทวีขจรไพศาล และมีชื่นจิต กับพี่ๆ ที่เป็นคนรับใช้ภายในบ้านคอยช่วยเลี้ยงและดูแลหญิงสาวมาโดยตลอด
เนื้อแพรจึงกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องงานบ้านงานครัวของตระกูลทวีขจรไพศาลเป็นอย่างดี
และครั้งนี้ก็เช่นกัน คุณท่านเรียกพบเธอ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่จะพูดด้วยอย่างแน่นอน
‘หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เราสอบได้ทุนของมหาวิทยาลัย คุณท่านอาจจะทราบเรื่องแล้วก็เลยเรียกเรามาคุยด้วยเรื่องนี้ก็ได้’ เนื้อแพรคิด
ในขณะที่หญิงสาวเงยมองหน้านางผกากรองอยู่นั่น นางเองก็ทอดสายตาสบกับดวงตาของหญิงสาวเช่นกัน
‘เชอะ...ยิ่งโตมันก็ยิ่งสวย หน้าแม่มันสวยขนาดนี้นี่เองคุณยุทธนาถึงหลงมันซะหัวปักหัวปำ ขนาดว่ามันตายไปแล้วยังไม่ยอมหมดรักในตัวมันเลย’ นางผกากรองคิดในใจ พลางนึกไปถึงเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
เมื่อตอนที่คุณยุทธนาอุตส่าห์มาขอร้องนางให้ยอมรับนังเนื้อแพรให้มาเป็นลูกอีกคนหนึ่ง เพราะความรักที่มีต่อคุณยุทธนา นางผกากรองถึงยอมทำตามคำขอร้องของเขา ซึ่งนางบอกกับตัวเองว่านางคิดผิด เพราะตั้งแต่ที่สามีนำลูกที่เกิดจากเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
คุณยุทธนาผู้เป็นประมุขของบ้านนั้นเปลี่ยนไป ความรักทุกอย่างที่เคยมีให้พีรยุทธกับโชติรสนั้นก็ถูกแบ่งปันไปให้กับนังเด็กคนนี้ แม้ขนาดก่อนจะสิ้นใจคุณยุทธนาก็ไม่วายฝากฝังนังเด็กคนนี้ให้นางช่วยดูแลจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะและได้รับมรดกในส่วนที่ผู้เป็นพ่อได้ทำให้ไว้ ยิ่งคิดมาถึงตรงนี้นางผกากรองก็ยิ่งแค้น
‘อย่าฝันว่าแกจะได้สมบัตินังเนื้อแพร ถ้าวิญญาณคุณยังอยู่ละก็จงดูไว้ซะ ว่าฉันจะแก้แค้นนังลูกเมียน้อยของคุณคนนี้ยังไง คุณยุทธนา!’
“ใช่...ฉันมีงานจะให้หล่อนทำ”
“งานอะไรหรือคะ...คุณท่าน?”
“ฉันต้องการให้หล่อนไปทำงานใช้หนี้แทนตายุทธกับยายรส แต่หล่อนไม่ต้องกลัวไปหรอกนะว่ามันจะเป็นงานหนัก เพราะที่ให้ไปทำน่ะมันงานสบาย เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน”
“ทำงานใช้หนี้แทนคุณยุทธกับคุณรส ไปทำที่ไหนหรือคะคุณท่าน”
เนื้อแพรถามเสียงสั่น ใจหายวาบกับคำพูดบอกเล่าของอีกฝ่าย
“จะรู้ไปทำไม หรือว่าหล่อนจะไม่ไปทำตามที่ฉันสั่ง”
นางผกากรองเอ่ยเสียงดุ ดวงตาถลึงจ้องเขม็งขึ้นมาทันที จนเนื้อแพรต้องรีบหลบตา ร่างบอบบางสั่นน้อยๆ อย่างตื่นตระหนกไปกับเสียงของคุณท่าน
“ปะ...เปล่าค่ะ เพียงแต่ว่าอาทิตย์หน้านี้ทางมหาวิทยาลัยก็จะเปิดเทอมแล้วน่ะค่ะ พอดีว่าแพรสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้ แพรก็เลยอยากจะรู้ว่าเป็นวันไหน” เนื้อแพรเอ่ยบอกตามความจริง
“หล่อนน่ะเหรอสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้”
นางผกากรองเอ่ยเสียงเยาะอย่างไม่อยากเชื่อ
“หล่อนน่ะเหรอสอบชิงทุนได้” นางผกากรองไม่วายถาม
“ค่ะ คุณท่าน แพรสอบชิงทุนได้ค่ะ จะได้ไม่รบกวนค่าใช้จ่ายและลดรายจ่ายของแพรในปีสุดท้ายลงด้วยค่ะ”
เนื้อแพรเอ่ยอย่างภูมิใจ แต่ก็ต้องน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของคนที่ตนนับถือ
“ถึงหล่อนจะสอบชิงทุนได้ หล่อนก็คงจะไม่ได้ไปเรียนหรอกนะ เพราะหล่อนจะต้องไปทำงานใช้หนี้ตายุทธกับยัยรสแทนฉันเสียก่อน เข้าใจไหม!”
นางผกากรองประกาศออกมาเสียงดังสนั่น
“คุณท่าน!!”
“หล่อนไม่ต้องมาเรียกฉัน ฉันสั่งอะไรหล่อนก็จะต้องทำสิ”
นางผกากรองพูดใส่อารมณ์ มองเหยียดหญิงสาวที่นั่งตัวสั่น มือบางบีบเน้นไปมาอย่างหวาดกลัวในน้ำเสียงของผู้พูด
“คุณท่านคะ แต่แพรเป็นลูก...”
“หยุด! หล่อนอย่ามาเอ่ยอ้างคำนี้นะ เพราะคำที่หล่อนกำลังจะพูดออกมามันทำร้ายฉัน มันทิ่มแทงฉัน ถ้าหากว่าหล่อนไม่ทำฉันจะถือว่าหล่อนเนรคุณ ข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันใช้เลี้ยงหล่อนมามันไม่มียาง ฉันเลี้ยงดูหล่อนมา ฉันเคยไหว้วานให้หล่อนทำอะไรเพื่อฉันบ้างหรือเปล่า ก็ไม่มี หล่อนน่ะมีแต่ได้รับจากฉันอยู่ฝ่ายเดียว และสิ่งที่ฉันจะให้หล่อนทำในครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวด้วย หล่อนยังกล้าที่จะปฏิเสธงานที่ฉันจะให้ทำอีกเหรอห๊ะ”
นางผกากรองเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดก่อนจะหันหลังให้หญิงสาวทันทีเพื่อกลั้นอารมณ์โกรธ
เนื้อแพรก้มหน้านิ่งพร้อมกับน้ำตาเม็ดใสที่ไหลรินออกมา เมื่อรู้แน่แล้วว่าคงไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของนางผกากรองได้เป็นแน่ มือเรียวบางป้ายปาดน้ำตาออกจากแก้มนวล ก่อนจะตัดสินใจทำในสิ่งที่คุณท่านต้องการ นั่นเพราะเนื้อแพรรักผกากรองเหมือนแม่แท้ๆ แม้ว่าคุณท่านของเนื้อแพรจะไม่เคยรักเธอเหมือนลูกเลยก็ตาม
“คุณท่านคะ แพรจะไปทำงานใช้หนี้คุณยุทธกับคุณรสแทนคุณท่านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยออกไปในที่สุด
นางผกากรองหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างสาสมใจ ระดับความร้อนแรงของอารมณ์ลดลงมาเกือบครึ่ง ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้ดูเหมือนพึงพอใจและโอบอ้อมอารีต่อหญิงสาวยิ่งนัก แต่ทั้งหมดนั้นก็คือการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น
“ขอบใจหล่อนมากที่ยอมช่วยเหลือตายุทธกับยัยรสและฉัน”
“แพรขอทราบได้ไหมคะว่าแพรจะต้องไปทำงานอะไรให้คุณท่านน่ะค่ะ”
“หึหึ ได้สิ ถ้าหล่อนอยากรู้ฉันก็จะบอก งานที่ฉันจะให้หล่อนไปทำน่ะมันก็ไม่ได้หนักได้หนาอะไรนักหรอกนะ ก็แค่ไปเป็นเมียหรือนางบำเรอใช้หนี้เขาก็เท่านั้น หรือหล่อนจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่หล่อนเถอะ แต่ว่ารู้แล้วก็อย่าเปลี่ยนใจไม่ยอมไปล่ะ”
นางผกากรองรีบเอ่ยขึ้นทันที นางกลัวว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเปลี่ยนใจ
เนื้อแพรเองเมื่อรู้ถึงงานที่จะต้องไปทำใช้หนี้แทนพี่ชายและพี่สาวก็ตกใจอยู่มิใช่น้อย ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหลับตาลงอย่างตั้งสติ แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่หรอกค่ะคุณท่าน แพรรับปากแล้วแพรไม่กลับคำหรอกค่ะ แล้วแพรจะต้องทำงานใช้หนี้เขานานเท่าไหร่ล่ะคะถึงจะหมดหนี้”
หญิงสาวพูดเสียงเรียบ หากแต่น้ำตานั้นเล่าไหลท่วมท้นหัวใจหญิงสาวยิ่งนักกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของคนที่เธอเคารพนับถือ
“หล่อนก็คิดดูสิว่าเงินสิบล้านน่ะจะใช้หนี้กันนานขนาดไหนดีถึงจะหมดน่ะ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ ก็คงแล้วแต่เจ้าหนี้รายนี้แหละว่าจะให้หล่อนอยู่ใช้หนี้เขานานเท่าไหร่ รู้แค่นี้ก็คงจะพอนะ หล่อนรีบๆ กลับไปในที่ของหล่อนได้แล้ว แล้วก็เตรียมตัวไว้ด้วยนะ ถ้าเขามารับเมื่อไหร่จะได้เดินทางไปได้เลย”
“ค่ะคุณท่าน”หญิงสาวตอบรับเสียงแผ่ว
ยอดหนี้ที่ได้ยินจากปากของคุณท่านมันช่างมากมายเสียเหลือเกิน แล้วนี่เธอมิต้องใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้คนนี้กันทั้งชีวิตหรอกหรือนี่ ก่อนจะค่อยๆ คลานออกไปจากห้องอย่างคนหมดแรง โดยมีสายตาชิงชังของนางผกากรองมองตามไปด้วย