เปรี้ยวนักเหรอ

2193 Words
“พี่อิคคิวครับ ยายทำขนมมาฝากครับ รับขวัญหลังออกจากโรงพยาบาล” หนุ่มมัธยมปลายหน้าละอ่อนยื่นถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยขนมไทยน่าอร่อยให้ สถานการณ์นี้พวกมนุษย์ก็ต้องแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจตอบกลับไป ทุกครั้งต้องกล่าวคำขอบคุณเหมือนขากรรไกรจะค้างชั่วขณะ “โอ้! เอ่อ…ฝาก ขอบ ขอบ…ขอบคุณ คุณ…คุณยายด้วยนะครับ ว้าว! พี่เกรง…จะ จะ ใจจังเลย” กริมริปเปอร์พูดตะกุกตะกัก มันช่างเป็นอะไรที่ยากเย็นเหลือเกิน “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยายบอกว่าก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เรารู้จักกันมาสักพักใหญ่แล้ว พี่อิคคิวก็เหมือนหลานแกอีกคน ตอนยายรู้ว่าพี่วูบจนเข้าโรงพยาบาล แกตกใจมากเลยครับเพราะเราก็เพิ่งไปเจอกันหยก ๆ พี่ก็ปกติดี” ไม่มีอะไรผิดปกติแค่หมดเวลาบนโลกเท่านั้น “ไม่ต้องห่วงนะน้องพัฒน์ ตอนนี้พี่หายเป็นปกติแล้ว” ร่างเดิมสนิทสนมกับยาย – หลานคู่นี้มากเป็นพิเศษเพราะผู้เป็นยายต้องมาทำกายภาพบำบัดที่สระว่ายน้ำอยู่บ่อย ๆ น้องพัฒน์หรือวรพัฒน์เล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับตายายมาตลอด พอขึ้นมัธยมปลายพ่อกับแม่ที่ไปมีครอบครัวใหม่ต่างมาชวนให้เขาไปอยู่ด้วย ธามไทรู้สึกว่าวรพัฒน์โชคดีที่ยังได้เจอพ่อแม่แท้ ๆ ช่วงหลังมานี้ได้ยินว่ายายของวรพัฒน์เข้าโรงพยาบาลเลยมาไม่บ่อยแบบเมื่อก่อน จนกระทั่งหายหน้าร่วมอาทิตย์จนหลายคนเริ่มถามหา กริมริปเปอร์พยายามไม่สุงสิงกับใครเพื่อเลี่ยงการพูดคุยประเด็นนี้ เพราะเด็กคนนั้นก็แค่เพิ่งรู้จักกัน หนึ่งอาทิตย์หลังเหตุระทึกชั้น 13 วรพัฒน์ก็กลับมารอยายอยู่ข้างสระว่ายน้ำเหมือนทุกครั้ง ถ้าเป็นร่างเดิมคงปรี่เข้าไปถามไถ่เป็นการใหญ่ ‘มาก็ดีแล้ว พวกมนุษย์จะได้เลิกมาถามหาเจ้ากับข้าสักที’ ธามไทหรี่ตามองร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าอยู่ลิบ ๆ ทันใดเหมือนมีมือเย็นเฉียบมาคว้าหัวไหล่จากทางด้านหลัง ไอเย็นแผ่ซ่านลงมาจนขนแขนลุกซู่ อาจจะเป็นสัมผัสจากสยองของเจ้าแม่รุงรัง…ทว่าไม่ใช่ “ว่าไงครับน้องชาย เหงามากมั้ย ไม่มีเพื่อนคบเหรอ โลกมันมืดหม่นใช่มั้ย ไปอยู่กับพวกพี่สิ เพื่อนเยอะแยะไม่เหงา...” อมนุษย์ระดับสิงสู่เพศชายผิวซีดเหลืองกำลังลูบบ่าเบา ๆ ด้วยมือผอมหนังหุ้มกระดูกพลางกระซิบกระซาบพล่ามปมในใจไม่หยุด ไม่ยักรู้ว่าผีก็ชอบกินเผือกร้อน “น้องต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวใช่มั้ย เกิดมากำพร้าร่างกายไม่แข็งแรง แถม…ยังชอบแกล้งคนอื่น ล่าสุดแกล้งจนรู้สึกไม่สบายใจเลยสินะ มากับพวกพี่สิ จบปัญหาทุกอย่าง หมดทุกข์หมดโศก…” ยังไงกันนี่ออกจะแข็งแรงแถมไม่ใช่เพื่อนเล่นใครอีก “หยุดพูดเดี๋ยวนี้” ธามไทงุดหน้าลงเพื่อไม่ให้มนุษย์รอบข้างเห็นว่าเขากำลังพูดคนเดียว “โลกใบนี้มันโหดร้ายเกินไปสำหรับน้องนะ…” “ยังอีกนะ” เดี๋ยวได้รู้กัน… “มาเถอะ มากับพี่แล้วสบาย เดี๋ยวพี่พาไปกินตะ…อึ๊ก!” คำพูดไม่ทันจบประโยคก็โดนมือแข็งดั่งคีมเหล็กคว้าหมับที่คอ ด้วยแรงอันมหาศาลของเทวทูตทำให้อมนุษย์ตนนั้นกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ “ข้าบอกให้หยุดพูด ปากโคตรเหม็นเน่าเลยว่ะ” ชายหนุ่มค่อย ๆ เผยร่างจริงให้เห็นเป็นบุญตา “กรี๊ดดดด ยะ ยะ ยมทูตเหรอ เอื๊อก! ปล่อยเราไปเถอะ อย่าเอาวิญญาณเราไปเลย เราไม่รู้ว่าเป็นยมทูต อย่า!!!” แน่ชัดว่าไม่ใช่ผีทุกตนที่อยากได้รับการปลดปล่อย เพราะปลดปล่อยจะเท่ากับการรับโทษทัณฑ์ ไอ้ตนนี้เป็นวิญญาณอาฆาตสิงสู่เพื่อล่อลวง ทำร้ายและเอาชีวิตมนุษย์ไม่ผิดแน่ “ได้เวลาไปเกิดใหม่แล้วสินะ แต่เกิดเป็นตัวอะไรข้าไม่รู้ด้วยนะขึ้นอยู่กับความชั่วของเจ้า!” กริมริปเปอร์เบิกตาสีโลหิต แสยะยิ้มด้วยความสะใจแล้วร่ายเวทย์ส่งดวงวิญญาณไปโลกหลังความตาย กรี๊ดดดดดดด “ได้เวลาไปเกิดใหม่แล้วสิ ได้เวลาไปเกิดใหม่แล้วสิ ได้เวลาไปเกิดใหม่แล้วสิ…” ผีร้ายหวีดร้องพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ จนร่างระเบิดเป็นจุณสลายเป็นขี้เถ้าสีดำลอยว่อนในอากาศ เทวทูตชุดดำดีดนิ้วเป๊าะเดียวเศษขี้เถ้าก็หายไปในพริบตา “ไอ้กระจอกตัวไหนอยากไปเกิดใหม่โผล่หัวออกมาเลย” มีเพียงความเงียบงันคืนกลับมาแทนคำตอบ กริมริปเปอร์ส่งเสียงหัวเราะร่วนทิ้งท้ายก่อนวาร์ปกลับเข้าร่างมนุษย์ วรพัฒน์มองตามธามไทที่เดินจากไปโดยไม่มีแม้จะโบกมือทักทายกันด้วยดวงตาเศร้าสร้อยและเริ่มไปคิดเองว่าตัวเองทำอะไรผิดไป อีกฝ่ายที่เคยสนิทสนมกันจนเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง…มาตอนนี้ถึงได้พยายามหลบหน้าและทำตัวเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเช่นนี้ หนุ่มมัธยมปลายที่กำลังเคว้งคว้างเรื่องปัญหาในครอบครัว จู่ ๆ ก็สะดุ้งจนเกือบตกเก้าอี้ หลังได้ยินเสียงกระซิบข้างหูทั้งที่นั่งตามลำพัง ทว่าเสียงไร้ที่มากับการตอกย้ำซ้ำเติมหัวใจกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ‘น่าเวทนาจริง ๆ จากนี้คงไม่มีใครรักแล้วสินะ แม่ก็จะมาพรากยายไป ยายก็ไม่อยากอยู่กับหลานเห่ย ๆ แล้ว พ่อจะส่งไปเรียนเมืองนอกแต่จริง ๆ แล้วเขาแค่จะเฉดหัวแกไปจากชีวิตเขาเท่านั้น พี่ชายมโนก็เปลี่ยนไป โธ่ ๆ เกิดเป็นวรพัฒน์ช่างไร้ค่าจริง ๆ…’ วรพัฒน์ปิดหูแล้วลุกเดินหนี แต่มันยังตามมาจนคล้ายว่าเข้ามาอยู่ในหัวสมองแล้ว “พัฒน์มันคนไร้ค่าจริง ๆ สินะ” ……………………….. ณ ห้วงความทรงจำ ‘ไม่ต้องกลัวนะพี่ไล่มันไปแล้ว…นับหนึ่งสามลืมตาเถอะแตม หนึ่ง สอง สาม…’ เขาปลอบขวัญน้องสาวที่นั่งซุกหน้ากับเข่าด้วยความกลัว หลังจากโดนหมาจรจัดไล่จนเกือบถูกกัด เฌอรินทร์ปาดน้ำตาและเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายของเธอ ‘อ้าว อิคคิวเหรอ...!’ ‘ไม่ใช่สักหน่อย’ ธามไทปฏิเสธทันควัน จากนั้นก็เดินถอยออกมาจนกลายเป็นชายแปลกหน้าสวมชุดคลุมยาวสีดำสนิทตัดกับดวงตาสีแดงน่าขนลุก ‘พวกมันได้ตายไปแล้ว ตายไปกันหมดแล้ว ขะ ขะ ข้า มะ มะ ไม่ใช่…พวกมัน อ๊าก!’ หน้าตาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน มือหนากุมอกข้างซ้ายเหนือหัวใจ ร่างกายเกร็งตึงคล้ายกำลังต่อสู้กับบางสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ภายใน ‘พี่ไอติมช่วยแตมที…อิคคิวก็ได้ ใครก็ได้ช่วยด้วย’ ร่างเล็กที่ไม่เหลือทางให้หนีได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ ‘ข้า ข้า อึ๊ก! ข้าบอกว่ามันตายไปแล้ว เดี๊ยะเถอะนังเด็กนี้’ เขายื่นมือมาบีบคางหมายให้เธอหยุดส่งเสียงน่ารำคาญ ตอนนั้นเฌอรินทร์เห็นร่างโปร่งของธามไทและพี่ชายยืนขนาบข้างชายชุดดำ ก่อนจะก้าวมารวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับชายแปลกหน้าคนนั้น ‘แตมพี่ขอโทษนะ พี่…’ แต่ยังไม่ทันพูดจบเฌอรินทร์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นบนที่นอนพร้อมน้ำรื้นบนขอบตา “นี่แตมฝันเห็นพี่ติมเหรอ เป็นไปได้ยังไงหรือ...เราคงคิดมากไปเอง” ตฤณกิจจากไปเกือบปี ทว่าไม่เคยมีคนในครอบครัวฝันถึงเลยสักครั้ง มันเลยเป็นความฝันที่ค่อนข้างจะแปลกสำหรับเธอ “พี่ติมจะขอโทษอะไรแตม” ร่างเล็กนอนคิดอะไรต่อสักพักแล้วลุกไปจัดการธุระส่วนตัว วันนี้มีเรียนช่วงสายถึงเที่ยงแค่วิชาเดียว แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นเห็นจะไม่พ้นอยู่เรื่องเดียว “อย่าลืมเอาขนมไปด้วยะแตมเอ๊ย” มาริสาช่วยเตือนความจำลูกสาว “จ๊ะหม่อมแม่ แตมไม่ลืมหรอก…แต่ไม่ใส่ใจน่ะ อะ…ล้อเล่น” “หาเรื่องโดนมะเหงกแต่หัววันเลยนะยายคนนี้” มารดาแนะนำให้ทำขนมไปฝากธามไทแบบเดียวกับที่เคยทำไปฝากรุ่นพี่คนหนึ่งบ่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ทำแล้ว “แตมทำขนมตั้งสามอย่างเลยเหรอ” “แตมไม่รู้ว่าคิวชอบกินน่ะแม่ก็เลยทำไปให้เลือก ส่วนสองอันที่เหลือก็ยกให้ไอ้กิ๊ฟกับไอ้แพมไป” มาริสาพยักหน้าเห็นด้วยแต่ที่เป็นเช่นนี้ ขนมหวานสามชนิดแฝงเจตนาบางอย่างไว้ 'บ้าน่ะ! ก็แค่บังเอิญแต่มีโอกาสแล้วทดสอบดูสักหน่อยจะเป็นไรไป' เฌอรินทร์ส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นไปแล้วอ่านข้อความตอบกลับจากธามไท ได้สิ เดี๋ยวรอที่ใต้คณะนะ ในแต่ละวันบนโลกมนุษย์เห็นแต่จะวนเวียนอยู่แค่บ้านกับมหาวิทยาลัย แม้พลังยมทูตจะรับการฟื้นฟูต่อเนื่อง มันไม่มากมายเท่าไหร่และยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะย้ายออกร่างนี้ สำหรับยมทูตนั้น การทำลายแล้วสูบวิญญาณมาคือวิธีสั่งสมพลังที่ไวที่สุด ถ้าไม่โดนขัดจังหวะเสียก่อน ป่านนี้คงฟื้นตัวเต็มที่วาร์ปไปไหนต่อไหนอย่างอิสระแล้ว ส่วนการส่งไปรับโทษทัณฑ์หรือที่เรียกว่าส่งไปเกิดใหม่จะทำให้สูญพลังในช่วงแรก แต่จะได้คืนมาในภายหลังแบบเท่าตัว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนอยากพบกับความตายจึงไม่มีใครสวดภาวนาให้เทพแห่งความตาย หากมีหนทางไม่มากกริมริปเปอร์อาจต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์ไปสักพักใหญ่ เป็นเทวทูตที่โดดเดี่ยวและอาภัพที่สุดเลยก็ว่าได้ “คิว…คิว อิคคิว อิคคิว” “อะ…อ่อ แตมเองเหรอ” ธามไทเก็บหูฟังแล้วถามเฌอรินทร์ “แตมมีธุระอะไรให้คิวช่วยหรือเปล่า” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเพื่อนสาวคงตอบว่าธุระไม่มีมีแต่เปลือกทุเรียน “วันนั้นคิวอุตส่าห์ไปเป็นเพื่อน แตมเลยทำขนมมาฝากน่ะ แต่ไม่รู้ว่าคิวชอบทานขนมแบบไหน แตมเลยเอามาให้เลือกสามอย่าง” เฌอรินทร์หยิบขนมหวานออกมาวางตรงหน้าแล้วยังบอกอีกว่าใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องสุขภาพ “โอ้! เรื่องวันก่อนน่ะเหรอ เอ่อ…ขอบคุณในน้ำใจแตมมากเลยนะ เอ่อ…แล้วแต่แตมจะให้ละกัน อันไหนก็ได้คิวกินได้” “ก็ต้องตามใจคนกินสิ แตมมีทั้งแบบหวาน เข้มข้นและเปรี้ยวมาเลยนะ” มันคือบานอฟฟี่กล้วยคาลาเมล บราวนี่ดาร์กช็อคเนื้อฉ่ำและไดฟุกุสตอเบอร์รี่ หนึ่งในนี้มีของโปรดของตฤณกิจอยู่ด้วย “แล้วแต่ละกันคือคิวเลือกไม่ถูกจริง ๆ แตมเลือกให้คิวหน่อยสิ” ร่างเดิมเป็นคนอย่างไรก็ได้ตามใจคนอื่นตลอดจนไม่ได้เลือกอะไรด้วยตัวเอง กริมริปเปอร์ต้องแสดงบทหนุ่มขี้เกรงใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แม้จะรู้สึกรำคาญตัวเองก็ตาม “จะเลือกไม่เลือกยะ” เธอขึงตาใส่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวซึ่งเข้าทางความต้องการของร่างใหม่พอดี “คิวเอาอันนี้แล้วกัน ขอบคุณมากนะ มันน่าทานมากเลย” “เลือก…เลือกได้ดีนะ คิดไว้เแล้วว่าต้องเป็นอันนั้นเหมาะกับคิวดีนะ” เฌอรินทร์ยิ้มจาง ๆ ส่ายศีรษะอย่างเสียไม่ได้ให้กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง เพราะตฤณกิจเกลียดสตอเบอร์รี่เอามาก ๆ เกลียดในชนิดที่ว่าถ้าโลกนี้เหลือแต่สตอเบอร์รี่ก็จะยอมอดตาย “แล้วมันเหมาะกับคิวยังไงเหรอ ความหมายตรงหรือแฝง” “ก็…เอ่อ คิวหน้าแดงเหมือนลูกสตอเบอร์รี่น่ะ ไม่ได้มีนัยยะว่าแหลสักหน่อย คิวน่ะคิดมาก” “ค่อยสบายใจหน่อยนึกว่าความหมายแฝง คนอย่างคิวมันไม่ค่อยได้เรื่องด้วยสิ ฮ่า ๆ” ธามไทแสร้งหัวเราะแก้เก้อไปตามประสา “ไม่จริงสักหน่อย ตอนที่วิ่งออกไปเผชิญหน้ากับผีบ้านั่นน่ะ…คิวเท่มากเลยรู้ตัวเปล่า” เฌอรินทร์พูดจบเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นมาได้จังหวะดีจริง ๆ “คิวขอตัวก่อนนะ อาจารย์เช็คชื่อแล้ว ขอบคุณสำหรับไดฟุกุนะแตม” ธามไทพยายามเม้มริมฝีปากเก็บอาการ แต่มันดันเขินมากเสียจนมือไม้เริ่มไม่อยู่สุข… ‘สังเกตมั้ยแตม เวลาพี่ติมเขินจะชอบลูบปลายจมูก’ ตรงตามพ่อบอกไว้ไม่ผิด หรือมันจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ธามไทก็เพิ่งแสดงอาการแบบเดียวกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD