บทที่ ๓ - เอาคืน

2101 Words
บทที่ ๓ - เอาคืน   โรงเตี๊ยม           “อะแฮ่ม…เอาแน่หรือท่าน” เสียงแหบ ๆ ของชายชราเอ่ยขึ้น พลางจิบน้ำชาเล็กน้อยเพื่อดับความขุ่นมัวในหัวใจ พลางจับจ้องใบหน้าผู้อ่อนเยาว์กว่านิ่ง ๆ ด้วยสายตาค้นหาความจริง           “เอาแน่ ท่านจัดการให้ข้าด้วย ข้าอยากมีเมียเต็มทีแล้ว” เสียงอันน่าเกรงขามของบุรุษเอ่ยขึ้น เมื่อมองดูจะเห็นว่า คนผู้นี้เป็นยาจกผู้สกปรกมอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้น ก็ขาดรุ่งริ่ง มอซอเหลือเกิน แต่เหตุใด ยาจกผู้นี้ถึงมานั่งจิบชากับชายชราผู้มั่งคั่งได้           ทุกสายตาต่างก็มองด้วยความแปลกใจ และอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าถามแม้แต่น้อย           “ท่านมีภรรยาเยอะแล้ว” ชายชราขัดขึ้นเสียงเข้ม ดวงตาวาววับ แต่คนมอซอกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะคีบเต้าหูปลาเข้าปากเคี้ยวอย่างหน้าตาเฉย ทำให้คนถามตาขุ่นมัว           “อะ ท่านมองข้าเช่นนี้ มีปัญหากับข้าเช่นนั้นหรือ” ถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ไม่ได้คำนึงเลยว่าตนนั้น เป็นเพียงชายยาจกและชายชราผู้นี้ ดูแล้วคงมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่เหตุใด คำสนทนาถึงได้ดูทะแม่ง ๆ ยิ่งนัก           “ท่านอย่าใส่ไคล้ข้า” ชายชราเอ่ยขึงขัง           “หึหึ ท่านอยากจะเป็นพ่อตาที่ใจร้ายหรืออย่างไรกันนะ ถึงมาขึงขังใส่ข้าเช่นนี้” กลั้วหัวเราะ ไม่สนใจว่าชายตรงข้ามกับตนจะมองแบบตาถลนมากแค่ไหน           “ข้าไม่กล้า…แล้วบุตรคนใด ที่ท่านอยากจะได้เป็นภรรยากันเล่า” ชายชรากัดฟันข่มใจถามขึ้นมา แต่คนหนุ่มกว่ากลับชอบใจ แววตาวาวับคล้ายดวงดาวในยามรัตติกาล           “หึหึ คนที่ข้าแอบมองอยู่มานานแล้ว คือบุตรีคนเล็กของท่าน ฉิงเอ๋อร์” เอ่ยจบ ก็หลุบเปลือกตาลง พร้อมกับจิบน้ำชาอีกรอบ เมื่อเอ่ยถึงบุตรีคนโปรดของชายตรงหน้า           “อันใดนะขอรับ” เสียงดังอย่างลืมตัว           “จุ๊ จุ๊ คนอยู่เยอะนะท่าน” เตือนด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย ชายชราหันซ้ายมองขวา เห็นว่ามีหลายคนมองดูอย่างอยากจะรู้ ท่านจึงกระแอมเล็กน้อย และจิบน้ำชา เพื่อปรับอารมณ์           “แฮ่ม…ข้าขอฟังอีกครั้ง” ท่านรู้และเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่เพื่อตั้งสติก่อนจึงเอ่ยย้ำ ท่านไม่อยากเชื่อเลย ว่าคนตรงหน้าจะอยากได้บุตรีคนเล็ก แล้วท่านควรจะทำอย่างไร จะปฏิเสธได้หรือไม่ แน่นอน ย่อมไม่ได้ ไม่มีผู้ใดกล้าอาจหาญขัดใจ หากชายผู้นี้เอ่ยปาก ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามนั้น           “ข้าบอกว่า อยากได้ฉิงเอ๋อร์ มาเป็นภรรยาของข้า ข้าเอ่ยเช่นนี้ ชัดเจนดีหรือไม่” คนตรงหน้าถามขึ้นอีกครั้ง พลางจ้องหน้าชายชราอย่างกดดัน           “ทะ ท่าน บอกว่า แอบมอง ฉิงเอ๋อร์มานานแล้ว…” ค้างไป           “ถูกแล้ว ข้าแอบมองนางมานาน จนไม่อาจจะทนต่อไปได้ จึงเอ่ยขอนางกับท่านนี่แหละ” เอ่ยอย่างไม่สนกับทาทีร้อนรนของคนเป็นบิดาแม้แต่น้อย           “นะ นี่ท่าน…ช่างกล้า ท่านเอาเวลาใด มาแอบดูบุตรของข้ากัน” แทบจะหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงขึงขุ่นจัด           “ช่วงก่อนที่ฉิงเอ๋อร์จะนอน” ได้ยินชัดเจน คนเป็นบิดายิ่งอึ้ง ไม่สามารถกล่าวอันใดได้อีกต่อไป           “ข้าต้องการฉิงเอ๋อร์ จนแทบจะทนไม่ไหว ท่านเองก็อย่ามากเรื่องเลย อย่าลืมว่า หากฉิงเอ๋อร์เป็นเมียข้าแล้ว จะไม่มีผู้ใดมากลั่นแกล้งนางได้อีก” ชักแม่น้ำแปดสายอย่างคล่องแคล่วว่องไว           “แต่ว่า…ฉิงเอ๋อร์ ยังเด็กนัก ยังไม่เหมาะจะออกเรือน” ความหวงบุตรีกำเริบขึ้นมาอย่างทันท่วงที           “18 หนาว สำหรับข้าไม่ถือว่าเด็ก แต่งงานก็มีบุตรได้แล้ว เชื่อข้า จงมั่นใจเถิด ว่าท่านได้บุตรเขยที่ดี มีคุณภาพอย่างแน่นอน” คำพูดชวนเชื่อให้น่าเชื่อถือ มันยิ่งทำให้ชายชราผู้รักบุตรีสุดดวงใจขาดดิ้น หัวใจร้อนรุ่มอย่างหนัก           “หรือว่า…ท่านไม่อยากให้ฉิงเอ๋อร์แต่งเป็นภรรยาข้า แล้วท่านอยากให้นางไปเป็นภรรยาของใคร ข้าบอกไว้เลยนะ ข้า ไม่ เอา มัน ไว้ แน่” ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะรู้ตัว ว่าตนนั้นแสดงท่าทีเช่นใดออกไป จึงหายใจเข้าลึก ๆ พลางตั้งสติให้ดี เมื่อรับรู้อยู่แก่ใจ ว่าชายตรงหน้ามีฐานะอันใดในตอนนี้           “ข้า…ขออภัยท่าน ข้าคงขัดไม่ได้แล้ว คงต้องยอม” เอ่ยอย่างตัดใจ เมื่อบุตรีคนโปรดจะเป็นฝั่งเป็นฝากับคนผู้นี้เสียแล้ว ทั้งที่ให้นางอยู่แต่ในหอคอย แต่กลับถูกคนผู้นี้ล่วงรู้เข้าจนได้           หนำซ้ำยังสารภาพมาว่า แอบลักลอบเข้าจวนของท่านหลายต่อหลายครั้ง ทำตัวเป็นโจรโรคจิต ที่คอยเมียมองสตรีแล้วเก็บไปฝันตาเยิ้ม ทั้งที่รอบกายมีสาวงามอยู่มากมายแท้ ๆ           “ข้าไม่ได้บังคับท่าน” เอ่ยเสียงนิ่ง แล้วคีบผักเข้าปากพลางเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่สายตานี่สิ จับจ้องอยู่บนใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราตรงหน้าอย่างกดดัน ยิ่งทำให้ท่านผู้เฒ่าเหงื่อตก           “ท่านบอกไม่บังคับ แต่ว่า ท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร คงต้องยอมอย่างเดียวแล้ว” เอ่ยเหมือนกับว่า เป็นความผิดของอีกฝ่ายให้ได้ ก็ในเมื่อไม่สามารถทำอันใดชายตรงหน้าได้ ก็พูดเช่นนี้แหละเขาจะได้รู้สึกผิด แต่ที่ไหนได้ ชายหนุ่มตรงหน้า กลับไม่มีทีท่าจะรู้สึกอันใดแม้แต่น้อย           “ท่านจะเอ่ยอย่างไรก็ได้ ข้าไม่ถือสา เพราะว่าข้านั้น กำหนดเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้ ข้าจะต้องได้เจอฉิงเอ๋อร์ ท่านให้นางออกมาที่ตลาดด้วย” สั่งการเสร็จ ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ไม่สนสายตาขุ่นเขียวของเฒ่าชราเลยแม้แต่นิด           “ท่านช่างเอาแต่ใจนัก” เสียงขุ่นเขียวเอ่ยขึ้น อันที่จริงท่านผู้เฒ่า กล้าได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ หากอยู่ในที่ทางของชายผู้นี้ ท่านก็ไม่อาจจะทำได้           “เอาน่ะ ท่านอย่าเรื่องมากนักเลย ได้ข้าเป็นบุตรเขยแล้วไม่ดีอย่างไร ไม่มีใครทำอะไรฉิงเอ๋อร์ได้แน่ นอกจากข้า” ยิ่งพูด ยิ่งได้รับสายตาขุ่นจัดจากชายชรา แต่คนหนุ่มกว่ากลับหัวเราะหึหึอย่างชอบใจซะงั้น           ท่านผู้เฒ่าที่ดูจะมากด้วยอำนาจมองอย่างเคืองจัด แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านหรือขัดขืนได้ จำต้องทำตามอย่างเซ็ง ๆ จวนท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย เรือนกลางของต๋าฮูหยิน           “ท่านแม่ ฮึก มัน มันร้ายกาจมากเจ้าค่ะ มันทำให้ข้าตกน้ำ ท่านแม่จัดการให้ข้าด้วย” เป่ยอ้ายฟ้องมารดาอย่างแค้นเคืองในตัวเป่ยฉิง ที่ทำให้ตนตกน้ำตกท่า และยังไม่พอ ยังตบหน้าของตนสองทีซ้อนจนโลหิตซึมออกมา           ผู้ให้กำเนิดถึงกับดวงตาวูบวับ ความเกลียดชังผู้เป็นอนุเจีย ถูกส่งมาให้ผู้เป็นบุตรสาวอย่างมากล้น ไม่ว่าจะทำอะไร นางย่อมหาเรื่องทำให้คนเด็กกว่า ถูกลงโทษอยู่บ่อยครั้ง           “มารดาจะจัดการให้เจ้าเอง” เอ่ยจบก็ลุกขึ้น พลางก้าวย่างไปยังเรือนเล็กของอนุเจีย ที่ตอนนี้กลายเป็นของเป่ยฉิง ลูกเลี้ยงแสนชังของฮูหยินใหญ่           ตามติดด้วยบ่าวคนสนิทหลายคน รวมทั้งเป่ยอ้ายและเป่ยฮ่วน ที่อยากเห็นการลงโทษสตรีผู้ที่เป็นลูกอนุ ใจจะขาด            เขาเองไม่ใช่คนดีอะไร เพราะกลั่นแกล้งและลวนลามน้องสาวคนละแม่มานับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่แปลกอะไร ที่เขาอยากจะเห็นการร้องไห้ของน้องสาวคนงามในวันนี้   เรือนเล็กกลางน้ำของเป่ยฉิง           อูฟางยี่มองหน้าคุณหนูของนางอย่างภาคภูมิใจ เมื่อสิ่งที่ต้องการและใฝ่ฝันมานาน วันนี้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว คุณหนูของนาง รู้จักสู้คน ไม่หงอเหมือนแต่ก่อน แม้จะหวาดกลัวว่าฮูหยินใหญ่จะลงโทษ แต่ความสะใจ มันย่อมมี           “คุณหนูเจ้าคะ ข้ากลัวว่าฮูหยินใหญ่จะลงโทษคุณหนูเหลือเกิน” กังวลใจ แต่คนเป็นนายกลับไม่สนใจอะไรแม้แต่นิดเดียว           “เอาน่ะ ข้าไม่ยอมให้ใครทำอะไรข้าอย่างแต่ก่อนแน่ ข้าสู้คนนะ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลยเสี่ยวอู” เป่ยฉิงเอ่ยยิ้ม ๆ เรื่องอะไรจะต้องยอมกัน เธอนั้นเป็นตำรวจนะ ไม่ใช่ผู้หญิงในยุคนี้ที่จะต้องยอมทุกอย่าง ใครร้ายมาเธอก็ร้ายกลับ ไม่จะต้องกลัวอะไรทั้งนั้น           แหยมเข้ามาสิ แม่เตะลงน้ำแน่           สิ่งที่อูฟางยี่กังวล ก็มาถึง ฮูหยินทั้งสองต่างก้าวฉับ ๆ มาที่ศาลาเล็กอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง และเหล่าบ่าวรับใช้ทั้งหลาย           ดั่งขนมาจนหมดจวนอย่างนั้นแหละ           “เก่งกล้าสามารถมาก ที่ทำอ้ายเอ๋อร์และเหรินเอ๋อร์ ตกลงไปในน้ำ เจ้าคิดมาดีแล้วใช่หรือไม่ ถึงกล้าทำเช่นนี้” เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ไม่ได้ทำให้เจียงลู่ในร่างของเป่ยฉิงตกใจแม้แต่น้อย           คนงามยังคงรินน้ำชากินอย่างสบายอารมณ์ ทำให้ผู้มาเยือนโมโหหนักมากขึ้นกว่าเดิม           “เจ้าคิดลองดีกับข้าหรือ ฉิงเอ๋อร์ คงอยากถูกข้าลงโทษมากสินะ” เป่ยฉิงเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่พูด แล้วก็ต้องยิ้มหวานทั้งปากและตา เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ความทรงจำบอกกับนางว่า คนนี้ เป็นฮูหยินใหญ่ เป็นแม่ของเป่ยอ้าย พี่สาวคนโตของเธอ อ้อ ไม่ใช่สิ เป็นพี่สาวคนโตของร่างนี้ต่างหาก           ส่วนอีกคนเป็นฮูหยินรอง หรือแม่รอง ผู้เป็นมารดาของเป่ยเหริน           ‘หึหึ ร้ายกาจทั้งแม่ทั้งลูก เดี๋ยวแม่จะจัดให้หนักเลย’ คิดแล้วก็ลุกขึ้น ทำการคาราวะฮูหยินใหญ่และฮูหยินรอง ด้วยท่าทางที่ดู ‘ปลอม’ เหลือเกิน           “อะ นึกว่าใคร แม่ใหญ่และแม่รองนี่เอง คาราวะแม่ใหญ่และแม่รองเจ้าค่ะ ขออภัยนะเจ้าคะ ที่ฉิงเอ๋อร์ไม่ทันได้ต้อนรับ พอดีไม่เห็นเลยเจ้าค่ะ” ลอยหน้าลอยตาแล้วหนึ่ง แต่คนสนิทกลับสยองในใจ           “อ้อ ต้าเกอ ต้าจื่อ เอ้อร์จื่อก็มาด้วยหรือเจ้าคะ ครบทีมเลย” ยิ้มหวานเล็กน้อย แล้วยืนรอนิ่ง ๆ เพื่อรอดูว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไร           “เมื่อกลางวันเจ้าทำอะไรกับอ้ายเหริน” เสียงของเมียใหญ่ท่านเสนาบดีไม่ได้ทำให้เป่ยฉิงหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เจอคนร้ายในโลกโน้นยิ่งหนัก แค่นี้จิ๊บ ๆ           “ข้าทำอะไรน่ะหรือ…เอ ข้าทำอะไรนะ…อ้อ ข้าคิดออกแล้ว” ใช้นิ้วกลางเคาะที่ศีรษะเป็นเชิงครุ่นคิด แล้วก็ร้องอ้อเสียงดัง พร้อมกับส่งยิ้มหวานอีกรอบ           “ข้าผลักต้าจื่อและเอ้อร์จื่อตกลงไปในน้ำเจ้าค่ะ” ตอบกลับไปแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น           “เจ้าช่างกล้านัก เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับอ้ายเอ๋อร์ได้อย่างไร เจ้าเป็นใคร แล้วอ้ายเอ๋อร์เป็นใครเจ้าถึงกล้าทำเช่นนี้” เสียงนั้นตวาดด้วยความมีอำนาจ แต่เป่ยฉิงกลับยักไหล่ แล้วเอ่ยขึ้น           “ทุกคนในที่นี้ ต่างก็เป็นบุตรของท่านพ่อกันทั้งนั้น ไม่ว่า จะข้า หรือต้าเกอและต้าจื่อ หรือกระทั่งเอ้อร์จื่อ แล้วทำไมข้าจะอะไรไม่ได้ ทีพวกท่านยังกล้าทำข้าเลย ทำไม่ไม่คิดบ้างว่า ข้านั้นเป็นลูกของท่านพ่อเช่นกัน” เป่ยฉิงเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วเดินมาหา ผู้เป็นแม่เลี้ยงด้วยท่วงท่าคุกคาม           ทุกคนอึ้ง เมื่อเห็นท่าทีนี้จากสตรีผู้เคยเป็นลูกไล่มาโดยตลอด สตรีผู้หงอย ๆ หงิม ๆ วันนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว           “นี่เจ้าจะทำอันใด” ต๋าฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างหวาดระแวง           “อ้าว แม่ใหญ่เจ้าคะ ข้าแค่เดินมาเองนะเจ้าคะ แล้วมาบอกว่า ข้านั้นจะทำอะไรได้ยังไง แต่ถ้าหากแบบนี้ก็ไม่แน่” พูดจบ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตัวเองขาดทันที แคว่ก 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD