-4/1-

2986 Words
สี่ คนชั้นต่ำแต่มีการศึกษาดี มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง คนชั้นสูงแต่ไร้การศึกษา จะมีประโยชน์อะไร (1) จ้าวเสวี่ยเฟิงกับจ้าวจิ่นกวางเดินเลี้ยวเข้าตรอกหนึ่งไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมรื่นสราญ ด้วยความที่คนไม่พลุกพล่านน่าจะรอดพ้นจากการจับตามองจึงรุดหน้าเข้าไป เดินไปได้ไม่กี่จั้งก็พบว่าตรอกที่คล้ายเงียบสงัดนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าพวกเขาไม่ได้เดินพลุกพล่าน กลับนั่งกระจุกกันตรงเกือบท้ายตรอก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขอทานและคนยากจน มีแผงขายบะหมี่และซาลาเปาสองสามแผงตั้งอยู่บริเวณนั้น จ้าวเสวี่ยเฟิงสังเกตว่ากลุ่มคนที่กระจุกกันเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนที่แต่งตัวคล้ายขอทาน บ้างถือซาลาเปา บ้างถือชามบะหมี่ จ้าวเสวี่ยเฟิงมองท่าทางของคนเหล่านั้นแล้วก็ฉงน เท้าจึงก้าวเดินเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าแผงบะหมี่เจ้าหนึ่งก็ได้กลิ่นน้ำซุปหอมฉุย ตัวตะกละในท้องของนางเริ่มร่ำร้องว่าหิวอีกแล้ว “คุณชาย ท่านจะกินบะหมี่หรือขอรับ” เถ้าแก่ร้านบะหมี่ถามขึ้นขณะเดินออกมาจากกลุ่มคนจรจัดด้วยท่าทางนอบน้อม คล้ายไม่มั่นใจในรสอาหารของตนเท่าใดนัก บรรดาผู้คนโดยรอบให้ความสนใจนางไม่น้อย นางก้มมองสารรูปตัวเองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่งตัวหรูหราปานนี้บรรดาชาวบ้านยากจนจะมองก็ไม่แปลก เด็กหลายคนเริ่มโผล่ศีรษะโตๆ ออกมาจากหลังกำแพง มองจ้าวเสวี่ยเฟิงในคราบของคุณชายสูงศักดิ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กพวกนี้ร่างกายซูบผอมแคระแกร็นคล้ายกับคนอดอยากอาหาร เรียกความเวทนาในใจเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ แม้นางจะอยู่บนเขาตั้งแต่เด็ก และได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ไม่คิดว่าในเมืองหลวงเช่นนี้จะมีผู้คนที่อดอยากแร้นแค้นอาศัยอยู่ “เถ้าแก่คนพวกนี้เป็นลูกค้าท่านหรือ” เถ้าแก่หันไปมองบรรดาคนจรจัดที่นั่งซดบะหมี่อยู่ข้างกำแพง เขาเดินไปเช็ดโต๊ะและม้านั่ง ตั้งท่าจะไล่คนพวกนั้นออกไป ทว่าจ้าวเสวี่ยเฟิงก็ยกมือพลางส่ายหน้าห้ามเสียก่อน “เถ้าแก่พวกเขาเป็นลูกค้ามิใช่รึ อย่าไล่ไปเลย” จ้าวจิ่นกวางที่เพิ่งเดินมาถึงพูดขึ้น เขามองกลุ่มคนจรจัดเหล่านี้คล้ายประเมินอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนม้านั่งที่ถูกเช็ดจนสะอาดแล้ว เถ้าแก่เห็นลูกค้าสูงศักดิ์เข้ามาอีกคนก็กระวีกระวาดรีบทำบะหมี่มาวางไว้ให้สองชามอย่างรู้งาน น้ำแกงใสหอมกรุ่นจนคนทั้งสองที่เพิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมใหญ่ถึงกับท้องร้อง แม้เนื้อที่โปะมาจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่กลิ่นหอมของน้ำแกงบะหมี่ก็ยั่วยวนใจจนจ้าวเสวี่ยเฟิงอดยกซดไม่ได้ พรวด! “แค็กๆ! เถ้าแก่!” “อะไรขอรับคุณชาย!?” เจ้าของร้านหน้าซีดรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของจ้าวเสวี่ยเฟิง นางทำหน้าเหยเกเสียจนจ้าวจิ่นกวางไม่กล้าลิ้มรสบะหมี่ในชาม “เหตุใดน้ำแกงจึงจืดชืดเช่นนี้ คล้ายกับขาดรสชาติอะไรบางอย่าง” เถ้าแก่ร้านหน้าซีด หันไปมองบรรดาคนจรจัดที่เพิ่งกินบะหมี่ของเขาด้วยความอับจนปัญญา “คุณชายทั้งสอง หลายปีมานี้ราคาเกลือแพงขึ้นเรื่อยๆ ข้าจำเป็นต้องใช้แต่น้อย แล้วอาศัยหัวไชเท้าเพิ่มรสชาติน้ำแกงให้หวานนำ ทว่าพอเกลือน้อยลง รสชาติก็ไม่มีความกลมกล่อม อาหารของข้า ขายให้คนในตรอกนี้ซึ่งล้วนมีเงินทองน้อยนิด พวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารที่แพงกว่านี้ ข้าจึงจำใจต้องใส่เกลือแต่น้อย ใช้รสชาติอื่นทดแทนเอาขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนี้นางจึงมองสภาพผอมแห้งของคนเหล่านั้นแล้วก็นึกเวทนา อดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเกลือจึงราคาแพงขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเกลือเป็นสินค้าควบคุมรึ? อีกอย่าง ที่นี่คือเมืองหลวง การขนส่งเกลือย่อมทำได้สะดวก เหตุใดพวกท่านจึงไม่มีปัญญาซื้อมาบริโภค” เถ้าแก่ร้านบะหมี่เกาศีรษะด้วยความจนใจ จ้าวจิ่นกวางจึงพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ เกลือเป็นสินค้าควบคุมราคา จักรพรรดิไม่มีทางละเลยเช่นนี้แน่ๆ” “ไอ้หยา! พวกท่านไม่รู้อะไร จักรพรรดิว่าราชการอยู่ในวังหลวง ฎีกาทั้งหลายล้วนผ่านมือเสนาบดีและเหล่าขุนนาง คิดจะส่งเรื่องร้องเรียนไม่ง่ายนะขอรับ” จ้าวจิ่นกวางพลันกระจ่างในใจทันที ดวงตาคมกริบสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเหมือนยามที่ใช้ความคิด “เถ้าแก่ ข้าจะวานอะไรสักอย่าง พวกท่านและคนเหล่านี้พอจะช่วยพวกข้าได้หรือไม่?” เถ้าแก่ก็คือเถ้าแก่ พอมีคุณชายท่าทางสูงส่งสองคนเข้ามาเสนอผลประโยชน์ที่มีแต่ได้กับได้ ก็รีบพรั่งพรูสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ทันที วันสอบคัดเลือก จ้าวเสวี่ยเฟิงและจ้าวจิ่นกวางถูกพี่รองปลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขัน ร่างสูงโปร่งสองร่างเดินสะโหลสะเหลไปยังรถม้าที่เตรียมไว้หน้าคฤหาสน์ด้วยท่าทางราวกับไร้วิญญาณ อากาศยามเช้าที่เริ่มเย็นลงเช่นนี้ชวนให้อยากมุดตัวหลับฝันหวานอยู่แต่ในผ้านวมเสียจริง รถเทียมม้าสองตัวจอดสนิทด้านหน้า บ่าวชายผู้หนึ่งที่จ้าวเสวี่ยเฟิงเพิ่งเคยพบหน้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาก้มศีรษะให้พวกนางพร้อมกับหลีกทางให้ จ้าวเสวี่ยเฟิงเลิกผ้าม่านขึ้น พบว่าในรถมีคนอยู่ก่อนแล้ว เยี่ยจิงเอ๋อร์และเยี่ยจิงหงส่งยิ้มให้นาง เยี่ยจิงเอ๋อร์กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “น้องเสวี่ยเฟิง อรุณสวัสดิ์” “อรุณสวัสดิ์พี่จิงเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์จิงหง” จ้าวเสวี่ยเฟิงที่ถูกความง่วงงุนเข้าจู่โจม ตาสว่างขึ้นมาทันใด นางรีบตะกายขึ้นรถม้า เว้นที่ว่างไว้ให้จ้าวจิ่นกวางตามขึ้นมา คนขับรถม้าพอเห็นคนขึ้นรถกันหมดแล้ว ก็กระตุ้นม้าให้ออกเดินทางไปยังสำนักศึกษาหมื่นอักษร จ้าวจิ่นกวางเห็นผู้อื่นอยู่ในรถก็ส่งยิ้มทักทาย อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง “น้องจิงเอ๋อร์ น้องจิงหง อรุณสวัสดิ์ เหตุใดจึงต้องไปเช้าเช่นนี้” เยี่ยจิงเอ๋อร์ยกยิ้มพลางอธิบาย “ก่อนที่จะเริ่มต้นสอบ จำต้องไปลงทะเบียนเพื่อเป็นหลักฐาน แล้วรับป้ายประจำตัว หลังจากนั้นจึงเข้าสอบขั้นพื้นฐานพร้อมกัน ผู้ใดสอบขั้นพื้นฐานเสร็จก่อน ก็สามารถยื่นป้ายประจำตัวเข้าสอบความสามารถพิเศษเพิ่มเติมได้เจ้าค่ะ คนที่มารอลงทะเบียนจึงมีมากเป็นพิเศษ เราจำเป็นต้องไปแต่เช้าเพื่อต่อแถว” พอสองพี่น้องได้ยินก็ร้องอ้อเบาๆ เป็นอันว่าเข้าใจเหตุผลที่ต้องตื่นเช้า จ้าวเสวี่ยเฟิงมองหาพี่รองแต่ไม่พบ ในรถม้ามีเพียงพวกนางสี่คนก็เกิดความสงสัย “พี่รองข้าเล่า ไม่ไปกับพวกเราหรือ” เมื่อวานนางไม่ได้พูดอะไรกับพี่รองเลย เขาหายไปทั้งวัน ตอนเย็นก็ไม่ได้เจอหน้า “พี่รองจิ่นติ้งต้องไปช่วยจัดสถานที่ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ จึงขี่ม้าล่วงหน้าไปแล้ว” เยี่ยจิงเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย “น้องเสวี่ยเฟิงแต่งตัวเช่นนี้ คิดจะทดสอบความสามารถด้านใดรึ?” อธิบายเสร็จเยี่ยจิงเอ๋อร์ก็ถามกลับด้วยความสงสัย จ้าวเสวี่ยเฟิงในวันนี้มิได้ประโคมโฉมให้งดงามแข่งกับใคร นางเพียงแต่งชุดทะมัดทะแมงสีเขียวอ่อนราวกับจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ เครื่องหน้างดงามโดยธรรมชาติมิได้ผัดแป้งหรือแต่งเติมใดๆ ทั้งสิ้น เผยผิวขาวเนียนละเอียดที่มีเลือดฝาดจนน่าอิจฉา จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะแห้งๆ “เดิมทีข้าก็อยากจะแต่งตัวให้สวยงามเหมือนพี่จิงเอ๋อร์กับจิงหง แต่ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว มิคาดว่าจะถูกปลุกเช้าแบบนี้ จึงทำได้เพียงล้างหน้าล้างตา รีบผลัดเสื้อผ้ามาขึ้นรถนี่แหละ ส่วนเรื่องความสามารถพิเศษข้ายังไม่ได้คิด” นางเอาแต่สร้างเรื่องราวกับพี่สาม ไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องความสามารถพิเศษ จับฉลากได้อันไหนถ้าทำได้นางก็ทำอันนั้นแหละ “เสวี่ยเฟิง เจ้าไม่รู้หรือว่าเราสามารถขอเลือกสอบได้” เยี่ยจิงหงที่เงียบมานานถามขึ้นด้วยความแปลกใจ จ้าวเสวี่ยเฟิงยิ้มด้วยความกระดากอาย หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากจ้าวจิ่นกวาง นางไม่ถนัดรับมือกับหญิงสาวช่างซักนัก จ้าวจิ่นกวางพอเห็นสายตาน้องเล็ก ก็ย่อมรู้ความลำบากใจของนาง จึงพูดแทรก “น้องเล็กข้าแต่เดิมก็ร่ำเรียนมาหลายอย่าง ความถนัดไม่ค่อยจะมีเท่าใด ดูไปก็คล้ายเป็ดอยู่มาก” พูดจบก็หัวเราะลั่น พาเอาคนทั้งรถม้าหัวเราะตาม แม้แต่จ้าวเสวี่ยเฟิงก็หัวเราะแก้เขิน นางบอกไม่ถูกจริงๆ นี่นา ทุกวันนี้สิ่งที่นางร่ำเรียนมาได้ใช้อย่างละนิดอย่างละหน่อย พอให้ผู้คนปวดหัวได้ ด้านวรยุทธ์นางก็ไม่รู้จะเอาไปรังแกผู้ใด “พวกเจ้าแต่งตัวงดงามเช่นนี้แสดงว่าคงเตรียมพร้อมไว้แล้ว” จ้าวจิ่นกวางเปรยขึ้น เยี่ยจิงเอ๋อร์วันนี้สวมชุดสีเหลืองอ่อนเดินดิ้นทอง ตรงชายปักลายผีเสื้อบนผ้าชั้นนอกโปร่งบางเล็กน้อย ยามขยับกายดูงดงามราวกับมีชีวิต นางมวยผมเป็นช่อปักปิ่นหยกขาวรูปผีเสื้อ รับกับดวงหน้างดงามอ่อนหวาน ดูราวกับเทพธิดาน้อย ส่วนเยี่ยจิงหงนั้นสวมชุดสีส้มอ่อนปักลายดอกเหมย บนศีรษะมวยผมเรียบร้อยปักปิ่นปะการังสีส้ม ปล่อยปอยผมบางส่วนให้ยาวระแก้มเนียนใส ดวงหน้าจิ้มลิ้มดูน่ารักน่าทะนุถนอม เยี่ยจิงเอ๋อร์ยิ้มขวย “ข้าตั้งใจจะดีดพิณ ส่วนน้องจิงหงนั้นถนัดการร่ายรำ เราสองคนแสดงร่วมกันเจ้าค่ะ” จ้าวจิ่นกวางได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ สำหรับเด็กสาวชาวเมือง ถ้าไม่เย็บปักก็ถนัดการร่ายรำ จะให้เป็นม้าดีดกะโหลกแบบจ้าวเสวี่ยเฟิงนั้นหาได้ยากยิ่ง รถม้าออกเดินทางได้ไม่นาน ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า จ้าวจิ่นกวางดับไฟตะเกียงในรถม้า เลิกม่านมองดูบรรยากาศโดยรอบ เห็นกำแพงใหญ่ของสำนักศึกษาหมื่นอักษรอยู่ไกลลิบ สำนักศึกษาหมื่นอักษรแม้ว่าจะเป็นสถานศึกษาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ รวมไปจนถึงคนธรรมดาที่มีความสามารถ แต่กลับตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร ด้วยอาณาเขตกว้างใหญ่ทำให้มีทหารยามเฝ้าอยู่โดยรอบเพื่อรักษาความปลอดภัย กำแพงด้านนอกสูงตระหง่านมีไว้เพื่อป้องกันการปีนป่ายเข้ามาขโมยตำรา แม้ว่ายุคสมัยนี้จะเริ่มมีการคิดค้นกลวิธีการพิมพ์[4] แต่ตำราที่มียังไม่อาจพิมพ์ได้หมด เหตุหลักๆ คือเสียเวลาและแรงงานมากมาย ตำราหลักๆ ที่เผยเแพร่ได้มากที่สุดก็คือ คัมภีร์วัชรสูตร[5] อาณาจักรต้าถังแม้จะมีบัณฑิตมากมาย แต่หนังสือกลับหายากยิ่ง ด้วยตำราบางเล่มมีขนาดใหญ่กว่าจะทำแม่พิมพ์สำเร็จก็ใช้เวลาหลายปี สุดท้ายก็ต้องใช้แรงงานคนคัดลอกเสียมาก กว่าจะคัดลอกเสร็จบางครั้งใช้เวลาเป็นปีเช่นกัน ช่วงปลายฤดูร้อนอากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็นสบาย ต้นไม้ตามรายทางเริ่มปลิดใบร่วงหล่นเกลื่อนพื้น เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านจึงได้ยินเสียงล้อบดใบไม้กับกิ่งไม้แห้งตลอดทาง นานครั้งจะได้ยินเสียงฝีเท้าม้าของผู้อื่นวิ่งนำไป เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวเข้าใกล้สำนักศึกษาหมื่นอักษร เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพงดงามตระการตา รอบกำแพงใหญ่คือป่าเฟิง[6] ช่วงปลายฤดูร้อนย่างเข้าสู่ฤดูสารทเช่นนี้ ทำให้ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสลับแดง เมื่อลมพัดไหวจึงคล้ายกับทะเลเพลิง จ้าวเสวี่ยเฟิงมองดูทิวทัศน์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย นางเดินทางกับปรมาจารย์จิวซื่อขึ้นเหนือล่องใต้มาเกือบทั่ว ทว่ายังไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางต้นเฟิงนับหมื่นต้นเช่นนี้มาก่อน ในใจบังเกิดเปลวเพลิงร้อนรุ่มอยู่กลุ่มหนึ่ง พลันนึกออกว่านางจะทำสิ่งใดหลังจากเข้าสำนักศึกษาหมื่นอักษร จ้าวจิ่นกวางเห็นประกายตาหมายมาดของน้องเล็กก็เกิดอาการหวาดระแวงลึกๆ ความคิดพิสดารมากมายของน้องเล็กนั้นยากจะคาดเดา จึงได้แต่หวังว่านางจะไม่ทำอะไรประหลาดจนขายหน้า รถม้าจอดอยู่ไม่ไกลจากประตูสำนักศึกษาหมื่นอักษร ผู้คนเกือบร้อยยืนต่อแถวเพื่อลงทะเบียน คนขับรถม้าเลิกม่านขึ้น “ถึงแล้วขอรับ เสร็จแล้วข้าจะมารับที่เดิม” “ขอบใจเจ้ามาก” จ้าวจิ่นกวางลงจากรถม้าเป็นคนแรก ทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีคอยช่วยบรรดาน้องสาวลงจากรถม้า “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่จิ่นกวาง” เยี่ยจิงหงลงเป็นคนสุดท้าย นางกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ลอบระบายลมหายใจพลางกลอกตา หญิงสาวชาวเมืองเอะอะก็แก้มแดงขัดเขิน จะเขินบ่อยเกินไปหรือไม่ “อ๊า…กลิ่นอิสรภาพ” จ้าวเสวี่ยเฟิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น พี่รองบอกว่าสำนักศึกษาหมื่นอักษรมีห้องพักสำหรับบัณฑิตทุกคน หากใครอยากจะนอนค้างเพื่อศึกษาตำราก็ทำได้ เนื่องจากหอตำราไม่อนุญาตให้นำตำราอันสูงค่าของอาณาจักรออกจากสำนักศึกษาหมื่นอักษร มากสุดก็หยิบยืมมาอ่านที่ห้องพักเท่านั้น ยิ่งเห็นบรรยากาศในคฤหาสน์ตระกูลเยี่ย นางก็ตัดสินใจแล้วว่า หลังจากเข้าศึกษาที่นี่ได้นางจะหาที่พักใหม่ ระหว่างนั้นคงต้องอาศัยสำนักศึกษาหมื่นอักษรเป็นที่ซุกหัวนอน “สามร้อยห้าสิบเอ็ด จ้าวเสวี่ยเฟิง เชิญเข้าไปได้” “ขอบคุณ” นางรับป้ายไม้ยัดใส่ไว้ในแขนเสื้อแล้วส่งยิ้มให้เจ้าหน้าที่ ปฏิญาณกับตนเองว่าจะไม่ทำหายเด็ดขาด “พี่สาม” จ้าวเสวี่ยเฟิงเอ่ยทำลายความเงียบ นางเหล่ตามองสองพี่น้องด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบ “ข้าอยากยิงกระต่าย ท่านไปนั่งรอเวลากับสองคนนี้ก่อนเถอะ” “หืม…ข้าจะไปส่ง” จ้าวจิ่นกวางคว้าแขนน้องสาวตั้งท่าจะเดินนำ “ไม่ต้อง! สองคนนี้เป็นสตรี ท่านต้องอยู่ดูแลพวกนาง ข้าดูแลตัวเองได้” นางปวดจนท้องน้อยบิดมวนแล้ว จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นพี่ชายมีท่าทีลังเลใจก็บุ้ยปากไปทางด้านหลัง จ้าวจิ่นกวางจนปัญญาจะเถียงกลับ จึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “รีบไปรีบกลับ” จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะแสร้งย่อกายอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” พูดจบก็รีบพลิ้วกายจากไปอย่างรวดเร็ว “อุ๊ย! เสวี่ยเฟิงหายไปไหนเจ้าคะ” จ้าวจิ่นกวางมองดรุณีน้อยสองนางที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาบุรุษทั้งหลายจนลืมโลกภายนอก แล้วลอบระบายลมหายใจด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าสาบานว่าจะไม่เกี้ยวพาราสีสตรีเมืองหลวงเด็ดขาด น่ารำคาญ!’ จ้าวเสวี่ยเฟิงลูบอกตัวเองด้วยความโล่ง กว่าจะหาห้องสุขาพบก็ลำบากแทบแย่ ลอบด่ามารดาคนออกแบบสถานที่จนลืมสังเกตทิวทัศน์รอบข้างของสำนักศึกษาหมื่นอักษร เมื่อได้ปลดปล่อยสติจึงปลอดโปร่งโล่งสบาย ในสายตาของนางยามนี้จึงปรากฏภาพทิวทัศน์อันละลานตาด้วยดอกเหมยสีขาวบริสุทธิ์นับร้อยต้น พลันรู้สึกคันไม้คันมือ อย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวผู้หนึ่งเมื่อเห็นภาพสวยงามเช่นนี้ย่อมไม่อาจหยุดยั้งความคิดที่โลดแล่นได้ “เหมยออกช่อ เหมยงามบริสุทธิ์ เหมยงามงดดุจดรุณีสาวแช่มช้อย อืม…อะไรต่อดี” “เหมยงามรับสารทสะพรั่งเบ่งบานรอสุริยัน” เสียงนุ่มทุ้มของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ต่อกลอนที่ขาดๆ เกินๆ ของจ้าวเสวี่ยเฟิงให้เต็มท่อน แม้ว่าจะดูแปร่งไปสักหน่อย ทว่าใจความก็ไม่เลวนัก นางจึงหันไปมองผู้มาใหม่ที่ยินพิงต้นเหมยอยู่ด้านหลัง เขารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา กายกำยำซ่อนอยู่ภายใต้ชุดสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บจากผ้าแพรเนื้อดี ตรงเอวมีหยกประดับสีขาวมันแพะบ่งบอกว่าฐานะไม่ธรรมดาสักเท่าใด ท่ามกลางดอกเหมยที่บานสะพรั่งมีเพียงคำเดียวที่บรรยายตัวเขาได้ก็คือ มังกรกลางบุปผากระมัง สิ่งหนึ่งที่ทำให้จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้คือ ดวงตาคมกริบสีดำสนิทดูลึกลับคู่นั้น คล้ายดึงดูด คล้ายล่อลวง คล้ายขบขัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเหมือนเขาจะรู้จักนาง “ท่าน” กว่านางจะหาเสียงตัวเองพบก็เนิ่นนานในความรู้สึก อะไรบางอย่างร้องเตือนให้รีบถอยห่างจากคนผู้นี้ “ขออภัยคุณชายที่ข้าเสียมารยาท ท่านต่อกลอนได้เก่งนัก ทว่าตอนนี้ข้าต้องรีบกลับไปหาพี่ชายแล้ว” นางเห็นเขาเลิกคิ้ว แต่ตนเองกลับใบหน้าร้อนวาบ ในใจร้อนรนแปลกประหลาด เมื่อหันหลังกลับได้ก็รีบจ้ำเท้าจากไป โสตประสาทแว่วเสียงหัวเราะทุ้มต่ำมาตามสายลม ‘อันตราย คนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD