สาม
ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่น แต่อยู่ที่การชนะตัวเอง
การเดินทางจากเมืองไคเฟิงมายังลั่วหยาง จะว่าลำบากก็ไม่ใช่ จะสบายก็ไม่เชิง ระยะทางเกือบพันลี้[1] ทำให้คนที่นั่งในรถม้าเหนื่อยล้า ปลายฤดูร้อนเช่นนี้เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง อากาศก็ยิ่งอบอ้าว ชวนให้อ่อนเพลีย ทว่ามีเพียงจ้าวจิ่นติ้งเท่านั้นที่ยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต่างจากอีกสองคนที่นัยน์ตาแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือด ใต้ตาคล้ำราวกับผีดิบ อีกทั้งยังนั่งนิ่งนานๆ กว่าจะได้ขยับมือที จึงมีเพียงเสียงหายใจดังฟืดฟาดด้วยความหงุดหงิดเป็นระยะ
บ่าวรับใช้สองคนผลัดกันบังคับรถม้า ขณะที่สาวใช้ชิงเฟยนั่งนิ่งอยู่มุมหนึ่งภายในรถม้า สัปหงกบ้าง ตื่นมาเติมชาบ้าง เห็นได้ชัดว่านางอ่อนล้าจนแทบหมดแรง
จ้าวจิ่นติ้งรู้สึกอึดอัดยากจะบรรยาย เมื่อเห็นน้องทั้งสองของตนมุ่งสนใจแต่กระดานหมาก คิดจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่ก็ต้องหุบปากไป ได้แต่คิดในใจว่าพูดไปตอนนี้ ทั้งสองคนก็คงฟังหูซ้ายทะลุหูขวาแน่นอน
ชายหนุ่มเห็นน้องทั้งสองมีสมาธิ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขยับเข้าไปร่วมวงด้วย เห็นว่าหมากขาวของจ้าวเสวี่ยเฟิงกำลังได้เปรียบ ก็นึกชื่นชมในใจ จ้าวเสวี่ยเฟิงนิสัยคล้ายกับจ้าวจิ่นกวาง เป็นพวกชอบคิดวางแผนการมากกว่าลงมือทำเอง ในช่วงแรกๆ ที่ขึ้นเขาซูซัน จ้าวเสวี่ยเฟิงมักจะอาศัยความเป็นน้องเล็กพึ่งพามันสมองของจ้าวจิ่นกวาง ด้านแรงงานก็พึ่งพาแต่เขากับพี่ใหญ่ นึกไม่ถึงว่าพอเขากับพี่ใหญ่ลงจากเขาแล้ว ในที่สุดน้องเล็กก็รู้จักใช้สมองแล้ว
จ้าวเสวี่ยเฟิงแทะขนมไปพลางวางหมากไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ส่วนจ้าวจิ่นกวางมีสีหน้าและท่าทางจริงจังกว่านางมากนัก ขนมที่เคยอยู่ในมือถูกโยนทิ้ง พัดไม้โบกไปมาไม่หยุดคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“น้องเล็ก เจ้าใช้วิธีโหดร้ายบีบคั้นพี่สามเกินไปแล้ว พี่สามไม่ยอมอ่อนข้อให้เจ้าแน่” จ้าวจิ่นกวางตัดพ้อน้องสาว มือเรียววางหมากดำจนพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง
จ้าวเสวี่ยเฟิงหัวเราะในลำคอ นางโบกมือไปมาเหนือกระดานหมาก ท้ายที่สุดก็วางหมากขาวอีกตัว...กินทั้งกระดาน
“หืม...น้องเล็ก! เจ้าช่างร้ายกาจ พี่สามไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” จ้าวจิ่นกวางแสร้งโวยวาย ร่ำๆ จะเก็บกระดานหมาก จ้าวจิ่นติ้งเห็นสถานการณ์เมื่อครู่ก็รู้ว่าจ้าวจิ่นกวางอ่อนข้อให้จ้าวเสวี่ยเฟิง
แม้แต่จ้าวเสวี่ยเฟิงก็ยังมองออก นางจ้องจ้าวจิ่นกวางเขม็ง ท้ายที่สุดก็พูดว่า “พี่สามแกล้งวางหมากผิดให้ข้าชนะกระดานนี้ ขี้เกียจเล่นก็บอกมาเถอะ เล่นมาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่จบสิ้นสักที ท่านมันตัวขี้เกียจของแท้ เฮอะ!”
จ้าวจิ่นกวางกำลังจะเถียง ทว่ารู้ดีว่าสังขารตนไม่ไหวแล้ว น้องเล็กเป็นพวกดื้อด้าน หากไม่ยอมแพ้ มีหรือจะยุติการเดินหมาก มีหวังต้องถ่างตาเดินหมากกับนางจนถึงลั่วหยางแน่
คนเป็นพี่ใหญ่สุดระบายลมหายใจ นึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ เห็นท่าทางอ่อนล้าของจ้าวจิ่นกวางก็นึกเห็นใจ ยิ่งเห็นจ้าวเสวี่ยเฟิงที่มีใบหน้างดงาม บัดนี้ดวงตาลึกโหลคล้ายซากศพก็อดท้วงไม่ได้ “น้องเล็กอย่าได้ถือสาเจ้าสามมันเลย อดหลับอดนอนมาตั้งแต่เมื่อวาน เรี่ยวแรงไม่เหลือแล้ว”
จ้าวจิ่นติ้งหยิบหมอนกับผ้ามาวางบนตัก ตบปุๆ เรียกจ้าวเสวี่ยเฟิงมานอน “เจ้าก็ควรจะนอนพักบ้าง มาๆ หนุนตักพี่รองดีกว่า”
จ้าวจิ่นกวางเห็นแบบนั้นก็เบ้ปาก ขยับไปนอนบนฟูกหนาในรถม้า หันหลังให้พร้อมกับกรนเสียงดัง จ้าวจิ่นติ้งหาได้สนใจไม่ เรียกจ้าวเสวี่ยเฟิงให้มานอนอีกครั้ง “มานอนเถอะ ใกล้ถึงแล้วพี่รองจะเรียก
จ้าวเสวี่ยเฟิงรู้ว่าร่างกายฝืนเกินกำลังแล้ว แต่ก็ยังคงวางท่า “เห็นแก่พี่รอง วันนี้ข้าจะละเว้นพี่สามสักครั้ง” พูดจบนางก็คลานไปนอนหนุนตักจ้าวจิ่นติ้ง แล้วเข้าสู่นิทรารมย์อย่างรวดเร็ว
จ้าวจิ่นติ้งส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของน้องสาวแผ่วเบา ดวงตาคมกริบมีร่องรอยของความกังวล ขณะนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพัก เขาก็พิงผนังรถม้าผล็อยหลับไปอีกคน
กว่าคนทั้งสามจะเดินทางมาถึงเมืองลั่วหยางก็ผ่านไปเกือบเดือน เนื่องจากผ่านช่วงมรสุมจึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปไม่น้อย
เบื้องหน้าคือประตูเมืองขนาดใหญ่ทำจากเหล็กกล้าดูน่าเกรงขาม กำแพงเมืองขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐสีแดงสูงตระหง่านเสียดฟ้า บนกำแพงเต็มไปด้วยทหารยามยืนเข้าเวร ธงของต้าถังสะบัดพลิ้วชวนให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนี้
พอรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองก็ผ่านตลาดขนาดใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตาล้วนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน บางคนสวมเสื้อผ้าของคนต่างเผ่า ช่างเป็นย่านการค้าที่คึกคักยิ่ง
บ้านคหบดีเยี่ยตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมืองลั่วหยาง ตลอดทางผ่านแผงสินค้าที่ตั้งวางอย่างเป็นระเบียบ ทุกตรอกซอยล้วนแต่มีผู้ตรวจการเดินตรวจตราความเรียบร้อย
ในที่สุดรถม้าก็มาจอดอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ตระกูลเยี่ย ด้านหน้ามียามสองคนยืนเฝ้าอยู่ เวลาเพียงครึ่งถ้วยชาก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณชายรองกลับมาแล้ว” ชายผู้นั้นพูด เขาหันหลังไปกวักมือเรียกคนรับใช้ด้านในให้ออกมาช่วยขนของ แล้วหันมายิ้มให้จ้าวจิ่นกวางและจ้าวเสวี่ยเฟิง “นี่คงเป็นคุณชายสามและคุณหนูสี่ใช่ไหมขอรับ ข้าคือพ่อบ้านเยี่ย เป็นพ่อบ้านประจำคฤหาสน์เยี่ยขอรับ ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนะขอรับ เชิญๆๆ เข้ามาก่อน ข้าตื่นเต้นทีไรพูดไม่ค่อยรู้เรื่องทุกที ฮ่าๆ ต้องขออภัยด้วยขอรับ” พ่อบ้านเยี่ยเกาศีรษะแก้เขิน รีบผายมือเชื้อเชิญ
“รบกวนพ่อบ้านเยี่ยแล้ว” จ้าวเสวี่ยเฟิงกล่าวตามมารยาท
“อย่าเกรงใจเลยขอรับ นายท่านและนายหญิงผู้เฒ่ารออยู่ เชิญขอรับ”
ทั้งสามปล่อยให้เด็กรับใช้ขนของลงจากรถม้า แล้วเดินตามพ่อบ้านเยี่ยเข้าไปในคฤหาสน์
คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยแม้ว่าจะเป็นของตระกูลคหบดีใหญ่แห่งลั่วหยาง แต่ภายในกลับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ริมสระบัวขนาดใหญ่มีศาลาหินอ่อนสำหรับนั่งเล่นในฤดูร้อน รอบสระปลูกไม้ดอกที่มีลักษณะเป็นพุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้คนพลัดตกลงไป ทั้งงดงามและมีประโยชน์
บรรยากาศการพบปะญาติฝ่ายมารดาไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก อาจเพราะจ้าวเสวี่ยเฟิงกับพี่ชายขึ้นเขาตั้งแต่เด็ก ความผูกพันจึงน้อยนิด
ท่านตาของนางเป็นชายชราร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แม้ไม่ยิ้มแต่ใบหน้าก็อิ่มเอิบ ดูใจดี
ท่านลุงใหญ่ของนางเป็นบุรุษวัยกลางคนท่าทางสุขุม ใบหน้าติดจะเย็นชาอยู่บ้าง ต่างกับป้าสะใภ้ที่หน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน พวกเขามีบุตรด้วยกันสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เยี่ยเหยาเซิง บุตรชายนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ใหญ่ ท่าทางวางมาดใหญ่โต มองจ้าวเสวี่ยเฟิงด้วยประกายตาแปลกประหลาด ทว่านางหาได้ใส่ใจไม่ ส่วน เยี่ยเจินเจิน บุตรสาวนั้นน่าจะอายุเท่าจ้าวจิ่นติ้ง วางมาดหยิ่งยะโส นางเพียงปรายตามองคนทั้งสาม สีหน้าท่าทางเหยียดหยันชัดเจน จ้าวเสวี่ยเฟิงมาดหมายในใจ สตรีผู้นี้ไม่ควรยุ่งด้วยเป็นอย่างยิ่ง
นางยังมีท่านลุงรอง ที่หน้าตาคล้ายมารดาของจ้าวเสวี่ยเฟิงอยู่สามส่วน รูปร่างไม่ผอมไม่อ้วน ใบหน้าอิ่มเอิบเหมือนท่านตาของนาง ป้าสะใภ้รองเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตางดงาม แต่น่าเสียดายที่แต่งหน้าจัดเกินไปจนเหมือนเล่นงิ้ว ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนคือ เยี่ยจิงเอ๋อร์กับเยี่ยจิงหง อายุไล่เลี่ยกับนางและพี่สาม หน้าตางดงามสมวัย ส่วนสัดที่สมควรมีของสตรีล้วนเด่นชัด อากัปกิริยานุ่มนวลอ่อนหวาน อย่างน้อยก็ยิ้มจริงใจกว่าเยี่ยเจินเจิน
บรรยากาศในการต้อนรับช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก อย่างน้อยป้าสะใภ้ใหญ่ก็พูดขึ้นมา พวกนางสามพี่น้องได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วปลีกตัวมายังเรือนรับรองของตนเอง
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ดูไม่ออก แม้แต่คนตาบอดก็ยังรู้สึกได้ ลุงใหญ่กับลุงรองของนางนั้นไม่อาจเรียกว่ายินดีต้อนรับหลานนอกสกุล เพียงแต่ทำตามมารยาทที่พึงมี ป้าสะใภ้ใหญ่นั้นยิ้มแย้มก็จริง แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงการดูถูกเหยียดหยามชัดเจน ป้าสะใภ้รองกลับเป็นผู้ที่ดูออกง่ายที่สุด สีหน้าและท่าทางล้วนแสดงออกว่าไม่ยินดียินร้าย น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ผู้ที่ควรระวังที่สุดในตอนนี้น่าจะเป็นบุตรชายของลุงใหญ่
เยี่ยเหยาเซิงมีบุคลิกลึกลับ เยี่ยเจินเจินมีแต่รอยยิ้มอาบยาพิษ ส่วนเยี่ยจินเอ๋อร์กับเยี่ยจินหงเด็กพอกับนาง พิษภัยคงน้อยที่สุด
จ้าวเสวี่ยเฟิงลอบด่าตัวเองในใจ มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยไม่ทันไรก็ประเมินคนเสียแล้ว นับเป็นหนึ่งในนิสัยเสียของนางที่อาจารย์อยากซื้อทิ้งที่สุด
ทั้งสามเดินมาถึงเรือนหลังใหญ่ รอบๆ ปลูกต้นสาลี่และไม้ดอกไม้ประดับมากมาย ด้านข้างเรือนติดกับสระบัวใหญ่ ด้านหน้ามีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนว่า ‘จิน’ จ้าวจิ่นกวางเห็นชื่อเรือนก็หลุดหัวเราะ ‘*[2]’ ที่มีความหมายว่าทอง คิดว่าคงจะไม่มีเรือนที่หมายถึงเงินตราหรือสร้อยไข่มุก แต่เมื่อเขาเผลอสบตากับพี่รอง สีหน้ากระอักกระอ่วนนั้นก็ทำให้เขาผิดหวัง ใครกันช่างสิ้นคิดตั้งชื่อแบบนี้
จ้าวจิ่นกวางหารู้ไม่ว่านายท่านเยี่ยกำลังจามอย่างหนักอยู่ที่เรือนเฉียน[3]
“เฟิงเอ๋อร์นะเฟิงเอ๋อร์ ไม่นึกว่ามาเยี่ยมญาติ ก็ยังต้องมาระแวงสัตว์มีพิษอีก” จ้าวเสวี่ยเฟิงหันไปมองพี่รองที่พูดขึ้นลอยๆ กำลังจะอ้าปากโต้กลับ ก็พบว่าทั้งสามเดินมาหยุดที่หน้าเรือนแล้ว
จ้าวเสวี่ยเฟิงคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปม ก่อนจะย้อนว่า “พี่รองนะพี่รอง ขนาดพี่รองยังไม่กลัวสัตว์พวกนี้ เฟิงเอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยกลัวอะไร ยังคิดว่าเล่นกับมันบ้างก็คงสนุกพิลึก”
จ้าวจิ่นกวางได้ยินน้องเล็กพูดเช่นนั้นก็เอาพัดเคาะกระหม่อมนางทีหนึ่ง
“โอ๊ย พี่สามรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว” นางลูบคลำส่วนที่เจ็บ “ตีธรรมดาไม่ว่า เหตุใดจึงอัดลมปราณมาด้วย”
จ้าวจิ่นกวางไม่เถียงกลับ เพียงแต่หัวเราะแล้วกล่าวว่า “การกระทำไร้เจตนา หินผาล้วนไม่รู้สึก การกระทำแฝงเจตนา ทั้งผืนพสุธากลับสะเทือน จำคำของท่านอาจารย์ได้หรือไม่” จ้าวจิ่นกวางทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก็หันไปพูดกับจ้าวจิ่นติ้ง “ไปเถอะพี่รอง ข้าอยากเห็นห้องตัวเองแล้ว” พูดจบก็สาวเท้าเดินจากไป ปล่อยให้จ้าวเสวี่ยเฟิงจมกับคำพูดสุดท้าย
‘การกระทำไร้เจตนาหินผาล้วนไม่รู้สึก การกระทำแฝงเจตนาทั้งผืนพสุธากลับสะเทือน จริงของพี่สาม หนังหนาอย่างข้า ถ้าผู้อื่นเล่นลูกไม้กระจอกมาจะยอมหลับตาข้างหนึ่งก็แล้วกันเพื่อความสงบสุข แต่ถ้าจัดหนักมาที่ข้าเมื่อไร ฮึ ข้าก็แค่ย้อนศรคืนนะ’
สิ่งที่จ้าวจิ่นกวางกระทำกับจ้าวเสวี่ยเฟิงนั้น หากเขาไม่อัดกระแสปราณผ่านพัด จ้าวเสวี่ยเฟิงก็ระคายเพียงเล็กน้อย เพราะนางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ โดยทั่วไปจะมีปราณคุ้มกายตลอดเวลา แต่ถ้าจ้าวจิ่นกวางอัดกระแสปราณบนพัด นางที่ไม่ทันระวังตัวก็ต้องเจ็บปวดอยู่บ้าง
แต่ไหนแต่ไรด้วยความที่จ้าวเสวี่ยเฟิงและจ้าวจิ่นกวางอายุห่างกันแค่ปีเดียว จึงตัวติดกันราวฝาแฝด หน้าตาท่าทางก็คล้ายกันอยู่หลายส่วน ยามที่ออกเดินทางท่องเที่ยวกับท่านอาจารย์ หากนางปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยากจะแยกแยะว่าผู้ใดคือจ้าวจิ่นกวาง ด้วยความที่จ้าวจิ่นกวางอายุมากกว่า อีกทั้งความคิดของคนเป็นพี่ย่อมโตกว่าน้องสาวนัก จ้าวเสวี่ยเฟิงมีอะไรย่อมปรึกษาเขาเป็นคนแรก จะว่าไปแล้วนับว่านี่เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของเขา ที่น้องสาวเชื่อฟังเขามากกว่าพี่ชายทั้งสอง
“คุณหนูเจ้าคะ เหม่ออะไรเจ้าคะ ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ทำไมไม่เข้าเรือน” ชิงเฟยเรียก ในมือของนางเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง นางเกือบจะเข้าคฤหาสน์ไม่ได้แล้ว ดีนะที่นางพกป้ายห้อยเอวของจวนตระกูลจ้าวไว้ ไม่อย่างนั้นคงต้องนอนข้างถนน คุณหนูของนางเล่นใจร้อนสั่งให้นางลงไปซื้อของก่อนเข้าเมือง กว่าจะซื้อเสร็จก็ต้องคลำทางมาที่คฤหาสน์นี้อีก
“เข้าเรือนก่อนเถอะ” จ้าวเสวี่ยเฟิงช่วยสาวใช้ถือของ “เย่ไคกับเย่ฟงไปไหน ทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว” นางถามถึงบ่าวรับใช้คนสนิทของจ้าวจิ่นกวางและจ้าวจิ่นติ้ง
“เย่ไคออกไปทำธุระกับเย่ฟงอีกรอบเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าเป็นคำสั่งคุณชายรอง คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะเก็บไว้ที่ไหน”
จ้าวเสวี่ยเฟิงแยกของตามหมวดหมู่ ก่อนจะบอกชิงเฟยว่า “กองนี้ใส่ในตู้เสื้อผ้า ส่วนกองนี้เอาไว้ในลิ้นชักหน้ากระจก อืม...อันนี้เก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องจัดของนะ เวลาขนย้ายจะลำบาก” นางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน
“เจ้าค่ะคุณหนู แล้วคุณหนูไม่กินอาหารเย็นหรือเจ้าคะ? นี่ก็มืดแล้ว”
จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็ถอนหายใจ ทำหน้ามุ่ย รินน้ำชาที่เย็นชืดก่อนจะยกขึ้นมาจิบ “รอพี่รองกับพี่สามก่อนก็แล้วกัน เจ้ารีบทำเข้าเถอะ”
เย่ไคกับเย่ฟงเป็นเด็กที่บิดาของนางเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่นางเกิด ครอบครัวของทั้งสองถูกโรคภัยในช่วงสงครามรุมเร้า ท้ายที่สุดก็ต้องไร้บ้าน จึงตัดสินใจตามบิดาของนางกลับมายังเมืองไคเฟิง ระหว่างที่พวกนางขึ้นเขา ทั้งสองคน ไม่สิ รวมชิงเฟยด้วย ชิงเฟยเป็นสาวใช้ที่ขายตัวฝังศพบิดามารดาจากภัยสงคราม ทั้งสามคนได้รับการสอนหนังสือและถ่ายทอดวรยุทธ์บางส่วนจากแม่ทัพจ้าว ฝีมือด้านวรยุทธ์จึงเข้าขั้นยอดเยี่ยม กลายเป็นองครักษ์ควบตำแหน่งคนรับใช้ แย่หน่อยที่ชิงเฟยเป็นหญิง จึงถูกมารดาของจ้าวเสวี่ยเฟิงลากไปสอนงานบ้านงานเรือน งานของชิงเฟยนับว่าเหนื่อยที่สุด
เรื่องราวบางอย่างช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ นางมาถึงลั่วหยางได้สามวันยังไม่ทันเที่ยวทุกตรอกซอย ก็มีประกาศรับบัณฑิตจากสำนักศึกษาหมื่นอักษร มีการสอบคัดเลือกขั้นพื้นฐานเพียงแค่สามข้อ ที่เหลือเป็นการสอบขั้นพิเศษเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิชาการ จิตรกรรม การแสดง หมากล้อม การทำนาย รวมไปถึงความสามารถเชิงยุทธ์ ท้ายประกาศยังลงหมายเหตุไว้ว่า การทดสอบพิเศษเอาไว้คัดสรรเด็กให้แก่อาจารย์ผู้ดูแล
ราชสำนักในปัจจุบันมีความคิดที่ทันยุคสมัย ยอมรับข้าราชการหญิงให้ทำงานในตำแหน่งต่างๆ มากขึ้น แม้ว่าการไต่เต้าถึงระดับขุนนางขั้นหนึ่งจะเป็นไปได้ยาก แต่ตำแหน่งข้าราชการระดับสูงที่ทำงานเกี่ยวกับพิธีการและห้องเครื่องล้วนเป็นไปได้ จ้าวเสวี่ยเฟิงคิดถึงห้องเครื่องแล้วก็น้ำลายสอ ในวังมีอาหารรสเลิศมากมาย หากนางได้ชิมทุกวันคงจะมีความสุขพิลึก
แต่…สำนักศึกษาไม่ได้สอนงานครัว ความฝันของนางยังไม่ทันเริ่มก็พังทลาย แม้แต่โอกาสที่จะชิมอาหารรสเลิศจากโรงเรียนทำอาหารก็ไม่มี คิดแล้วหัวใจก็พลันห่อเหี่ยว
“เฟิงเอ๋อร์เจ้าว่าพี่สามสอบความสามารถพิเศษอะไรดี” จ้าวจิ่นกวางถาม ในมือของเขาคือประกาศรับสมัครบัณฑิตใหม่จากสำนักศึกษาหมื่นอักษร หูของจ้าวเสวี่ยเฟิงพลันได้ยินเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คน
ที่แท้นางกับพี่สามก็อยู่ในโรงเตี๊ยม เนื้อวัวตุ๋นในปากนางพลันจืดชืดขึ้นมากะทันหัน ท้ายที่สุดก็คายใส่ชาม “เฮ้อ พี่สามก็สอบให้หมดนั่นแหละ พอตอนหางานหรือสอบจอหงวนจะได้มีประวัติไว้อวดคนอื่น”
จ้าวจิ่นกวางที่กำลังจิบชาถึงกับสำลัก “จะบ้าหรือ ให้ข้าไปรำให้กรรมการดูหรือไงล่ะ!” แต่พอเห็นสายตาของคุณหนูคุณชายทั้งหลายในโรงเตี๊ยม จ้าวจิ่นกวางก็ปรับท่าทีให้สุขุมเยือกเย็นทันควัน ใช้พัดป้องปากพูดกับน้องสาวเสียงเบาว่า “น้องสี่ เจ้าต้องพูดให้คนเป็นพี่ชายเช่นข้าดูน่าเกรงขามหน่อยสิ ผู้อื่นจะได้คิดว่าข้าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว”
จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินจ้าวจิ่นกวางพูดก็คิดจะเอาพัดเคาะศีรษะพี่ชาย ทว่าจ้าวจิ่นกวางไวกว่าจึงใช้พัดปัดป้องได้ นางไม่ยอมรามือ เกร็งลมปราณหมายจะใช้ปลายพัดสกัดจุดแกล้งพี่สาม คนด้านนอกจึงมองเห็นเพียงว่ามีคุณชายฝาแฝดรูปงามผู้มีกำลังภายในล้ำลึกกำลังประมือกันโดยที่ไม่ได้ขยับตัว มีเพียงแขนขวาเท่านั้นที่ผลัดกันโจมตี ผ้าม่านโปร่งสีขาวที่เป็นฉากกั้นสะบัดไหวเพราะกระแสลมปราณของทั้งสอง
มุมหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม บุรุษหนุ่มสามคนกำลังให้ความสนใจไปยังคุณชายฝาแฝดทั้งสอง ทั้งสามคนแต่งกายเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ทั่วไป หนึ่งในนั้นกล่าวว่า
“การแสดงปาหี่ละสิ คนพวกนี้มีทุกปี” คุณชายชุดเขียวพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน เขาอายุราวสิบเก้าปี รูปร่างสูงโปร่งแบบคนทางเหนือ ดวงหน้าหล่อเหลา กรามเด่นชัด ริมฝีปากอิ่มหนายกยิ้ม จิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
คุณชายอีกคนโบกพัดในมือไปมา ชุดสีขาวของเขาโบกสะบัดตามแรงลม ประกอบกับหน้าตาหล่อเหลาราวกับหยกสลักจึงทำให้ดูสูงส่ง “เป็นผู้มีฝีมือจริง นั่นน้องสามกับน้องเล็กข้าเอง มู่หนิงเทียน”
พรวด!!!
คุณชายชุดเขียวสำลักชา ดีที่จ้าวจิ่นติ้งเอาพัดบังหน้าไว้ ส่วนคุณชายอีกคนสะบัดพัดขึ้นมาบังไว้ได้ทันท่วงที มู่หนิงเทียนรีบเอามือทุบอกพลางกล่าว “น่ะ...นั่น...น้องเจ้าหรือ” ในใจก็ร่ำร้องว่าแย่แล้ว มีปีศาจรุ่นใหม่โผล่มาทีเดียวสองตน
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม หยางหลงยังไม่เห็นตกใจเช่นเจ้า” มู่หนิงเทียนหันไปมอง ‘หยางหลง’ เจ้าตัวเพียงจิบชาอย่างสบายอารมณ์เท่านั้น ชุดสีเทาเดินดิ้นทองที่สวมดูธรรมดาเมื่อเทียบกับชุดของคุณชายตระกูลใหญ่ทั่วไป ทว่ากลิ่นอายสูงศักดิ์กลับแผ่ซ่านให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงอยู่หลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ทว่าดวงตากลับหวานซึ้ง ริมฝีปากได้รูปเป็นสีชมพูโดยธรรมชาติ ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูสูงส่งราวกับเทพเซียน
หยางหลงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ ดวงตาจับจ้องสองคนที่กำลังต่อสู้กันอีกฟากของโรงเตี๊ยม หารู้ไม่ว่าหญิงสาวจำนวนมากจดจ้องพวกเขาด้วยกิริยาขวยอาย
“พอใจหรือยังพี่สาม” จ้าวเสวี่ยเฟิงที่อยู่ในชุดบุรุษถามขึ้น นางที่ถูกมองว่าเป็น ‘คุณชายฝาแฝด’ สื่อสารกับจ้าวจิ่นกวางผ่านลมปราณ
“พอแล้วๆ พี่สามปวดมือแทบตายแล้ว” ได้ยินดังนั้นจ้าวเสวี่ยเฟิงก็แสร้งปล่อยให้จ้าวจิ่นกวางปัดพัดในมือกระเด็นไปปักเสาโรงเตี๊ยม นางแสดงท่าเสียอกเสียใจพลางกล่าวเสียงดังว่า
“พี่สามฝีมือลึกล้ำนัก ข้ามิอาจเป็นคู่มือ” เหล่าคุณชายที่ตอนแรกคิดว่าทั้งสองเล่นตลกก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เพราะพัดที่ปักอยู่กับเสานั้นแทบทะลุ
จ้าวจิ่นกวางแสร้งทำหน้าขรึม แล้วกล่าวว่า “น้องสี่ออมมือแล้ว กลับกันเถิด” พูดจบก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้คิดเงิน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบยัดเงินก้อนใหญ่ใส่มือเสี่ยวเอ้อร์
“ไม่ต้องทอน” เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็ตาโต กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่
“คุณชายทั้งสองเดินทางดีๆ นะขอรับ”
พอก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมทั้งสองก็หัวเราะคิกคัก จ้าวเสวี่ยเฟิงถามจ้าวจิ่นกวาง “ว่าแต่เราสองคนจะทดสอบอะไรดี ที่จะสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วสำนักศึกษาหมื่นอักษร”
จ้าวจิ่นกวางหัวเราะพลางโบกพัดไปมา “ทำสิ่งใดก็ทำให้สุด ดังคำที่อาจารย์กล่าวไว้ ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์มิได้อยู่ที่การเอาชนะผู้อื่น แต่อยู่ที่การเอาชนะตัวเอง การเอาชนะใจตนเองได้ สิ่งใดก็มิอาจสั่นคลอน ผู้อื่นแคลงใจแต่เราบริสุทธิ์ใจ"
“อา...พี่สามพูดจาแบบนี้ดูดียิ่งนัก” น้องสาวครางเสียงแผ่ว มองพี่ชายด้วยความชื่นชม
เสียงพูดคุยเล่นหัวของสองพี่น้องค่อยๆ แผ่วลงตามระยะทาง
สายตาคู่หนึ่งมองตามทั้งสองไปตลอดทาง บุรุษชุดขาวอีกคนที่ยืนมองอยู่นานแล้วจึงถามขึ้น “มีอะไรรึ”
บุรุษชุดเทาหัวเราะเสียงแผ่ว “น่าสนใจ”
ครั้นคนถามได้ยินคำตอบ หางคิ้วก็กระตุก “จะเริ่มแล้วรึ?”
บุรุษชุดเขียวเห็นว่าตนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยก็โวยวาย “เจ้าสองคนมันอะไรกัน ผู้อื่นไม่เข้าใจแม้แต่กระผีกเดียว” แต่เขาก็ต้องหงุดหงิดใจกว่าเดิมเพราะทั้งสองคนทำเพียงแค่หัวเราะ แล้วต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง ปล่อยให้มู่หนิงเทียนงุนงงต่อไป