-4/2-

4906 Words
สี่ คนชั้นต่ำแต่มีการศึกษาดี มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง คนชั้นสูงแต่ไร้การศึกษา จะมีประโยชน์อะไร (2) เมื่อจ้าวเสวี่ยเฟิงกลับเข้าไปด้านในได้ ก็ปรากฏโต๊ะสำหรับสอบกลางลานกว้างหลายร้อยตัว ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่งตัวเรียบร้อย ดูมีกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน นางอดสูดลมหายใจยาวๆ ไม่ได้ ไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเท่านี้มาก่อน ด้านหน้าสุดของสนามสอบคือ บรรดาศิษย์ปัจจุบันที่ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ เอ๊ะ! นั่นพี่รองของนางกำลังยืนสั่งการชายที่ยืนค้อมตัวให้เขา ด้านข้างพี่รองเป็นคุณชายที่มีท่าทางสำอางผู้หนึ่ง ดวงหน้าคมคาย กรามใหญ่ดูสมชายชาตรี จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นดังนั้นก็นึกถึงนักรบชนเผ่าทางด่านเหนือ จึงแอบหัวเราะในใจ ‘นักรบชนเผ่ากรามใหญ่เป็นบัณฑิต ช่างเข้ากันพิลึก’ นางที่กำลังแอบขบขันพลันสบกับดวงตาทรงอำนาจคู่หนึ่ง เท้าที่กำลังก้าวไปหาที่นั่งถึงกับสะดุด คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างชายกรามใหญ่อีกที ดวงหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักเทพเจ้า ทำให้หัวใจของนางกระตุก ‘คนเมื่อครู่นี่นา ยังมีผู้ที่รูปงามสูสีกับพี่รองพี่สามอีกหรือนี่ ดวงตาดุเช่นนี้น่าเสียดายนัก มิเช่นนั้นหญิงสาวมากมายคงได้คิดมอบกายถวายชีวิตให้! กลิ่นอายรอบตัวเขาช่างดูอันตรายเกินไป’ นางเผลอคิดในใจ จ้าวเสวี่ยเฟิงหลบตาเดินไปหาที่นั่ง พลันรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมายังตนเอง ก็ต้องชะงักอีกครั้ง “แม่นาง เจ้าเหยียบมือข้า!” จ้าวเสวี่ยเฟิงกระโดดเหยง พบว่าเจ้าของเสียงคือ คุณชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนหนูนา ดวงตาเล็กหยีนั้นมีน้ำตาเล็ด นางมองตามสายตาของเขาไปยังข้อมือขาวซีดที่บัดนี้เป็นรอยแดงก็ต้องตกใจ รีบก้มหัวขอโทษ “คุณชาย ข้าขอโทษด้วย ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่” คุณชายหน้ามุสิกพอได้เห็นใบหน้าของจ้าวเสวี่ยเฟิงก็ตกตะลึงจนตาค้าง เปลี่ยนกริยาเป็นกระแอมเสียงเข้ม ก่อนจะกล่าว “คุณหนู ข้าไม่เป็นอะไร เชิญนั่ง เชิญนั่ง” จ้าวเสวี่ยเฟิงแม้จะรู้สึกผิด แต่พอสบตากับชายผู้นี้นางก็ต้องเปลี่ยนใจ สอดส่ายสายตามองหาจ้าวจิ่นกวางพลางกล่าวตามมารยาท “ขอโทษด้วยคุณชาย ข้ามากับพี่ชาย ขอตัวก่อน” นางไม่ปล่อยให้คุณชายหน้าหนูพูดอะไรอีก ก่อนจะพลิ้วกายจากไปทันที เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวจิ่นกวางที่เดินเข้ามาก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น “พี่สามๆ นั่งกันเถอะ” นางลากแขนจ้าวจิ่นกวางให้นั่งลง จ้าวจิ่นกวางเห็นสายตาของคุณชายหน้ามุสิกที่มองนางอย่างไม่ลดละ โทสะก็แล่นริ้ว “เจ้าบ้านั่นเป็นใคร มองเจ้าหยาบคายแบบนั้น ข้าจะไปควักลูกตามัน!” “พี่สาม! อย่านะ นี่สำนักศึกษา อีกอย่าง ข้าผิดเองที่ไปเหยียบมือคุณชายท่านนั้นเข้า!” นางรีบฉุดแขนจ้าวจิ่นกวางเอาไว้ การมีเรื่องมีราวตอนนี้ไม่ใคร่สู้ดีนัก “แต่สายตาที่มันมองเจ้า…” จ้าวจิ่นกวางยังคงไม่ยอมแพ้ บังอาจใช้สายตาต่ำช้ากับน้องสี่ของเขาได้อย่างไร? เมื่อจ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นว่าท่าไม่ดีก็หงุดหงิดใจ ตวาดเสียงเข้มว่า “พี่สาม ข้าบอกให้อยู่เฉยๆ อย่างไรเล่า! ลำพังคุณชายบอบบางเช่นนั้นจะทำอะไรข้าได้ ท่านเลิกโวยวายเกินเหตุได้แล้ว!” จ้าวจิ่นกวางเห็นจ้าวเสวี่ยเฟิงหงุดหงิดจึงนับหนึ่งถึงสิบในใจ “ก็ได้ คราวนี้ข้าจะละเว้นมัน” พอเห็นจ้าวจิ่นกวางสงบลงจ้าวเสวี่ยเฟิงก็นั่งประจำที่ เผลอเหลือบมองไปข้างหน้าสบตากับสายตาคมกริบนั้นอีกครั้ง รู้สึกอึดอัดราวกับถูกฉุดลงแม่น้ำเหลืองที่ทั้งลึกทั้งหนาวเย็น จึงเลือกที่จะหลับตาทำสมาธิให้ใจตนเองสงบแทน โต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้เต็มอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จ้าวเสวี่ยเฟิงได้กลิ่นเหงื่อไคลของผู้เข้าสอบบางคนจนแสบจมูก มีทั้งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว กลิ่นเหม็นอับ รวมไปถึงกลิ่นตด นางจะบ้าตาย! กลิ่นตดของผู้ใดกัน! แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว คนผู้นี้กินซากสัตว์ที่เน่าตายก่อนมาสอบหรืออย่างไร หลายคนเริ่มกระอักกระอ่วน คุณหนูบางคนถึงขั้นจะโก่งคออาเจียน ในที่สุดทุกคนก็รู้สึกราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรด ขุนนางกลุ่มหนึ่งเดินมายังหน้าสนามสอบ คล้ายหอบพัดเอาสายลมเย็นมาด้วย ผู้ที่เดินนำหน้าสวมชุดขุนนางปักลายไก่ฟ้าทองคำ[7] ส่วนขุนนางอีกสองคนสวมชุดขุนนางปักลายนกยูง[8] ตามด้วยขุนนางชั้นผู้น้อยอีกห้าหกคน บรรดาศิษย์ในสำนักศึกษาหมื่นอักษรต่างทำความเคารพ และเรียกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ ที่แท้แล้วอาจารย์ใหญ่ผู้นี้ก็คือ ใต้เท้าซุนหมิงจวิ้น ขุนนางขั้นสองผู้ดูแลสำนักศึกษาหมื่นอักษรแห่งนี้ ท่วงท่าสุขุมสง่างามสมกับเป็นมหาบัณฑิต ทั้งยังพ่วงตำแหน่งขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก เนื่องด้วยสำนักศึกษาหมื่นอักษรล้วนผลิตขุนนางให้ราชสำนักมานานนับร้อยปี องค์จักรพรรดิจึงให้เกียรติใต้เท้าซุนเป็นอย่างมาก บุตรสาวของใต้เท้าซุนผู้นี้มีตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟย[9] และให้กำเนิดองค์ชายสาม หลี่ซุนหลง และองค์ชายเจ็ด หลี่ซุนหลิว นับว่าใต้เท้าซุนผู้นี้มีอำนาจบารมีไม่น้อย หลังจากขุนนางใหญ่เข้าประจำที่ ขุนนางติดตามผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาด้านหน้า กางม้วนอักษรในมือพลางกล่าวว่า “การสอบคัดเลือกบัณฑิตในปีนี้ การสอบขั้นพื้นฐานได้กำหนดหัวข้อไว้แล้วโดยองค์จักรพรรดิ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นอย่างมาก การคัดเลือกบัณฑิตในปีนี้จึงอยากได้ผู้ที่เข้าใจหัวอกของราษฎรเป็นที่สุด หัวข้อนั้นก็คือ ‘การแก้ปัญหาความอดอยากและอาชญากร’” ได้ยินถึงตรงนี้เหล่าผู้สอบคัดเลือกถึงกับส่งเสียงอุทานกันเซ็งแซ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ลอบอมยิ้ม จ้าวเสวี่ยเฟิงสายตาดี พบว่าในกลุ่มผู้เข้าสอบบางคนมีการทุจริตอย่างแน่นอน นางหันไปสบตากับจ้าวจิ่นกวาง จึงเห็นสายตาเข้าอกเข้าใจของพี่สาม ก็รู้ได้ว่าการสอบที่สำนักศึกษาหมื่นอักษรแม้จะเป็นสำนักบัณฑิต แต่การทุจริตโกงกินก็ยังมีให้เห็นทั่วไป ก่อนมาลั่วหยางบิดากล่าวไว้ว่า “การกระทำบางอย่างมิอาจเปิดเผยในที่แจ้ง รังแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นโจมตีหากไม่มีหลักฐาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แม้ว่ากฎหมายมี แต่ถ้าผู้บังคับใช้ปิดตาเสียข้างหนึ่ง ก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้ตีกลองร้องทุกข์ก็มิอาจเรียกร้องอะไรได้” “ทุกท่านมีเวลาหนึ่งชั่วยาม[10] เมื่อถึงยามซื่อ[11] เป็นอันหมดเวลา ผู้ใดเสร็จก่อนสามารถเดินตามทางเดินด้านหลังนี้ไปยังหอแห่งปราชญ์ เพื่อทำการทดสอบความสามารถพิเศษได้ทันที” เขาปิดม้วนอักษรที่อ่านจบแล้วให้ลูกน้องด้านหลัง ก่อนจะคลี่ม้วนอักษรอีกม้วนมากางอ่านคำสั่งต่อไป “การทดสอบความสามารถพิเศษเพียงเพื่อให้ทุกท่านมีโอกาสได้ค้นหาความถนัดของตนเอง ผู้ที่สอบผ่านในระดับพื้นฐานแล้ว จึงจะสามารถเข้าศึกษาต่อยังสำนักศึกษาหมื่นอักษรแห่งนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ผ่าน ปีหน้าพบกันใหม่” พูดจบเขาก็ถอยกลับไปยังที่เดิม ตึง! ตึง! ตึง! เสียงกลองอันเป็นสัญญาณเริ่มการสอบดังขึ้น ผู้เข้าสอบทุกคนก็ลงมือฝนหมึก แล้วเริ่มทำข้อสอบทันที มีคนแอบดูโพย! จ้าวเสวี่ยเฟิงมองเห็นได้ชัดเนื่องจากนางนั่งห่างไปไม่กี่จั้ง[12] เจ้าของโพยคือคุณชายผู้หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาพอใช้ เขาสวมชุดไหมสีขาวเนื้อดี ดูสูงศักดิ์ราวกับเชื้อพระวงศ์ นางสังเกตเห็นว่าโดยรอบนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์อยู่มาก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วงหรือแจ้งผู้เข้าคุมสอบสักคน จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็หงุดหงิด จึงหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งพลางเกร็งลมปราณ แล้วยิงออกไปยังข้อมือของคุณชายผู้นั้น ผลัวะ! อะไรกัน! ใครยิงหินมาสกัดหินนาง จ้าวเสวี่ยเฟิงมองไปทิศตรงข้ามก็เห็นชายหนุ่มคนเดิม ซึ่งยืนข้างจ้าวจิ่นติ้ง พอเห็นว่าจ้าวเสวี่ยเฟิงถลึงตาใส่ ใบหน้าหล่อเหลาก็ส่ายช้าๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะตรงริมฝีปาก และพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘อย่าใจร้อน’ มีหรือที่จ้าวเสวี่ยเฟิงจะอ่านปากเขาไม่ออก นางแม้จะหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงลงมือฝนหมึกแล้วเขียนคำตอบลงในกระดาษเปล่า ลายมืดงดงามและทรงพลังเต็มไปด้วยร่องรอยอารมณ์ ‘คนทุจริตบ้านเมืองล้วนอยู่สบาย อาชญากรล้วนเกิดจากความอดอยาก ความอดอยากล้วนเกิดจากขุนนางกังฉิน หากจะให้ปัญหาหมดไป ล้วนต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ต้าถังเจริญรุ่งเรือง เหตุใดยังมีคนยากจนข้นแค้น ปัญหาเหล่านี้ล้วนเหมือนเส้นผมบังภูเขา เสวี่ยเฟิงไหนเลยจะเข้าใจ’ นางเขียนเพียงไม่กี่ประโยค พอหมึกแห้งก็เดินไปส่งกระดาษคำตอบ หลังจากนั้นก็ก้าวไปยังหอปราชญ์โดยไม่หันหลังกลับ การกระทำของนางสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้เข้าสอบ แม้กระทั่งบรรดาขุนนางที่มาร่วมเป็นพยานก็งุนงงกับการกระทำของนาง จะมีผู้ใดเขียนข้อสอบได้รวดเร็วเช่นนาง ในประวัติศาสตร์ต้าถังคงมีไม่ถึงสิบคน ร่างสูงที่ยืนข้างจ้าวจิ่นติ้งอมยิ้มกับท่าทางราวกับเด็กน้อยของจ้าวเสวี่ยเฟิง พลันปรายตามองไปยังผู้ที่แอบนำโพยเข้าสอบด้วยประกายตาเย็นยะเยือก ‘เขียนจะเสร็จแล้วรึ ฮึ’ นางกำลังหงุดหงิด! รู้สึกเหมือนทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม เริ่มจากข้อสอบที่ต้องการคำตอบแบบเพ้อฝัน เฮอะ! บุตรหลานตระกูลชั้นสูงกลับเป็นผู้ทุจริตเสียเอง นางเขียนแทบตายก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จึงเขียนเสียดสีกลับไป ไม่แน่ว่านางอาจจะสอบไม่ผ่าน พอคิดถึงตรงนี้นางก็เพิ่งจะรู้ตัว ใจเริ่มหวิว ใครใช้ให้นางควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้กัน แค่นางเป็นคนที่ทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ต่างหาก แต่ไหนแต่ไรมาขงจื้อสอนให้ยึดหลักคุณธรรม เมล็ดพันธุ์ในอนาคตกลับเน่าเฟะ หงุดหงิดจนนางอยากจะอาละวาดให้สาแก่ใจ เพราะนางมัวแต่จมอยู่กับความหงุดหงิด กว่าจะรู้ตัวก็เดินเลยหอแห่งปราชญ์มาไกลแล้ว “แม่นาง จะไปไหน?” เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากด้านหลัง จ้าวเสวี่ยเฟิงชะงักขา ผินหน้าไปมองตามเสียง ก็เห็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม แลดูสูงศักดิ์ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า คิ้วดกดำพาดเฉียงเหนือดวงตาคมซึ้ง ริมฝีปากได้รูปใต้จมูกโด่งคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ คนผู้นี้โผล่มาโดยที่นางไม่รู้ตัว! นางเก็บอาการตระหนกไว้ภายใต้สีหน้าราบเรียบ จะอย่างไรเสียคนที่อยู่ที่นี่ก็คงมิใช่โจรที่ไหนกระมัง “คุณชาย ข้ากำลังจะไปหอแห่งปราชญ์” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเข้ม สีหน้าประหลาดใจขัดกับดวงตาที่แฝงแววขบขัน “ดูท่าแม่นางคงจะเหม่อลอยกระมัง เจ้าเดินเลยมาไกลมากโข” คราวนี้นางตกใจจริงๆ หันมองรอบทิศ เห็นทางเดินยาวสายหนึ่ง ทางที่นางจะเดินไปนั้นมุ่งสู่ตึกแถวที่ตั้งเรียงราย มีไม้ยืนต้นปลูกแทรกเพื่อให้ความร่มรื่น เมื่อหันไปมองฝั่งที่นางเดินผ่านมาก็พบหอสูงตระหง่าน นางทำเรื่องขายหน้าอีกแล้ว น่าอับอายยิ่งนัก จ้าวเสวี่ยเฟิงรีบก้มหน้างุด ตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรนแผ่วเบา “ข้าใจลอยไปหน่อย ขอบคุณท่านมาก ขอตัว” พูดจบนางก็ย่อกายคารวะ เตรียมจะเดินจากไป ทว่ามือหนาก็คว้ามือนางเอาไว้ก่อน “ท่าน!” จ้าวเสวี่ยเฟิงร้องด้วยความตกใจ ไม่คิดฝันว่าคุณชายท่าทางองอาจจะถึงเนื้อถึงตัวนางขนาดนี้ ความโกรธจึงแล่นริ้วขึ้นมา “ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัว!” พูดจบนางก็ดึงแขนออก ชายหนุ่มเห็นนางไม่พอใจก็รู้สึกละอายจนหน้าแดงก่ำ รีบปล่อยมือบางก่อนจะพูด “ขออภัยแม่นาง ข้าใจร้อนวู่วาม แค่อยากจะทราบชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า เผื่อว่าเราได้เจอกันในสำนักศึกษาหมื่นอักษรอีกครั้ง จะได้ทักถูก” “จ้าวเสวี่ยเฟิง ขอตัวคุณชาย” เสวี่ยเฟิงพูดจบก็รีบพลิ้วกายจากมา ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากด้านหลัง “ข้าเทียนหลง แล้วพบกันแม่นาง!” ใช่ว่านางจะไม่เคยเจอบุรุษหนุ่มรูปงามมาก่อน มีพี่ชายตั้งสามคนนางก็รับมือไม่ไหวแล้ว จริงๆ แล้วคุณชายเมื่อครู่ก็ดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก ช่างเถอะ! นางยังต้องไปทดสอบความสามารถพิเศษอีกรอบ ไม่มีเวลามาใส่ใจชายหนุ่มหน้าไหนหรอก “เฟิงเอ๋อร์!” พี่รองโบกมือเรียกอยู่หน้าหอแห่งปราชญ์ ข้างกายเขามีคนสองคนที่นางเห็นตอนก่อนสอบรอบแรกนั่นเอง ชายหนุ่มกรามใหญ่กับคุณชายอันตรายผู้นั้น! “พี่รอง!” นางเดินเข้าไปเกาะแขนพี่ชาย หางตาเหลือบมองคนสองคนด้านหลัง “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไปไหนมา ข้าตามหาไม่เจอ นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว” จ้าวจิ่นติ้งแกล้งเอ่ยหยอกล้อ ทำเอาน้องสาวที่เกาะแขนอยู่ถึงกับหน้าแดง ดูก็รู้ว่านางเหม่อจนเดินไปผิดทาง! จ้าวเสวี่ยเฟิงกลอกตาพลางคิดหาคำแก้ตัว “ข้าไปเดินเล่นมาพี่รอง รู้ตัวอีกทีก็เดินไปไกลแล้ว” จ้าวจิ่นติ้งพยักหน้ารับรู้ “นี่เพื่อนข้า มู่หนิงเทียนกับหลี่หยางหลง” เขาผายมือไปยังเพื่อนทั้งสอง “ข้าได้ยินชื่อเจ้ามานานแล้ว คุณหนูจ้าว” มู่หนิงเทียนทักขึ้น บนใบหน้าคมสันปรากฏรอยยิ้มกว้างจนดวงตาเรียวหยีลง เขาสวมชุดสีเขียวเข้ม ในมือถือพัดลายช่อดอกเหมยคล้ายคุณชายตระกูลใหญ่ทั่วไป มู่หนิงเทียนผู้นี้บุคลิกต่างจากทหารทางเหนือที่นางจินตนาการไว้ลิบลับ เขาดูเป็นคุณชายเจ้าสำราญมากกว่าทหารที่ออกศึก ส่วนหลี่หยางหลงทำเพียงพยักหน้าและส่งยิ้มมุมปากให้นางเท่านั้น ระยะใกล้เช่นนี้จ้าวเสวี่ยเฟิงจึงลอบประเมินเขาในใจ คนผู้นี้สวมชุดสีน้ำเงินเรียบๆ ทว่ากลิ่นอายน่าเกรงขามข่มขวัญผู้คนกลับรุนแรง นางรู้สึกอึดอัดยากจะบรรยายเมื่อสบสายตาร้อนแรงคู่นั้น ไม่รู้ว่าเขินหรือเก้อกระดากเพราะถูกสายตาคู่นั้นประเมินราวกับเป็นสินค้ากันแน่ พอคิดถึงเหตุการณ์ตอนสอบรอบแรก นางก็รู้สึกไม่ดีกับเขาอีกโข เฮอะ! ช่วยกันโกงสิไม่ว่า จึงจำใจเอ่ยทักทายตามมารยาท “ยินดีที่ได้พบคุณชายมู่หนิงเทียน คุณชายหลี่หยางหลง” นางเมินสายตาคู่นั้น ก่อนจะหันไปพูดกับจ้าวจิ่นติ้ง “พี่รอง เหตุใดท่านไม่ไปเฝ้าสนามสอบเล่า” จ้าวจิ่นติ้งเลิกคิ้วราวกับนึกอะไรออก ก้มหน้ากระซิบกระซาบข้างหูนาง “ก็องค์ชายเจ็ดน่ะสิ ถูกจับได้ว่าโกงข้อสอบคาหนังคาเขา กระดาษคำตอบกับโพยเหมือนกันแบบนั้น ดูก็รู้ว่าลอกโพยแน่นอน แต่องค์ชายเจ็ดเป็นหลานใต้เท้าซุน เรื่องนี้ถ้ารู้ไปถึงคนนอก ใต้เท้าซุนก็หมดความน่านับถือ จึงทำเพียงแค่เชิญตัวมาไต่สวนส่วนตัว ดีที่มีคนเห็นแค่เจ้าหน้าที่คุมสอบกับอีกไม่กี่คน ไม่อย่างนั้นหากจักรพรรดิรับรู้ คงจะกริ้วน่าดู” เมื่อฟังจบจ้าวเสวี่ยเฟิงก็เหลือบไปมองหลี่หยางหลงที่จ้องนางอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าพลันร้อนวูบ ไม่กล้าสบตากับเขาอีก “ที่แท้ก็เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่กวนพี่รองกับคุณชายทั้งสองแล้ว ขอตัว” พูดจบนางก็รีบเดินขึ้นหอแห่งปราชญ์ ที่แท้คนที่แอบเอาโพยเข้าก็คือองค์ชายเจ็ดเองหรือ โลกกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไร ขนาดโอรสของจักรพรรดิยังทำเรื่องงามหน้าแบบนี้ได้ ที่หลี่หยางหลงผู้นั้นขัดขวางการเปิดโปงของนางก็เพราะรอให้จับได้คาหนังคาเขาสินะ นับว่านางใจร้อนเกินไปจริงๆ "คุณหนู ขอป้ายประจำตัวด้วย" เจ้าหน้าที่ด้านหน้าสวมชุดสีเขียวประจำสำนักศึกษาหมื่นอักษร เขาถือกระบอกไม้ไผ่บรรจุไม้เสี่ยงทายไว้ จ้าวเสวี่ยเฟิงหยิบป้ายประจำตัวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “รบกวนใต้เท้าแล้ว” “คุณหนูไม่ทราบว่าจะจับไม้เสี่ยงทายหรือเตรียมการทดสอบมาแล้ว” “ข้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย” “ก่อนอื่น ข้าต้องอธิบายให้ท่านทราบก่อน ผู้ที่เตรียมการทดสอบความสามารถมาแล้ว จะได้แสดงฝีมือก่อน ส่วนคนที่จับไม้เสี่ยงทาย จะได้ทดสอบทีหลัง ท่านคงไม่มีปัญหาอะไรนะ” จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว นางจึงพยักหน้าเป็นอันตกลง เจ้าหน้าที่ยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้นางเลือกหยิบไม้ออกมาหนึ่งอัน มือเรียวหยิบออกมาโดยไม่คิดมาก แล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ “รบกวนใต้เท้าแล้ว” เจ้าหน้าที่พอเห็นไม้ของนางก็กล่าวว่า “วาดภาพ คุณหนูไหวหรือไม่? การวาดภาพนี้ต้องวาดพร้อมกันทั้งหมด ทางสำนักศึกษาเราจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้แล้ว โจทย์คือเพลงหนึ่งเพลง จะเป็นเพลงอะไรนั้น ท่านต้องรอฟังเอง” จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่มีปัญหา ขอบคุณใต้เท้า” สุดท้ายนางก็ต้องนั่งรอจนถึงยามซื่อ คนที่ร่วมแสดงฝีมือทางด้านการวาดภาพมีทั้งสิ้นยี่สิบสี่คน เป็นบุรุษเสียยี่สิบคน ที่เหลือล้วนเป็นสตรี ใครใช้ให้สตรีทั้งหลายถนัดแต่เรื่องดนตรีและการร่ายรำกันเล่า! ชีวิตพวกนางช่างจืดชืดนัก ใต้เท้าซุนเดินเข้ามาในหอแห่งปราชญ์พร้อมกับขุนนางคนอื่นๆ ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นดูน่ากลัวกว่าตอนแรกที่นางเห็นในสนามสอบ ดูท่าแล้วคงจะเครียดเรื่ององค์ชายเจ็ด ‘เฮ้อ! สอนลูกหลานผู้อื่นจนได้ดี แต่หลานตัวเองกลับสอนไม่ได้’ ใต้เท้าซุนเดินมาถึงก็หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา พลางกล่าวว่า “การทดสอบเชิงบู๊ให้ตามใต้เท้าจิ้งไปด้านหลังหอแห่งปราชญ์ ส่วนที่เหลือแสดงฝีมือตามลำดับ ดนตรีและการร่ายรำ ส่วนอักษรและภาพวาดทดสอบพร้อมกัน กำหนดโจทย์หลังจากการแสดงดนตรีและการร่ายรำจบลง” พูดจบคนที่เตรียมความสามารถด้านบู๊มาก็ลุกขึ้น จ้าวจิ่นกวางพี่สามของนางก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ‘ไม่เสียทีที่ลงทุนข่มขวัญคู่แข่ง อย่าทำขายหน้าเป็นพอนะพี่สาม’ ใต้เท้าซุนพูดจบ ก็มีใต้เท้าอีกท่านออกมาขานชื่อ “คนแรก ท่านหญิงฟางหรง” สิ้นเสียงขานชื่อ ผู้คนในห้องโถงใหญ่ก็คุยกันเสียงดังอื้ออึง จ้าวเสวี่ยเฟิงอยู่บ้านนอกมานาน นางย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าท่านหญิงฟางหรงคือผู้ใด “นางเป็นหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีเฉินเจี๋ยหมิง” เสียงใสของคนผู้หนึ่งดังขึ้นด้านหลังจ้าวเสวี่ยเฟิง นางหันไปก็พบกับดวงตาหวานซึ้งคู่หนึ่ง ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มกว้างให้นางจนดวงตางดงามนั้นโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ข้าชื่อชางหลิว เจ้าชื่ออะไร” อีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้นางสงสัยนาน รีบแนะนำตัว จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่อาจเสียมารยาทจึงตอบไปตามตรง “ข้าเสวี่ยเฟิง ขอบคุณเจ้ามากที่บอก” “ฮิๆ ท่าทางของเจ้าดูห่างเหินกับผู้คนยิ่งนัก ยิ้มหน่อยสิ เจ้าอยากเป็นยอดเขาหิมะ[13] ที่โดดเดี่ยวหรือ?” จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะ “ข้าไม่โดดเดี่ยวหรอกนะ ชางหลิว” หลี่ชางหลิวยิ้มกว้าง ขยับมานั่งใกล้จ้าวเสวี่ยเฟิง กล่าวเข้าข้างตนเองว่า “ต่อไปนี้เจ้าคือเพื่อนของข้าแล้ว ฝากตัวด้วย” พูดจบนางก็ยื่นนิ้วก้อยออกมา จ้าวเสวี่ยเฟิงตะลึงงัน หลี่ชางหลิวช่างเป็นผู้ที่คิดอะไรตามใจตัวเองเสียจริง ในเมื่ออีกฝ่ายอยากผูกมิตรกับนาง นางก็จะเล่นด้วย “ได้ ต่อจากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกัน” จ้าวเสวี่ยเฟิงเกี่ยวก้อยกลับ หารู้ไม่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันแสนแน่นแฟ้นของพวกนางทั้งสอง จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่ใช่คนถือตัว ทั้งไม่ใช่คนที่จะคุยกับผู้ใดก็ได้ ด้วยความที่นางมาจากต่างบ้านต่างเมือง เวลาจะทำอะไรล้วนคาดเดาล่วงหน้าและระมัดระวังตัวก่อนเสมอ แม้นางจะใจร้อนไปบ้าง แต่บางเรื่องนางก็มิอาจปล่อยผ่าน ตั้งแต่มาถึงลั่วหยางนางก็วุ่นวายอยู่กับพี่สามและพี่รอง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดทำความรู้จัก กระทั่งญาติทางฝั่งมารดาก็ไม่เคยได้รับโอกาสนี้ นับว่าหลี่ชางหลิวนั้นเป็นคนพิเศษยิ่งนัก อีกฝั่งของห้องโถง ท่านหญิงฟางหรง ซึ่งอายุราวสิบเจ็ดปี ดวงหน้างดงามปานหยกสลักดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้จดจ้อง แม้รูปร่างจะโปร่งบางแต่ก็มีทุกส่วนที่ควรมี ชุดสีขาวปักลายเมฆเหินดูงามพิสุทธิ์ราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ในมือนางเป็นพิณเจ็ดสายโบราณทำจากไม้ล้ำค่า วาดลวดลายดอกบัวด้วยหมึกทองคำ คล้ายล่อลวงให้บุรุษหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น หลี่ชางหลิวเบะปาก กล่าวโดยไม่แม้แต่จะมองซ้ำ “มารยาร้อยเล่มเกวียน นางงัดออกมาใช้ทีเดียวบุรุษก็แทบศิโรราบให้ น่ารังเกียจ” จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินสหายพูดเช่นนั้นก็ตกใจ หันไปถามเสียงเบา “เจ้ารู้จักนางหรือ?” “ยิ่งกว่ารู้จัก นางหลอกล่อให้พี่ชายข้าหลงแทบตาย” หลี่ชางหลิวพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “บุรุษเจอสาวงามก็ตามืดบอด เจ้าคอยดูนางให้ดีนะ” สิ้นเสียงของหลี่ชางหลิว ท่านหญิงฟางหรงก็เดินไปตรงกลางห้องโถง นางหมุนตัวรวดเร็วจนชายกระโปรงโปร่งบานเป็นวงกลม ไขว้ขานั่งลงประหนึ่งดอกไม้สีขาวดอกใหญ่ที่มีนางและพิณโบราณเป็นเกสร ดวงตาหวานเหลือบมองผู้คนราวกับกวางน้อย จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะหึๆ ‘ท่านหญิงผู้นี้ช่างรู้จักวิธีดึงดูดสายตาผู้คน’ เสียงแรกของเพลง “ลำนำสารทวสันต์” ดังขึ้น สะกดผู้คนให้หลงมัวเมาในทันที เสียงดนตรีสูงต่ำราวกับการตัดพ้อของหญิงสาวต่อชายคนรัก บุรุษในห้องโถงต่างก็สะท้อนใจและอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง “นางตัดพ้อเจ้าหรือเปล่า?” จ้าวจิ่นติ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มขุนนางหันไปถามหลี่หยางหลง ชายหนุ่มเพียงแค่เหลือบตามองสหาย เขาถอนหายใจพลางกล่าว “ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง เจ้าอย่าหาเรื่องมาให้ข้า” มู่หนิงเทียนได้ทีก็ซ้ำเติม “ถ่านไฟเก่าคุกรุ่นยิ่งนัก อ่า...ข้าได้กลิ่นไหม้” หยางหลงได้ยินก็หางคิ้วกระตุก กล่าวเสียดสีมู่หนิงเทียน “บิดาเจ้าก็มีไม่หาเวลาไปเยี่ยม รอให้น้องรองเจ้ายึดมรดกในส่วนของเจ้าให้หมดเถอะ ข้าจะรอสมน้ำหน้า” มู่หนิงเทียนได้ยินก็หน้าเขียวคล้ำ น้องรองซึ่งเกิดจากแม่รองที่บิดาของเขาลุ่มหลง นางเป็นอนุกระทั่งมารดาของเขาตาย ใต้เท้ามู่ก็ยกย่องนางออกหน้าออกตาจนกลายเป็นภรรยาหลวง เขากลับจวนคราใดก็มีอันต้องทะเลาะกับบิดาทุกครั้ง ท้ายที่สุดก็ต้องระเห็จมาอยู่ที่สำนักศึกษาหมื่นอักษร จู่ๆ จ้าวจิ่นติ้งก็ตีหน้าขรึม “น้องสาวเจ้าคิดจะล่อลวงน้องเล็กข้ารึ?” หลี่หยางหลงไม่เข้าใจ จนกระทั่งมองตามสายตาเพื่อนสนิทก็ลอบหัวเราะในใจ ‘น้องข้ารวดเร็วยิ่งนัก’ “นางเป็นสตรี เจ้าหวงน้องเกินไปแล้ว” จ้าวจิ่นติ้งทำหน้าบึ้ง “ปีศาจน้อยเช่นน้องสาวเจ้าน่ะสิ น่าไว้ใจเสียที่ไหน” พูดจบก็ฮึดฮัด ตั้งท่าจะตรงดิ่งไปยังจุดที่จ้าวเสวี่ยเฟิงนั่งอยู่ หลี่หยางหลงหัวเราะ “น้องสาวเจ้าไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสา บางทีอาจจะทันคนยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก วางใจเถอะ ถ้ามีใครจะล่อล่วงนางได้ ต้องไม่ใช่ชางหลิวหรือผู้อื่นในการสอบนี้แน่นอน” ‘ถ้าเป็นข้าก็ไม่แน่’ เขาลอบต่อประโยคนี้ในใจ คราแรกที่เขาเห็นจ้าวเสวี่ยเฟิงตัวจริง นางแปลงโฉมเล่นสนุกกับจ้าวจิ่นกวาง ท่าทางซุกซนนั่นสะกิดใจเขาให้เต้นไม่เป็นจังหวะ ในใจกระหวัดถึงภาพแขวนในห้องส่วนตัวที่ตนเองหวงหนักหนา คราที่สองเขาได้ร่ายกลอนกับนาง ได้สบตานาง ในความเข้มแข็งนั้นนางยังไร้เดียงสาอยู่มาก และเขาก็เพิ่งจะค้นพบว่านอกเหนือจากท่าทีซุกซนกับใบหน้างามล้ำของนางนั้น ยังไม่เด่นชัดเท่าสายตากับสติปัญญาของนาง หากนางเป็นเช่นสตรีทั่วไปที่ไม่พอใจก็ร่ำร้องหาความเป็นธรรม เขาคงจะเมินเฉย ก็เพียงประทับใจ เชยชม และมองผ่านไปเหมือนผู้อื่น ตอนที่นางคิดจะเปิดโปงองค์ชายเจ็ด แต่เขาก็ขัดขวางไว้ นางทำท่าเพียงไม่พอใจแล้วเสียดสีกลับผ่านกระดาษคำตอบ จ้าวเสวี่ยเฟิงในตอนนั้นช่างน่าค้นหา ทำให้เขาประหลาดใจ แม้กระทั่งตอนที่ทราบว่าองค์ชายเจ็ดถูกจับได้ว่าโกงข้อสอบ นางรู้ว่าเป็นเขา แต่ไม่อวดอ้างว่าตนก็รู้เห็นเหตุการณ์ อันว่าจิตใจสตรีนั้นยากจะหยั่งถึง เหนือสิ่งอื่นใดสตรีเช่นนางนั้นยากจะคาดเดา ทุกการกระทำเหมือนมีเหตุมีผลรองรับเสมอ หากเป็นสตรีทั่วไปเขาอาจเอาอกเอาใจจนทำให้พวกนางคลั่งไคล้ได้ แต่กับจ้าวเสวี่ยเฟิงแล้ว ทุกสิ่งที่นางต้องการดูพร่าเลือนราวกับภาพลวงตาในม่านหมอก นางสนิทสนมกับพี่ชายของตน กลายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่แสนซุกซน กับผู้อื่นบางครั้งนางก็อบอุ่น บางคราก็เย็นชา ช่างเป็นสตรีคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกคันในหัวใจ… [1] ลี้ คือ หน่วยวัดระยะทาง โดยที่ 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร [2] จิน (*) แปลว่า ทองคำ [3] เฉียน (**) แปลว่า เงินตรา [4] การพิมพ์เริ่มแรกอยู่ในช่วงสมัยสุย-ถัง แกะบล็อกด้วยตัวหนังสือกลับด้าน ทาหมึกลงไป ใช้ไม้ปาดเพื่อให้หมึกซึมเข้าไปในเนื้อกระดาษ [5] คัมภีร์วัชรสูตรในสมัยราชวงศ์ถังพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะไม้ เป็นสิ่งพิมพ์แกะบล็อกที่มีวันที่ระบุไว้ตามจริงที่เก่าแก่ที่สุดในโลก [6] ป่าเฟิง คือ ป่าเมเปิ้ล [7] ชุดขุนนางปักลายไก่ฟ้าทองคำเป็นชุดของขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นสอง [8] ชุดขุนนางปักลายนกยูงเป็นชุดของขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นสาม [9] กุ้ยเฟยเป็นตำแหน่งอัครมเหสี ซึ่งเป็นรองเพียงฮองเฮา [10] ชั่วยามเป็นหน่วยเวลา 1 ชั่วยาม เป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง [11] ยามซื่อ คือ เวลาตั้งแต่ 09.00 น. – 10.59 น. [12] จั้งเป็นหน่วยวัดระยะของประเทศจีน 1 จั้งเป็นระยะประมาณ 3.33 เมตร [13] เสวี่ยเฟิง แปลว่า ยอดเขาหิมะ [14] ลำนำกว่างหลิง หรือ กว่างหลิงซ่าน โด่งดังมาจากเรื่องเล่าของจีคัง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ็ดเมธีในป่าไผ่ (****) เมธีในกลุ่มนี้เป็นนักคิดและนักกวี ที่รวมตัวกันแล้วปลีกตัวจากสังคมเข้าไปอยู่ในป่า มีชีวิตเรียบง่าย วันๆ หนึ่งก็ทำไร่ทำสวน ดื่มเหล้า แต่งบทกวี ดีดกู่ฉิน แต่เมธีเหล่านี้มีหัวรุนแรง ไม่พอใจในการเมืองสมัยนั้น วันหนึ่งจีคังไปวิจารณ์ผู้ปกครองที่มีอำนาจ เขาเลยถูกจับเข้าคุก ในที่สุดก็ถูกตัดสินประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหารจีคังยังให้นำกู่ฉินมาดีด เขาสะกดความหวาดกลัวโดยการบรรเลงกู่ฉินในเพลง "กว่างหลิงซ่าน" โดยที่มิได้แสดงความหวาดกลัวต่อความตายเลยสักนิด ทำให้ตำนานบทเพลงนี้มีสีสันและมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD