10 เดือนที่แล้วธามไทได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทุกสิ่งอย่างเป็นไปด้วยดีท่ามกลางความปีติยินดีของครอบครัวผู้ให้และผู้รับ
ยกเว้นเพียงคนเดียว
‘ถึงพ่อกับแม่จะบอกว่าพี่ไอติมยังมีชีวิตอยู่ในร่างอิคคิว แต่เขาก็ไม่ใช่พี่ติมอยู่ดี คอยดูนะถ้าคิวไม่ดูแลตัวเองแล้วทำให้หัวใจพี่ติมสูญเปล่า แตมจะด่าไม่ไว้หน้าเลยคอยดูสิ’ เฌอรินทร์พูดทั้งน้ำตาโดยไม่สนใจเปรียบเปรยใด ๆ
‘แตมเอ๊ย อิคคิวก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะลูก พ่อว่าพี่เราก็เต็มใจจะแบ่งให้นะ’
‘แล้วพ่อรู้ได้ไงว่าพี่ติมอยากให้ พ่อกับแม่ไม่ถามแตมสักคำเลย’ คงเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจที่ผู้ใหญ่ตกลงบริจาคอวัยวะโดยไม่บอกลูกเพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก ผลคือเฌอรินทร์งอนพ่อแม่ไปหลายวันและไม่ยอมญาติธามไทเลยสักครั้ง
‘หึ! หัวใจของพี่ติมไม่ควรอยู่ในร่างคนอ่อนแอแบบนี้ เผลอ ๆ การผ่าตัดจะสูญเปล่าด้วยซ้ำเพราะอิคคิวขี้โรคอย่างกะอะไรดี’ เพื่อลบคำสบประมาทนั้น ธามไทจึงไปว่ายน้ำออกกำลังกาย แม้จะยังแข็งแรงไม่เท่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมมาก
วันสุดท้ายบนโลกเขาก็เพิ่งเสร็จมาจากสระว่ายน้ำที่มหาวิทยาลัย
………………………
กรี๊ด!!!
ผีสาวต้นไทรแผดเสียงแสบแก้วหูที่แค่อมนุษย์เท่านั้นจะได้ยิน มันถึงขั้นทำให้พวกวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่บริเวณนั้นพากับกรีดร้อง ดิ้นทุรนทุรายเพราะต้านทานพลังอันแก่กล้าของวิญญาณระดับสิงสู่ไม่ได้
‘หนอยแน่! คิดจะสู้เหรอ นังผีอ่อนหัด ดวงจิตแตกดับข้าไม่รู้ด้วยนะ!’ กริมริปเปอร์เผยร่างจริงให้ผีสาวได้เห็นเป็นบุญตา ดวงตาเย็นชาเปลี่ยนเป็นสีเพลิงพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย เคียวคู่กายพร้อมจะฟาดฟันภูตผีที่กล้าท้าทายเทพแห่งความตาย
เจ้าแม่ต้นไทรกลายร่างเป็นควันสีเทาพุ่งไปข้างหน้าแล้วหมุนเป็นวงรอบร่างสูงคล้ายจะตีวงล้อมหาช่องว่างโจมตี กริมริปเปอร์หาได้เกรงกลัวไม่ แค่ปลายตามองตามนิ่ง ๆ เพราะกระดิกนิ้วนิดเดียวเคียวก็ฟาดหล่อนขาดสองท่อนแล้ว ชั่วอึดใจผีสาวก็ส่งเสียงกรี๊ดมาอีกระลอก
ทว่าหนนี้…มันแปลก ๆ
“กรี๊ดดดดดด ว๊ายตายแล้ว! ทำไมหล่อจังเลย” เจ้าแม่ต้นไทรคืนร่างเป็นสาวร่างเล็กที่มีความสูงแค่ระดับหน้าอกของยมฑูต เรือนผมดำขลับยาวทิ้งตัวสลวย ผิวสีน้ำผึ้งถูกขับให้ดูเปล่งปลั่งด้วยสไบสีทองพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ เบิกตาโตเพื่อชื่นชมความหล่อเหลา
“ดูสิ ยิ่งมองใกล้ ๆ ยิ่งใจสั่น นานทีปีหนจะเจอผีรูปหล่ออย่างตัวนะเนี่ย นี่ ๆ เค้าชื่อบัวตองนะ ชาติที่แล้วสะดุดก้อนหินคอหักตายตรงต้นไทรพอดี แล้วตัวชื่ออะไรเหรอ…เป็นอะไรตายมาล่ะ” ในภพอมนุษย์มักจะทักทายกันแบบนี้เสมอ
ยังไม่ถามสักคำ
แต่บัวตองชวนจ้อไม่หยุดเหมือนเหงา
“ข้าไม่ใช่ผี! ข้าเป็นเทวฑูตแห่งความตาย นามว่ากริมริปเปอร์” ร่างสูงเชิดหน้ายืดอกขึ้น ที่ผ่านไม่เคยโดนภูติตนไหนทักทายตีเสมอลำดับชั้นแบบนี้
“กริม ระ ระ ระ แรพเปอร์งั้นเหรอ อ๋อ…เป็นแรพเปอร์ โย่ว ๆ วอทซับแมนนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะ พ่อแรพเปอร์”
“ไม่ยินดีไม่อยากรู้จัก! เจ้าอ่านปากข้านะ กริมริปเปอร์ กริมริปเปอร์ กริมริปเปอร์!” เจ้าของชื่อขึงตาใส่ พูดเน้นย้ำแต่ยังโดนอีกฝ่ายทำท่าทางกวนโอ๊ยใส่ไม่หยุด
“แกมแรพปี้ กริมแรพโป้ กริมริปป้า…!”
“เรื่องของเจ้า ข้าไม่มีธุระอะไรกับเจ้า อย่ามาวุ่นวายกับข้า!”
“แต่ยายเด็กคนนั้นลบหลู่เค้า เมาแล้วมานั่งเพ้อเรื่องความรักไม่พอยังขโมยชุดเค้าไปใส่อีก หึ! ชุดนั้นเพิ่งมีคนมาแก้บน เค้ายังไม่ได้ใส่เลยนะ” เจ้าแม่ต้นไทรหรี่ตา ค้อนขวักไปทางเฌอรินทร์ที่นั่งเป็นรูปปั้น รวมถึงมนุษย์ทุกคนห้องนี้ต่างก็นิ่งอยู่กับที่ทั้งหมด
เนื่องจากเวลาของสองภพไม่เท่ากัน ตั้งแต่อมนุษย์ 2 ตนหวิดปะทะกันยันต่อปากต่อคำฉอด ๆ ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาที แต่ภพมนุษย์ผ่านไปเพียงเสี้ยวของเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ข้าไม่ได้ถาม” กริมริปเปอร์แสดงท่าทีไร้เยื่อใย
“แต่ยัยนั้นมันเป็นเพื่อนตัวนะ”
“หล่อนเป็นเพื่อนไอ้ปวกเปียกนี้ แต่ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่ได้มาหาเพื่อน” เขากัดฟันแค่นเสียงและชี้ไปที่ร่างธามไท
“อ้าว! แล้วตัวมาทำไมล่ะ แกมแรพปี้”
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า เอาล่ะ…ข้าต้องไปเจอมนุษย์แล้ว อย่ามายุ่งกับข้าเชียวล่ะ” สิ้นประโยคบอกเล่าเชิงออกคำสั่งทุกอย่างก็กลับสู่สถานการณ์ปกติ กริมริปเปอร์กลับไปเป็นธามไทที่ยืนสบตาเฌอรินทร์อีกครั้ง
“สวัสดี…สบายดีมั้ย” เสียงทักทายทุ้มนุ่มช่วยดึงสติที่หลุดลอยให้คืนกลับมา
“ถ้าป่วยจะมานั่งมองคนขี้โรคตรงนี้เหรอ ถามแปลก ๆ นะอิคคิว” ร่างเล็กกระพริบตารัวแล้วตอบกลับไปอย่างที่เตรียมมาจากบ้านเป๊ะ ๆ
เถียงกับผีไม่ทันไรต้องมาต่อปากต่อคำกับมนุษย์อีก
“สวัสดีครับคุณอา” ธามไทไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้วไหว้ทักทายวิชิตที่เงยหน้าขึ้นมาเจอกันพอดี ก่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่เพื่อร่วมวงสนทนาตามวิถีมนุษย์
“ยัยแตมอย่าเสียมารยาทสิ โอ้ ๆ สวัสดีจ้ะอิคคิว อาขอโทษแทนแตมด้วยนะ” มาริสาเอ็ดลูกสาวแล้วกระพุ่มมือรับไหว้
“แตมพูดความจริงนะแม่ ก็เห็น ๆ อยู่ยังจะถาม” เฌอรินทร์ยังพูดจาค่อนขอดไม่หยุดโดยไม่หันไปมองธามไทแม้แต่หางตา
“แหมจริง ๆ เลยยัยแตม” ผู้เป็นพ่อยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ แค่เด็กเถียงกันมันน่าเอ็นดูไปอีกแบบจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ที่ผ่านหนุ่มหน่อมแหน้มอย่างธามไทก็ไม่เคยโต้คารมณ์ด้วยสักครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ โบราณว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา ส่วนแตมจะเมาหรือไม่เมา!...คิวก็ไม่ถือสาครับ” เขาจงใจเน้นเสียงเข้มที่คำว่าเมา ผีสาวบัวตองหัวเราะจนท้องแข็งในความปากร้ายของเทวฑูตตนนี้
ทีแรกทำเป็นไม่อยากรู้แต่สุดท้ายรู้ไว้บ้างก็ดี…มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“นี่นาย…!” เฌอรินทร์ขึงตาคู่งามใส่ ริมฝีปากเล็กสั่นระริก กำหมัดแน่นด้วยความโกรธจนเกือบจะหลุดโป๊ะอะไรที่ไม่เข้าท่าออกมา แต่มาฉุกคิดได้ว่า…เพิ่งเจอหน้ากันจะรู้เรื่องเมื่อคืนได้อย่างไร
“ฟื้นคืนชีพครั้งนี้ยอกย้อนเก่งขึ้นนะอิคคิว แต่คิดว่าแตมจะไม่ยอมให้นะ” พูดจบเธอถูกแม่เขกมะเหงกไปหนึ่งอีกด้วยเหตุผลที่ว่าจะฟื้นคืนชีพได้อย่างไร…คนไม่ใช่มัมมี่
“ไม่เป็นไรครับ คิวคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี” ธามไทโค้งยิ้มน้อย ๆ เมื่อพี่สาวคนโตเข้ามาร่วมด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเองก็ดำเนินต่อไปอย่างมีอรรถรสถึงช่วงเย็น
ก่อนจากกันเจ้าแม่ต้นไทรไม่ลืมหันมาส่งจูบแล้วทำตาหวานปิ๊ง ๆ ให้ต่างจากเฌอรินทร์ที่เอะอะก็เชิดใส่อย่างเดียว
วันที่น่าเบื่อของกริมริปเปอร์หมดไปอีกหนึ่งวัน ในเวลานั้นโทรศัพท์ก็เด้งแจ้งเตือนแบบชั่วโมงเว้นชั่วโมงจนอยากจะฟันทิ้งด้วยเคียว
‘นี่อะไรวะ ไอ้มนุษย์เพื่อนก็เอาแต่ส่งวิถีสืบพันธุ์มนุษย์มาให้ข้าอยู่ได้ ข้าไม่ได้เหงาเว้ย ข้าไม่ใช่เพื่อนพวกเจ้า!’ เทวฑูตแห่งความตายตั้งมั่นว่าจะฟื้นฟูพลังแล้วละทิ้งร่างนี้ไปให้เร็วที่สุด
แต่หารู้ไม่ว่าความวุ่นวายเพิ่งจะเริ่มขึ้น
ณ ศาลเจ้าจีนแห่งหนึ่ง
“ครอบครัวคุณผู้หญิงกำลังจะมีแขกไม่ได้รับเชิญนะเข้ามานะ” ลูกศิษย์ศาลเจ้าถ่ายทอดคำพูดของชายชราผมสีดอกเลาไว้หนวดเครายาว สวมชุดผ้าฝ้ายสีเหลืองอมเทาหม่น ๆ มีสัญลักษณ์หยินหยางที่กลางอกเสื้อหมือนนักพรตจีน เขาหลับตาเข้าฌาณสมาธิและหันไปกระซิบกับลูกศิษย์เป็นระยะ คนที่ได้ฟังรู้สึกอึ้งระคนหวาดวิตกจึงรีบอัญเชิญอาจารย์ไปทำพิธีขับไล่
“ขับไล่ไม่ได้เพราะมันไม่ได้มาสิงสู่ในบ้าน แต่อาจารย์สามารถกันไม่ให้มันผ่านเข้ามาได้”
“อย่างงั้นเหรอคะ งั้นทำพิธีเลยค่ะอาจารย์” งานนี้ศิรินญาไม่เกี่ยงเรื่องราคา
ว่าแล้ว…อิคคิวมันดูแปลก ๆ เพราะมีผีสิงร่างนี่เอง